ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 78 เหมืองหินเมฆ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 78 เหมืองหินเมฆ

ภายในเหมืองหินเมฆ

เมื่อหลินซวงเข้ามาด้านใน เข้าไปยิ่งลึกก็พบว่าหมอกยิ่งหนาตาขึ้น

ได้ยินเสียงน้ำหยดดังมาจากที่ไกลซ้ำไปซ้ำมา เป็นจังหวะน่าขนลุก

บางครั้งก็จะมีอสูรเมฆาหลายตัวกระโจนใส่หลินซวงอย่างดุร้าย หมายจะโจมตี ทว่าก็ถูกหุ่นเชิดยักษ์สังหารไม่ยากเย็น

มีหุ่นเชิดยักษ์คอยปกป้องเช่นนี้ หลินซวงจึงสบายใจมากขึ้น ก้าวเท้าเดินลึกเข้าด้านในอย่างมั่นคง

ยิ่งเดินเข้าไปลึกหมอกก็ยิ่งหนา ยิ่งมีอสูรเมฆามากขึ้น

อสูรเมฆาเหล่านี้แท้จริงแล้วก็ตัวมาจากหมอก ทำให้สามารถต้านรับการโจมตีรุนแรงได้ ดังนั้นการโจมตีที่ได้ผลที่สุดคือการใช้วิชาอาร์คาน่า

แม้ว่าหุ่นเชิดยักษ์จะไม่เชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่าเท่าไหร่ แต่ก็ใช้วิชาอาร์คาน่าขั้น 8 ซึ่งมากพอจะจัดการพวกมันได้

ยิ่งเดินเข้าไปลึก อสูรเมฆาก็ยิ่งแกร่ง สุดท้ายหุ่นเชิดยักษ์ยังต้องถูกบีบให้รุดหน้าได้ช้าลง

ฟ้าว!

ผนังเพลิงรุดหน้า บีบอสูรเมฆาด้านหน้าให้ล่าถอยไปพร้อมเสียงร้องเจ็บปวด

หลินซวงมุ่นคิ้ว นับเป็นครั้งแรกที่หุ่นเชิดยักษ์ไม่อาจสังหารอสูรเมฆาได้ในการโจมตีคราวเดียว

“แม้ว่าจะใช้เพียงวิชาอาร์คาน่าระดับ 6 แต่เราอยู่แค่ที่ชั้น 3 เท่านั้น ดูท่าจะฝ่าเข้าไปได้ไม่ง่ายเลย” หลินซวงพึมพำ

เหมืองหินเมฆต้องเดินลงมาค่อนข้างลึก จากข้อมูลที่บรรพชนมนุษย์มอบให้ มันมีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นยิ่งยากเย็นกว่าก่อน ชัดเจนว่าเป็นสถานที่อันตรายมากที่สุดแห่งหนึ่งในอาณาเขตคุน กระทั่งด่านมหาราชันยังฝ่าหนทางเช่นนี้ไปได้ยาก

ตามแผนเดิมของหลินซวงแล้ว สถานที่นี้ควรจะเป็นสถานที่ท้าย ๆ ที่เขาควรมาแท้ ๆ

แต่หุ่นเชิดยักษ์ที่ซูเฉินส่งมาให้ทำให้แผนการเขารวดเร็วขึ้นกว่าเดิม

เมื่อมีมันคอยช่วยเหลือแล้ว ในเชิงทฤษฎี หลินซวงควรจะสามารถกวาดล้างเหมืองนี้ไปจนถึงชั้น 3 ได้อย่างไม่ยากเย็น

ปกติแล้วอสูรเมฆาไม่ควรมีพลังแกร่งกว่าเจ้าอสูรกาย

ทว่าอสูรเมฆาในชั้น 6 กลับเหนือกว่านั้น เทียบขั้นกับราชันอสูรกายได้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป

หลินซวงมั่นใจเกือบเต็มที่ว่าคงเป็นเพราะสิ่งที่ถูกเก็บไว้ที่ชั้น 7 เป็นแน่

“เป็นของที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ อสูรเมฆาทั้งหมดในเหมืองหินเมฆล้วนทรงพลังมากขึ้น ดูท่าจะแกร่งเทียบเท่ากับอสูรเมฆาระดับจักรพรรดิอสูรกายเลยด้วยซ้ำ” หลินซวงพึมพำ

ฟ้าว!

