ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 77 เขตม่านหมอก

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 77 เขตม่านหมอก

สิ่งที่เพิ่งร่วงลงจากฟ้ามาอยู่ตรงหน้าหลินซวงคือหุ่นเชิดยักษ์ตัวหนึ่ง

กลุ่มหุ่นเชิดยักษ์ที่ซูเฉินปล่อยออกไปสกัดการโจมตีของเหล่าเทพ แน่นอนว่าใช้เพื่อปกป้องตัวเขา แต่ก็มีหน้าที่อีกอย่างนั่นคือเพื่อส่งหุ่นตัวหนึ่งข้ามไปอีกฝั่งด้วย

หุ่นเชิดยักษ์นั้นแกร่งเทียบขั้นด่านมหาราชัน มีมันข้างกายภารกิจของหลินซวงย่อมง่ายดายมากขึ้น

“ดีมาก”

หลินซวงรีบเก็บหุ่นเชิดไป มีมันแล้ว ตอนนี้เขาสามารถทำตามแผนได้โดยไร้ช่องโหว่แล้ว

ณ ภูเขาหมอกราตรี

อาณาเขตที่เต็มไปด้วยขุนเขานี้ค่อนข้างตั้งอยู่ห่างไกล ทั่วพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนา

บางครั้งสิ่งมีชีวิตประหลาดก็จะโผล่ขึ้นจากหมอก โจมตีใครก็ตามที่กล้าล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนของมัน ยิ่งทำให้มันกลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านพื้นที่อันไม่อาจเข้าถึงมากขึ้นไปอีก

แต่กระนั้นในทุกปีก็จะมีนักรบมากมายเดินทางลึกเข้าไปในม่านหมอก ด้วยมีตำนานเล่าขานว่าที่นี่มีสมบัติโบราณของชาวอาร์คาน่าอยู่

ชาวอาร์คาน่าในอาณาเขตคุนไม่ได้ทรงพลังเช่นในทวีปต้นกำเนิด แต่ก็ยังสร้างประวัติศาสตร์ไว้ที่นี่เช่นกัน

พวกเขาตั้งชื่ออาณาจักรว่าอาณาจักรพลบค่ำ น่าเสียดายที่กาลเวลาพัดมันจนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว แต่วิชาอาร์คาน่ายังคงรอดพ้นมาได้

ภูเขาหมอกราตรีเป็นสถานที่ที่อาณาจักรของชาวอาร์คาน่าเคยตั้งอยู่ เชื่อกันว่าชาวอาร์คาน่าคงจะทิ้งสมบัติล้ำค่าไว้ที่นี่ไม่ใช่น้อย ในทุกปีจะมีผู้โชคดีหาของล้ำค่าพบ รักษาตำนานนี้ให้คงอยู่ต่อไป

โรงเตี๊ยมหม้อแดงตั้งอยู่ที่ตีนภูเขาหมอกราตรี อยู่นอกเขตหมอกพอดี

เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นมนุษย์ทราย เปิดโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไว้ให้นักสำรวจที่เดินทางมาบ่อย ทั้งยังตั้งราคาของไว้สูงทีเดียว

กระนั้นนี่ก็เป็นเพียงโรงเตี๊ยมเดียวในแถบนี้ ดังนั้นนักสำรวจทั้งหลายจึงไร้ทางเลือกต้องมารวมตัวกันที่นี่ หลายคนพยายามกินแล้วหนี แต่ส่วนมากก็ถูกนักดาบร่างยักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูจัดการ

เมื่อหลินซวงมาถึง ในโรงเตี๊ยมมีคนนั่งอยู่เพียงไม่กี่คน เจ้าของโรงเตี๊ยมยืนอยู่หลังโต๊ะเก็บเงิน กำลังทำความสะอาดดาบใช้แล้วด้วยความเกียจคร้าน

ใช่แล้ว เขากำลังเช็ดดาบ ไม่ได้เช็ดถ้วยชามแต่อย่างใด

โรงเตี๊ยมนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สถานที่ดีอะไรนัก

“เหล้ารัมราคา 30 แท่งทอง เนื้อวัวจานหนึ่ง 20 แท่งทอง อย่าถามว่าเหตุใดราคาเช่นนี้ เพราะข้าขายราคาเช่นนี้” เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยเสียงกระฟัดกระเฟียด

นับว่าแพงกว่าด้านนอกถึง 20 เท่า

“ข้าต้องการคนนำทาง” หลินซวงเอ่ย

“100 แท่งทองต่อวัน แต่พวกเขาจะไม่พาเจ้าเข้าไปในหมอกลึกเกินกว่า 20 ลี้” เจ้าของโรงเตี๊ยมตอบ

