ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 79 เศษวิญญาณ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 79 เศษวิญญาณ

สิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์ส่งเสียงขู่ฟ่อประหลาดออกมา

วงพลังกระเพื่อมออกจากร่างของมัน ทว่าหลินซวงก็ไม่หวั่นไหว

ท่าทีของเขาทำให้มันประหลาดใจไม่น้อย เจ้าเด็กที่ดูอ่อนแอไร้ทางสู้ผู้นี้ต้านทานการโจมตีของมันได้อย่างไร?

หากพลังศักดิ์สิทธิ์ของมันนับเป็น 10,000 หน่วย เช่นนั้นพลังอมตะของหลินซวงคงอยู่ที่ 100 หน่วย ปกติแล้วความแตกต่างกันมากเช่นนี้ย่อมทำให้หลินซวงถูกสังหารในพลัน

แต่ในเมื่อพลังอมตะนั้นแท้จริงแล้วเหนือขั้นกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ หลินซวงจึงไม่ถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ของมันกำราบจนกว่าเขาจะใช้พลังอมตะจนหมด

เป็นไปดั่งคำกล่าว น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน แต่ในจังหวะนั้น หยดน้ำเหล่านั้นกลับกระเด็นออกจากหินเพียงเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อมีหุ่นเชิดยักษ์คอยสกัดการโจมตีส่วนมากเอาไว้ได้ มันจึงไม่อาจปะทะกับเกราะหลินซวงได้ด้วยซ้ำ หมายความว่าหลินซวงสามารถดูดกลืนและเปลี่ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รุดหน้าเข้ามาให้กลายเป็นพลังอมตะ เกิดเป็นวัฏจักรพลังที่คอยหนุนเกราะป้องกันของเขาอย่างไร้ที่สิ้นสุดจนมันไม่อาจทะลวงได้

แน่นอนว่ามันย่อมไม่เข้าใจกระบวนการเหล่านี้ มันรู้แค่ว่าหลินซวงถูกโจมตีแล้วไม่เห็นเป็นอะไร ยิ่งมันสู้ต่อ หลินซวงยิ่งดูแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มันรู้สึกวิตกไม่น้อย

มันร้องโหยหวน “เจ้าคิดหรือว่าจะต้านรับพลังจากเผ่าเทพได้? จงคุกเข่าลงเสีย!”

สิ้นเสียงคำรามของมัน เจตจำนงเมื่อก่อนหน้าก็รุดเข้ามาอีก เติมเต็มภายในถ้ำด้วยแสงสีทอง

ที่มากไปกว่านั้น ในมือมันปรากฏตรีศูลทองคำเล่มหนึ่งชี้มาทางหลินซวง ตัวอักษรแสงสีทองนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายโดยพลัน

“หืม?” หลินซวงเห็นตรีศูลทองที่ปรากฏอย่างฉับพลันก็ตกใจ “เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์หรือ?”

แต่เขาไร้ความเกรงกลัว จังหวะที่ตรีศูลทองปรากฏ หุ่นเชิดยักษ์ก็ตอบสนองเช่นกัน

มันเอื้อมไปหยิบอาวุธข้างหลังออกมา

มันคือดาบธรรมดาเล่มหนึ่งที่ดูไม่โดดเด่นนัก แต่เมื่อปะทะเข้ากับตรีศูล ก็มีระลอกพลังระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ก่อนพลังทั้งหลายจะหายไป ทว่าตัวดาบดูไม่เป็นอะไรสักนิด

“เครื่องมือพลังสูญ!?” มันร้องลั่นเสียงตะลึง

แม้มันจะไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ แต่ก็สร้างขึ้นจากของที่มีคุณสมบัติพลังสูญที่หาได้ยาก ความสามารถหนึ่งของมันได้สำแดงพลังเมื่อตอนที่พลังปะทะกันแล้วมันส่งพลังเหล่านั้นไปอีกแดนหนึ่ง สกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ทำร้ายหุ่นเชิดหรือหลินซวงได้