อสูรเมฆาตัวหนึ่งที่รูปร่างเหมือนงูพุ่งเข้ามา รัดร่างหุ่นเชิดยักษ์ไว้แน่น

อสูรเมฆาเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นรูปร่างต่าง ๆ และมีความสามารถแตกต่างกันได้ เผยให้เห็นว่าพวกมันแกร่งเหนือกว่าระดับเจ้าอสูรกายไปแล้ว ดูอย่างงูตัวใหญ่ยักษ์นี่เป็นตัวอย่าง มันมีความสามารถรัดศัตรูจนขาดอากาศหายใจตายได้

น่าเสียดายที่เมื่อเทียบกับพลังของหุ่นเชิดยักษ์แล้วนับว่ายังน้อยไป หุ่นเชิดยักษ์ฉีกร่างมันออกโดยง่าย แม้อสูรเมฆาที่จับต้องได้เหล่านี้จะแข็งแกร่งกว่า แต่การที่จับต้องได้ก็หมายความว่าหุ่นเชิดยักษ์สามารถส่งหมัดโจมตีเป้าได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

อสูรเมฆาอีกตัวรูปร่างเหมือนเต่ายักษ์รุกเข้ามา หมายจะเอากระดองแข็งกระแทกหุ่นเชิดยักษ์ น่าเสียดายที่กระทั่งราชันอสูรกายตัวจริงยังไม่กล้าลงมือกับหุ่นเชิดยักษ์เช่นนั้น ดังนั้นชะตามันจึงขาดตั้งแต่ตอนที่คิดว่าจะปะทะหุ่นเชิดยักษ์โดยตรงแล้ว

ผัวะ!

หมัดดั่งเหล็กของหุ่นเชิดกระแทกลงบนกระดองมันอย่างไร้ความปรานี สังหารอสูรเมฆาไปอีกตัว

ตูม!

หุ่นเชิดยักษ์ย่างเท้าก้าวต่อ ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ไม่อาจมีผู้ใดหยุดยั้งไปทั่วทั้งเหมือง

กระนั้นอสูรเมฆาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถอย

“พวกมันไม่กลัวตายจริง ๆ เป็นเพราะเศษเจตจำนงงั้นหรือ? หรือเพราะมีเหตุผลอื่น?” หลินซวงงึมงำ “เสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ได้เวลาใช้เจ้านั่นแล้วล่ะ”

เมื่อตัดสินใจแล้ว หุ่นเชิดยักษ์ก็ดึงของสิ่งหนึ่งออกมาจากในร่าง โยนใส่ฝูงอสูรเมฆาที่บุกเข้ามา

เกิดระเบิดทรงพลังและรุนแรงดังกึกก้องไปทั่วทั้งถ้ำทันที

มันเป็นยาระเบิดชนิดพิเศษที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นมา หลังจากทดสอบดูหลายครั้ง ปรับปรุงผลอยู่หลายหน มันก็กลายเป็นอาวุธทรงพลังในที่สุด ทั้งยังเป็นของไม่กี่อย่างที่หลินซวงในตอนนี้สามารถสร้างขึ้นได้เองด้วย

ยามหลินซวงเขวี้ยงยาระเบิดจำนวนมากออกไป เสียงโหยหวนและเสียงกรีดร้องของอสูรเมฆาในหมอกก็ดังมาให้ได้ยิน

“บุกเข้าไป ให้มันรู้ซึ้งเสียบ้าง!” หลินซวงสั่งเสียงดัง

หุ่นเชิดยักษ์พุ่งเข้าสู่การต่อสู้ ทั้งร่างเรืองแสงขึ้นพร้อมกับหมัดที่กระแทกพลังออกไปรอบหนึ่ง

“ฟ่อ!”

พริบตาเดียว อสูรเมฆาอันทรงพลังทั้งหลายก็ถูกกำจัดไปจนสิ้น

หลังจากทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง อสูรเมฆากลุ่มใหญ่ก็ถูกกำจัดไป สุดท้ายพวกมันจนเริ่มรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาบ้าง

ใช่แล้ว อสูรเมฆาที่ทรงพลังเทียบชั้นกับราชันอสูรกายได้เหล่านี้ก็มีสติปัญญาอยู่เล็กน้อยด้วย

และเมื่อมีสติปัญญาก็มีความกลัวตายด้วยเช่นกัน

พวกมันรีบถอยหนีไปยังทางเข้าสู่ชั้น 7

“ต้องแบบนี้สิ” หลินซวงหัวเราะ

เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นจนตาพร่า ตอนที่กลับมามองเห็นก็พบว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าพร่างพราวไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่

เงาร่างยักษ์จ้องมองลงมาที่เขา ร่างของเขาเรืองแสงสีทองเด่น หลินซวงไม่อาจมองใบหน้ายักษ์ได้ชัดเจน แต่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมานัั้นดูไร้ที่สิ้นสุดและภูมิฐานยิ่งนัก เหลือบตามองแค่แวบเดียวก็สะท้านไปทั้งกาย จนในใจหมายอยากเคารพบูชา