“ไม่เป็นไร”

“ฮั่นเค่อ ได้เวลาแล้ว!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเจ้าของโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มคนหนึ่งจึงรีบเดินเข้ามา

“นายท่านคือคนที่ต้องการผู้นำทางหรือขอรับ? ข้าพร้อมรับใช้นายท่าน” เขาเอ่ยคำขึ้นกับชายที่นั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะคนหนึ่ง

“ไสหัวไปให้พ้นไอ้เด็กตาบอด คนที่ต้องการผู้นำทางอยู่ตรงนั้นต่างหาก!” นักดื่มผลักเด็กหนุ่มไปทางหลินซวงอย่างไม่คิดสนใจ

หลินซวงคว้าตัวเขาไว้ได้ “เจ้ามองไม่เห็นหรือ?”

เด็กหนุ่มมีรูม่านตาขาวโพลน

เด็กหนุ่มยิ้มบาง “ขออภัยด้วยขอรับ! ข้าไม่รู้ว่าท่านอยู่ตรงนั้น ใช่ครับ ข้ามองไม่เห็น แต่ก็คงไม่เป็นปัญหาใช่หรือไม่? เพราะอย่างไรหมอกหนาขนาดนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมองเห็นอยู่แล้ว ข้าสามารถพาท่านไปทุกสถานที่ที่ท่านต้องการ”

หลินซวงจ้องตาเขานิ่ง “เจ้าไม่ได้ตาบอดแต่เกิดนี่ มีคนควักลูกตาเจ้าออกมา ใครกันเป็นคนทำ?”

เด็กหนุ่มยังคงคลี่ยิ้มตอบ “งูกินลูกตา เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมอก มันกินเฉพาะตา แต่ไม่สังหารใคร”

เจ้าของโรงเตี๊ยมเริ่มเช็ดโต๊ะ “ถูกกินตาไปแล้วยังกลับออกมาได้ เจ้าหนูนี่มีความสามารถด้านทิศทาง นิสัยก็หนักเบาเอาสู้ หากอยากช่วยเขา ก็ใช้เขาเสีย พึ่งพาได้ดีทีเดียว”

“ไม่ใช่ว่าความสามารถด้านทิศทางหรอก แต่พลังจิตเขาสูงผิดปกติต่างหาก” หลินซวงตอบ

“หือ?” คนในโรงเตี๊ยมพากันตะลึง

“เด็กที่มีความสามารถทางพลังจิตแต่เกิดหาได้ยากมาก” หลินซวงว่าพลางยิ้มจาง แล้วเอ่ยขึ้นต่อ “ข้าจ้างเจ้า”

“เดี๋ยวก่อน ข้าอยากได้เด็กคนนั้น” ทันใดนั้นนักดื่มที่ก่อนหน้าผลักเด็กหนุ่มออกไปก็เดินเข้ามา

ความสามารถด้านพลังจิตเป็นของหายากในอาณาเขตคุน นักดื่มได้ยินคำอธิบายก็รู้ทันทีว่าเด็กคนนี้เป็นขุมทรัพย์

เขารู้ว่าเด็กที่หายากเช่นนี้ แม้จะตาบอดแต่ต้องขายได้ราคาดีแน่

หลินซวงไม่สนใจเขา พูดกับเด็กหนุ่มว่า “หากไม่ต้องเตรียมอะไรก็ไปกันเลย”

“รอประเดี๋ยว ข้าขอเตรียมตัวนิดหนึ่งขอรับ!” เด็กหนุ่มร้องบอกแล้ววิ่งเข้าไปหลังโรงเตี๊ยม

“นี่ ข้าบอกว่าข้าต้องการเด็กคนนั้นไง!” นักดื่มเอื้อมมือมาหมายจะคว้าฮั่นเค่อด้วยความโกรธ

แต่ยังไม่ทันได้แตะฮั่นเค่อ หลินซวงก็ซัดหมัดเข้าเบ้าหน้าอีกฝ่ายจนกระเด็นไปเสียก่อน

“ข้าจะฆ่าเจ้า!” ชายร่างใหญ่คำรามแล้วลุกขึ้นมา

ใครก็ตามที่กล้าขึ้นมาปล้นภูเขาหมอกราตรีย่อมเป็นคนมีวิชาและมีความกล้าหาญ

ชายร่างใหญ่ผู้นี้ก็ไม่ใช่ว่าอ่อนแอ ดังนั้นเมื่อยืนขึ้นแล้วก็กระโจนใส่หลินซวงทันที

แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ มือหนึ่งก็ยื่นออกมาคว้าคอเขาแล้วยกร่างขึ้นสูง