มันไม่คิดเลยว่าหุ่นเชิดจะถืออาวุธที่ทรงพลังขนาดนี้ได้

“เจ้าทำให้ข้าไร้ทางเลือกเสียแล้ว” หลินซวงว่าแล้วก็ถอนหายใจ

ด้วยเพราะมีเพียงโอกาสเดียวที่จะส่งของมาให้หลินซวงได้ ซูเฉินจึงเค้นสมองหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถเพิ่มพลังหลินซวงให้ได้มากที่สุด ดาบเล่มนี้ที่ตีขึ้นจากโลหะดาราสูญเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เขาเลือกมอบให้หุ่นเชิด ซึ่งมันไม่ได้แค่เพิ่มพลังเพียงอย่างเดียว แต่มันยังสามารถทำให้หุ่นเชิดยักษ์ผ่านปราการมาได้โดยที่เผ่าเทพไม่ทันสังเกตด้วย

แม้ว่ามันจะเป็นอาวุธที่โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่งในแดนต้นกำเนิด แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไร้ชื่อ

ทว่าอาวุธไร้ชื่อเสียงเรียงนามเล่มนี้สามารถสกัดการโจมตีจากตรีศูลศักดิ์สิทธิ์ได้เนื่องจากคุณสมบัติด้านพลังสูญนั่นเอง ตัวอักษรสีทองที่ปล่อยออกมาจากปลายอาวุธถูกส่งไปยังแดนอื่นไร้พิษภัยใด

“ปล่อยให้พลังศักดิ์สิทธิ์ไหลผ่านบ้าง ข้าต้องดูดซับมันอีก” แต่หลินซวงกลับไม่พอใจเจ้าหุ่นเชิด

เขาต้องการดูดซับและเปลี่ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ของมันต่อ

หุ่นเชิดยักษ์ส่งเสียงคล้ายโลหะกระทบกันเป็นคำตอบ ก่อนที่พลังศักดิ์สิทธิ์บางส่วนจะลอยเข้ามาหาหลินซวงได้

“บัดซบ! คิดหรือว่าเจ้าชนะแล้ว?” มันเห็นหลินซวงไม่สนใจก็โกรธนัก

อีกฝ่ายทำเหมือนการโจมตีครั้งนี้เป็นของชูกำลังเสียอย่างนั้น

ภาพสีทองเบื้องหลังมันดูจับต้องได้มากขึ้น แรงกดดันที่ปล่อยออกมามีมากขึ้นกว่าเดิม ทันใดนั้นผนังถ้ำก็เต็มไปด้วยตัวอักษรสีม่วงจาง ๆ ปกคลุม มันปล่อยกลิ่นอายลึกล้ำและลึกลับออกมา

แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันนั้นรุนแรงมากเสียจนกระทั่งหลินซวงที่มีลักษณ์ของซูเฉินยังทานทนได้ยาก

นับเป็นครั้งแรกในการต่อสู้ที่นัยน์ตาเขาปรากฏความตกตะลึง “เจ้าทำเพียงดูดพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพไปส่วนหนึ่ง เหตุใดจึงใช้พลังมากมายเช่นนี้ได้?”

“กลัวหรือ?” มันหัวเราะเสียงทะมึน

“กลัว? ไม่เลย” หลินซวงหัวเราะเสียงเย็นกลับ จากนั้นก็เลิกคิ้วสูง เอ่ยคำเหมือนเข้าใจขึ้นมา “มันเป็นเช่นนี้นี่เอง! ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่เพียงดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังดูดซับเจตจำนงบางส่วนของมันมาด้วย ฮ่า ๆ เจ้าเป็นเทพนี่เอง! เทพที่สิ้นไปแล้วผู้นั้นฝังเจตจำนงไว้กับสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารเช่นเจ้า ใช้เจ้าเพื่อดูดพลังศักดิ์สิทธิ์จากซากศพของเขา เพื่อจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้”

มันได้ยินคำหลินซวงแล้วก็ตกใจนัก “ไม่จริง!”

มันกลัว แต่ไม่ใช่กลัวเป็นอย่างที่หลินซวงว่า มันกลัวว่าเทพตนอื่นจะรู้เข้าต่างหาก

“ยังคิดจะปฏิเสธอีกหรือ?” แววเย็นยะเยือกวาบผ่านนัยน์ตาซูเฉิน “เดิมทีข้าคิดไว้ว่าจะดูดพลังศักดิ์สิทธิ์สักหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอจิตเทพอยู่ที่นี่ นับเป็นของล้ำค่าอย่างแท้จริง!”