กระทั่งหลินซวงยังได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายนี้

“ใครกล้าบุกรุกดินแดนของข้า! จงคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” เทพที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองเอ่ยเสียงดังสนั่น แรงกดดันทรงพลังปลดปล่อยออกจากร่าง ข่มขู่บีบคั้นให้หลินซวงไร้ทางสู้

แต่จังหวะนั้นเอง ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังหลินซวง

ซูเฉิน

ในฐานะต้นสายเลือดของหลินซวง ซูเฉินและหลินซวงนับเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ร่วมกันได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นเมื่อหลินซวงตกอยู่ในอันตราย ภาพของซูเฉินก็จะปรากฏขึ้น

แรงกดดันที่บีบคั้นหลินซวงอยู่พลันหายไปอย่างน่าประหลาด ทำให้จิตกลับคืนสู่ความสงบ

หลินซวงหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าเล่ห์ไม่น้อย เจ้าคิดจะเลียนแบบเทพจริงหรือนี่?”

“โอหังนัก!” เงาร่างแสงสีทองคำรามโกรธ “กล้าสงสัยพลังของข้างั้นหรือ?”

“แน่นอน ทำไมจะไม่ได้เล่า?” หลินซวงหัวเราะ “ข้าไม่ได้มาเพื่อบูชาเทพ แต่มาจัดการต่างหาก”

ว่าแล้วเขาก็พุ่งออกไป กระโจนไปสู่ชั้น 7

ในชั้น 7 ไม่มีทางอุโมงค์อีก มันเป็นพื้นที่ใต้ดินที่มีขนาดกว้างใหญ่

น่าประหลาดที่ไม่มีอสูรเมฆาอยู่ที่นี่สักตัว สิ่งเดียวที่อยู่ในห้องคือ ร่างครึ่งแกะครึ่งมนุษย์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง

เบื้องหลังร่างครึ่งแกะครึ่งมนุษย์คือซากศพขนาดใหญ่

ศพนี้ยาวเกือบร้อยจั้ง แม้จะเห็นได้ว่ามันตายมานานแล้ว แต่ก็ยังมีแสงศักดิ์สิทธิ์อ่อน ๆ เรืองออกมาจากซากศพ

นี่คือซากศพของเทพ

มันคือสิ่งที่เก็บอยู่บนชั้น 7 ของเหมืองหินเมฆนั่นเอง

ซากศพเทพ!

เผ่าเทพจำนวนมากได้ตายลงในศึกแห่งทวยเทพ

บ้างก็ตายไปไม่เหลือศพ บ้างก็ตายไปโดยที่ศพยังอยู่ในสภาพดี

ซากศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ยังเหลือพลังอยู่บ้าง มากพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงและทำให้สิ่งมีชีวิตบางอย่างที่เข้าใกล้มันทรงพลังขึ้นได้ พวกมันจะกลายเป็นองครักษ์พิทักษ์ซากศพหลังจากที่ไม่ถูกผลกระทบจากพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว

สิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์แข็งแกร่งขึ้นก็เพราะดูดพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในซากศพเทพนี้เข้าไป มันยังเป็นหัวหน้าของอสูรเมฆาทั้งหลายที่อยู่ในเหมืองด้วย

มันเป็นผู้ที่สร้างภาพมายาก่อนหน้านี้ เพื่อหวังจะหลอกให้หลินซวงกลัวแล้วหนีไป

หลินซวงยอมรับว่าภาพพญาของมันทั้งทรงพลังและเหมือนจริงมาก สามารถสร้างแรงกดดันที่เหมือนกับทวยเทพจริง ๆ มาปรากฏทีเดียว

หากไม่ใช่เพราะสายเลือดซูเฉิน มันก็คงทำสำเร็จไปแล้ว

“มนุษย์… เจ้าไม่ควรมาที่นี่” สิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“เจ้าพูดได้ด้วยงั้นหรือ?” หลินซวงเห็นแล้วก็ชะงัก

แม้ว่าการที่อสูรกายพูดได้นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หลินซวงก็ประหลาดใจกับสติปัญญาของมัน เพราะอสูรเมฆาทั้งหลายที่เขาประมือมาก่อนหน้านี้ดูไร้สมองมาก

จากนั้นหลินซวงก็เริ่มหัวร่อ “เจ้าพยายามหลอกให้ข้ากลัวหรือ?”