แค่คว้าไว้เท่านั้นเขาก็ไม่สามารถออกแรงได้อีกต่อไป

ชายร่างใหญ่เตะเท้าไปด้านหลัง หยิบแส้ออกมาโจมตีใครก็ตามที่คว้าเขาไว้จากด้านหลัง

แต่แทนที่อีกฝ่ายจะปล่อย เขากลับรู้สึกราวกับเตะโดนภูเขา กระดูกที่เท้าแตกไปหลายชิ้น

“อ๊าก เวรเอ๊ย! เท้าข้า!” ชายร่างใหญ่ร้องลั่น

น่าเสียดายที่ใครก็ตามที่คว้าคอเขาไว้ยังคงคว้าเขาตัวลอยไว้เช่นนั้น จะก้มลงประคองเท้ายังทำไม่ได้ จึงได้แต่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

สหายสองคนของเขาจึงพุ่งเข้ามา แต่ยังไม่ทันได้โจมตีก็ได้ยินเสียงโครมขึ้นสองครั้ง พวกเขาหมดสติไปทันใด

ชายร่างใหญ่รู้ว่าตนคงเจอผู้เก่งกล้าเข้าแล้ว จึงได้แต่ร้องขอความเมตตา “ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว”

โชคร้ายนัก คนที่คว้าคอเขาลอยอยู่ยังไม่สนใจ ชายร่างใหญ่ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร แต่ดูจากสายตาหวาดกลัวของเจ้าของโรงเตี๊ยมแล้ว ก็รู้ได้ว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่

ไม่ช้าเด็กชายตาบอดก็กลับมาพร้อมกับหิ้วกระเป๋าไว้บนหลัง

“ไปเถิดขอรับ” เขาว่า

เขากับหลินซวงออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าไปยังเขตหมอกลงตัวหนา

มือใหญ่ที่คว้าชายร่างใหญ่ไว้จึงปล่อยคน ร่างเขาปลิวไปเหมือนถูกยิงออกจากปืนใหญ่ ตอนที่ลุกขึ้นมาได้ คนผู้นั้นก็จากไปไม่เห็นเงาแล้ว

“บัดซบ ใครกล้าลอบโจมตีข้าเช่นนี้? เฮ้ย ตาแก่เจี๋ยเค่อ เจ้าเห็นอะไรหรือไม่?” ชายร่างใหญ่ถามเจ้าของโรงเตี๊ยมเสียงโกรธ

เจ้าของโรงเตี๊ยมยังคงเช็ดโต๊ะต่ออย่างสงบ “ข้าไม่เห็น หากเจ้าอยากใช้ชีวิตดี ๆ สำคัญที่สุดไม่ใช่พละกำลัง แต่เป็นสายตาว่องไวต่างหาก ข้าจะบอกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าล่วงเกินคนที่เจ้าไม่อาจล่วงเกิน”

เมื่อก้าวเข้ามาในม่านหมอก มือตรงหน้ายังมองไม่เห็นทีเดียว

ฮั่นเค่อเอ่ย “เมืองพลบค่ำอยู่ด้านนั้น หากมองไม่เห็นก็ตามข้ามาได้ แต่ข้าพาไปได้ถึงแค่ชานเมืองเท่านั้น เพราะด้านในอันตรายเกินไปสำหรับข้า”

เมืองพลบค่ำเป็นเมืองที่ชาวอาร์คาน่าทิ้งไว้ และเป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักสำรวจมากที่สุดด้วย

เนื่องจากไม่รู้ว่าเดิมทีเรียกว่าอะไร ดังนั้นจึงเรียกชื่อเหมือนกันกับอาณาจักรของชาวอาร์คาน่า

“เราไม่ได้จะไปเมืองพลบค่ำ” หลินซวงตอบ

“เอ๋? เช่นนั้นจะไปไหนหรือขอรับ?”

“เหมืองหินเมฆ”

“ที่นั่นอันตรายมากนะขอรับ! มีอสูรเมฆาอาศัยอยู่ทั่ว” ฮั่นเค่อ บอกตามตรง

อสูรเมฆาเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดในม่านหมอกที่สามารถไปมาได้โดยไร้ร่องรอย หรือก็คือมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดเลยทีเดียว

“เจ้าพาข้าไปก็พอ” หลินซวงกล่าว

“เช่นนั้นต้องจ่ายมาอีก”

เด็กหนุ่มรู้สึกฝ่ามือหนักขึ้นมา แท่งทองหลายแท่งถูกวางไว้บนฝ่ามือของเขา

เจ้าตัวจึงรีบเก็บมันไป “เอาล่ะ เช่นนั้นก็ตามข้ามาขอรับ แต่ข้าพาท่านเข้าใกล้ได้เท่านั้น ที่เหลือท่านต้องเดินทางเข้าไปเอง”