“รู้ว่าข้าเป็นเทพตัวจริงแล้ว เหตุใดจึงยังไม่คุกเข่าลงอีก!?” มันรู้ว่าปิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาเต็มที่

ภาพเทพเจ้าสีทองด้านหลังของมันกลั่นแน่น คือชายร่างสูงดูสง่างามผู้นั้นเอง ใบหน้าชายคนนั้นดูคล้ายกับสิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเขามาก

ตัวอักษรสีม่วงบนผนังเริ่มส่องแสงสีเข้มขึ้น น่าตกใจนักที่มันใช้ตัวอักษรเหล่านี้ในการควบคุมกฎแห่งพลัง

หลินซวงและหุ่นเชิดยักษ์จะสามารถรับมือกับพลังของเทพตัวจริงได้หรือไม่?

คำตอบนั้นยังคงอยู่ในอากาศ

แต่เมื่อกลิ่นอายของอีกฝ่ายพุ่งสูงขึ้น หลินซวงพลันตะโกน “เจ้าอาจจะทำเช่นนั้นได้… แต่ข้าก็ทำได้เช่นกัน!”

เมื่อเขาร้องขึ้น ลักษณ์ซูเฉินเบื้องหลังหลินซวงก็พลันเปิดเปลือกตา

เมื่อครู่มันยังเป็นเพียงลักษณ์ธรรมดา แต่เมื่อมันลืมตาขึ้นแล้วก็ราวกับว่าซูเฉินตัวจริงได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ที่มากไปกว่านั้นคือยังมีอีกลักษณ์หนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของซูเฉินอีกด้วย

มันเผยให้เห็นภาพทิวทัศน์งดงามที่มีอสูรขนาดมหึมาหลายตัวกำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่

ลั่วโหยว วายุกรรโชก วิหคทอง อินทรีเย้ยเมฆา และเทพอสูรอีกสามตัวล้วนปรากฏตัวอยู่ในภาพทิวทัศน์ดั่งตวัดพู่กันวาดนี้

ลักษณ์มังกรสุริยะเคลื่อนไหวพลิ้วไปมาบนท้องฟ้า

ทว่าเหนือมังกรสุริยะยังมีสัตว์อสูรอีกตัวหนึ่ง

มันมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่เป็นจุดศูนย์กลางของภาพทิวทัศน์โบราณดุดันภาพนี้

เป็นค้างคาว

เจ้าค้างคาวเกาะอยู่เหนือมังกรสุริยะ สายตาเย็นชาจับจ้องไปที่เหยื่อ

เมื่อภาพภูมิทัศน์โบราณเผยกาย เจ้าค้างคาวก็ลืมตาขึ้น

อีกทั้งมันยังสามารถพูดได้ด้วย “จะใช้งานกันเร็วเช่นนี้เลยหรือ?”

กระทั่งสิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์ยังตกตะลึงเมื่อได้เห็นค้างคาวตัวนี้

“ค้างคาวชิงโลหิต? ยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?”

ร่างแยกของบรรพชนเสวียคำรามเสียงโกรธเมื่อได้เห็นสิ่งมีชีวิตครึ่งแกะครึ่งมนุษย์ “อูเท่อเหลยเต๋อ เป็นเจ้านี่เอง! ข้าจะตายได้อย่างไรหากยังไม่ฝังร่างตัวบัดซบเช่นเจ้าลงดิน?”

หลินซวงเอ่ย “บรรพชนเสวีย โปรดโจมตีด้วย!”

บรรพชนเสวียพุ่งออกมาจากภาพทิวทัศน์ มุ่งหน้าเข้าใส่เจ้าสิ่งมีชีวิตนั่น

มันคำรามตอบแล้วซัดกฎแห่งพลังใส่เต็มกำลัง แต่กลับไร้ผล บรรพชนเสวียเหมือนอยู่กันคนละมิติ หลบกฎแห่งพลังไปได้ ก่อนจะกระแทกร่างเข้ากับอกมันทันที

ตูม!