“ไปเสียตอนนี้ เจ้าอาจจะยังมีทางรอด!” สิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์คำราม

“หากเจ้ายอมมอบสิ่งที่อยู่เบื้องหลังให้ ข้าจะไปทันที” หลินซวงว่าพลางชี้ไปด้านหลังมัน

“เจ้าโจรละโมบ! ไม่ว่าใครก็ห้ามคิดอยากได้สมบัติของข้าทั้งนั้น ตายเสีย!” เมื่อได้ยินคำหลินซวง มันก็คำรามเสียงโกรธ ก่อนจะปล่อยคลื่นพลังสีดำเขียวมาทางหลินซวง

หลินซวงย่อมไม่รับมือการโจมตีเช่นนี้เอง หุ่นเชิดยักษ์เดินหน้าเข้ามา พลันเกิดรัศมีแสงคลุมรอบกายเขาไว้ แสดงให้เห็นถึงการใช้ค่ายกลวิชาอาร์คาน่าที่ครอบกายหลินซวงไว้ภายใน

“ทำไมกัน? เหตุใดมันจึงมีพลังมากมายเช่นนั้นทั้งที่ไร้ชีวิตได้?” สิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็นหุ่นเชิดมาก่อน จึงไม่เข้าใจว่ามันมีตัวตนอยู่ได้อย่างไร

หุ่นเชิดยักษ์ย่อมไม่ตอบ กระแทกหมัดหลายหมัดเข้าใส่แทน

มันชอบใช้การโจมตีทางกายภาพอันทรงพลังเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้เช่นนี้

พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของมันปะทะคลื่นพลังงานสีเขียวดำ ทำให้พลังงานสีเขียวดำบิดเบี้ยวไปน่าประหลาด

เป็นผลมาจากพลังงานที่แตกต่างกันสองประเภทเข้าปะทะกัน ความผันผวนพลังที่ตีออกทรงพลังมากจนทำลายทั้งเหมืองยังได้

จากพลังศักดิ์สิทธิ์ของซากศพแล้ว สิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์นี้แกร่งเทียบขั้นด่านมหาราชันเลยทีเดียว ดังนั้นศึกระหว่างมันกับหุ่นเชิดยักษ์จึงดุเดือดเป็นพิเศษ

การโจมตีจากหลินซวงที่อยู่ขั้นก่อร่างและเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารนับว่าไร้ผล

แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย

หลินซวงสร้างผนึกมืออยู่ด้านหลังหุ่นเชิดยักษ์อย่างเงียบเชียบ

เป็นไปดังคาด…

ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์

พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายค่อย ๆ หลั่งไหลออกมาจากซากศพ ลอยขึ้นไปในอากาศ ยิ่งทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยหนุนพลังให้สิ่งมีชีวิตได้หลังจากที่ได้ร่างเซียนมาแล้ว

แต่ที่สำคัญมากกว่านั้น พลังศักดิ์สิทธิ์นี้สามารถดูดซึมและนำไปกลั่นได้!

หลินซวงไม่คิดรั้งรออีก

เขาคล้ายกับเป็นเด็กตะกละ เริ่มดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนมันให้เป็นพลังอมตะเพื่อเอาไว้ใช้งานต่อ

พลังศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์เองก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ดังนั้นหลินซวงจึงพบว่ามันสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังอมตะได้ง่ายเป็นพิเศษ

“สู้ให้นานกว่านี้อีกหน่อยเถอะ ข้าไม่รีบ” หลินซวงว่าพร้อมรอยยิ้มจาง

แม้ว่าหลินซวงจะไม่รีบ แต่ไม่นานสิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์ก็ค้นพบความผิดปกติ

เหตุใดพลังมันจึงเริ่มหายไปกัน?

“เจ้าทำอะไรกับข้า?” มันร้องขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด

“ก็เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอย่างไรเล่า”

“ไอ้บัดซบ!” สิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์ซัดการโจมตีรุนแรงอย่างน่าเหลือเชื่อเข้าใส่ ทะลวงผ่านเกราะป้องกันของหุ่นเชิดยักษ์ไปได้

กระนั้นหลินซวงก็ทำเพียงยกนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง เกิดแสงสีขาวจางแผ่ออกมาก่อนจะโอบล้อมไปทั่วทั้งร่างกายเขา

พละกำลังของขั้นก่อร่างไม่อาจเปรียบได้กับด่านมหาราชัน แต่ตราบเท่าที่เขายินดีจะใช้พลังอมตะจำนวนหนึ่งเพื่อสกัดกั้นการโจมตีเอาไว้ หลินซวงก็ไม่จำเป็นต้องกลัวการโจมตีของมันอีก

ดูจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในอากาศและจากหุ่นเชิดยักษ์ที่คอยปกป้องหลินซวงแล้ว พวกมันคงไม่มีทางทำให้เขาต้องใช้พลังอมตะจนหมดหรอก กลับเป็นฝ่ายพวกมันที่ไม่นานก็หมดพลังเสียเอง