“ไม่มีปัญหา พาข้าไปทางที่ใกล้ที่สุดก็พอ”

“ทางที่ใกล้ที่สุดมีพวกสัตว์ประหลาดอยู่”

“ไปเถอะ ถ้าหากพบอันตรายก็ค่อยหนี”

ทั้งสองคนจึงมุ่งหน้าต่อไป

ระหว่างที่เดิน เด็กหนุ่มก็เอ่ยเตือนขึ้น “ระวังด้วยนะขอรับ ที่นี่มีสัตว์ประหลาดหลายอย่างที่อาจปรากฏตัวขึ้นมาตอนไหนก็ได้ ท่านต้องเตรียมพร้อมรับมืออยู่ตลอด ข้าต่อสู้ไม่ได้ ทำได้แต่วิ่งหนีเท่านั้น”

“อืม”

“ระวังด้วย ที่นี่มีอสูรพิษขดอาศัยอยู่ พวกมันไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่รับมือได้ยาก แต่ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงงูขู่เลยนะ? ดูท่าพวกมันจะไม่อยู่ ท่านนี่โชคดีไม่น้อยเลยนะขอรับ”

“อืม”

“ด้านหน้าเป็นเขตหมีดุร้ายตัวหนึ่ง ท่านรับมือมันไหวหรือไม่ขอรับ? ถ้าหากไม่ไหวเราเลือกไปทางอื่นได้… ประเดี๋ยวก่อน หมีมันหายไปไหนแล้ว? เหตุใดจึงไม่ได้ยินเสียงเลย? เอาเถอะ มันคงไม่อยู่กระมัง”

“อืม”

“ตรงหน้าเป็นเขตที่มีหมาป่าหมอกรวมฝูงกันอยู่ ตัวเดียวไม่แกร่งเท่าไหร่ แต่มันเคลื่อนไหวเป็นฝูง หากท่านสังหารได้สักหลายตัวพวกมันก็จะแตกฮือด้วยความหวาดกลัวเอง… เดี๋ยวก่อน พวกมันก็ไม่อยู่งั้นหรือ?”

“อืม”

“ตรงหน้าพวกเราคืองูปีศาจ มันทรงพลังมาก แต่ข้าว่ามันก็คงไม่อยู่เหมือนกันนะขอรับ”

“อืม”

“ด้านหน้าพวกเราเป็นเขตแดนของเต่าชรา เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังป้องกันสูงที่สุดในแถบนี้ ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่นะขอรับ”

“อืม”

“ตรงหน้าเราจะมีอีกตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้มันไม่อยู่ขอรับ”

“อืม”

ทั้งสองยังมุ่งหน้าไปยังทางตรงที่สุดเช่นนี้ไปเรื่อย

น่าประหลาดใจนักที่ทั้งคู่ไม่พบเจอสิ่งใดเลยตลอดทางที่ควรจะเต็มไปด้วยอันตราย ซึ่งก็หมายความว่าไม่เกิดการต่อสู้ขึ้นสักครั้ง

สิ่งนี้ทำให้ฮั่นเค่อประหลาดใจมาก เพราะเขาคิดไว้ว่าหากเจออันตรายสักนิดก็จะหนีทันที

หรือว่าพวกมันทั้งหลายจะย้ายถิ่นฐานกันไปหมดแล้วหรือ?

“ด้านหน้าเราคือเหมืองหินเมฆขอรับ ที่เหลือขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”

“อืม”

หลินซวงยังคงตอบกลับเขาเฉย ๆ เช่นนี้อยู่เรื่อยไป

เด็กหนุ่มหมุนตัวจากไปโดยไม่กล่าวคำอีก

เขาเดินกลับทางเดิม

“แปลกนัก เจ้าพวกนี้มันหายไปไหนกันหมด?” เด็กหนุ่มยังคงสงสัย จนกระทั่งเขาสะดุดบางอย่างที่พื้นเข้า

เขาย่อตัวลงแตะมัน สัมผัสได้ถึงความเรียบเนียนและความมันของหนังบางอย่าง เขารู้ทันทีว่ามันเป็นตัวอะไร “งูปีศาจ?”

มันตายแล้วนี่

ศพยังนิ่มอยู่ หมายความว่าเพิ่งตายได้ไม่นานเท่าไหร่

หรือว่าคนที่เขานำทางมาจะเป็นคนสังหารมันงั้นหรือ?

เด็กหนุ่มพลันเข้าใจ