ร่างแยกบรรพชนเสวียแตกกระจายออก ส่งเลือดอาบไปทั่วร่างมันตั้งแต่หัวจรดเท้า

มันเป็นเลือดที่มีพลังกัดกร่อนสูงมาก กระทั่งพลังศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สามารถยับยั้งมันไม่ให้ทำลายเนื้อหนังได้ ยามร่างมันค่อย ๆ หลอมละลายหายไป มันก็ดิ้นไปมาแล้วร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

“อย่าทำลายจิตของมันไปด้วย ข้าต้องการจิตของมัน!”

ฟ้าว!

ร่างที่ก่อตัวจากสิ่งที่คล้ายไฟถูกดึงออกมาจากร่างของมัน ลอยมาอยู่บนฝ่ามือของหลินซวง

แต่ทันทีที่ได้แตะมัน เปลวเพลิงก็พลันพุ่งเข้าไปในร่างของหลินซวง

“คิดจะแย่งร่างข้าหรือ?” หลินซวงขู่ในลำคอ

ลักษณ์ด้านหลังยังคงปรากฏ ภาพฉายซูเฉินยังคงอยู่ มีเพียงค้างคาวชิงโลหิตเท่านั้นที่หายไป ภาพฉายซูเฉินตวัดสายตามองร่างเพลิงด้วยสายตาดุดัน หยุดมันไว้ได้ระหว่างลงมือ ทำเอามันดีดดิ้นด้วยความเจ็บปวด

จริง ๆ แล้วการจะชิงร่างใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะไร้ภาพฉายซูเฉินคอยปกป้องร่างหลินซวง แต่เศษวิญญาณนี่ก็คงทำไม่สำเร็จอยู่ดี แต่การหยุดมันไม่ใช่เป้าหมายของซูเฉิน

ภาพฉายซูเฉินเอื้อมมือมาจากด้านหลังหลินซวง คว้าร่างเพลิงเอาไว้ จากนั้นโยนเข้าปากเขาไป

หลังจากนั้น ภาพลักษณ์ของซูเฉินที่ดูจับต้องไม่ได้ก็พลันกลั่นแน่น กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา

กลับมายังแดนต้นกำเนิด ซูเฉินที่กำลังอยู่ระหว่างการประชุมผู้มีตำแหน่งสูงในนิกายไร้ขอบเขต จู่ ๆ ก็เงียบไปพร้อมกับเงาร่างที่เริ่มเลือนหาย เมื่อเขาเปลี่ยนร่าง เขาก็ดูเหมือนมนุษย์น้อยลงเรื่อย ๆ และดูเหมือนหมอกแสงมากขึ้นกว่าเดิม

กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างสองแดนเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีเพียงหลินซวงที่เกิดจากสายเลือดของซูเฉินเท่านั้นที่จะสามารถสื่อสารกับร่างหลักของซูเฉินได้อย่างใกล้ชิดเช่นนี้ และการเปลี่ยนแปลงนี่ก็เป็นไปได้เนื่องจากเศษวิญญาณที่เขาเพิ่งกลืนเข้าไปนั่นเอง

ในตอนนั้นเอง การเชื่อมต่อระหว่างจิตของทั้งสองก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ซูเฉินสามารถฝ่าผ่านข้อจำกัดของปราการเข้ามา มอบพละกำลังให้หลินซวงได้มากขึ้น

ความแตกต่างระหว่างสายเลือดที่ยังมีชีวิตอยู่และสายเลือดที่สิ้นไปแล้วมากเกินกว่าจะอธิบาย ทั้งนี้ยังเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ร่างแยกบรรพชนเสวียทรงพลังนัก

แต่การเชื่อมต่อที่แข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่ผลประโยชน์ที่แท้จริงจากการได้รับเศษวิญญาณ

จังหวะที่เขากลืนมันลงไป เศษวิญญาณก็ถูกแบ่งระหว่างซูเฉินกับหลินซวง

ซูเฉินเอ่ยเสียงตื่นเต้น “ข้าสัมผัสได้เลยว่าเศษวิญญาณนี้จะเป็นประโยชน์ในการค้นหาการบ่มเพาะพลังที่สูงขึ้นกว่าเดิมของข้าได้ อาจช่วยให้หลุดจากหล่มที่ติดอยู่ในช่วงนี้ก็เป็นได้”

“เป็นประโยชน์ในการค้นหาการบ่มเพาะพลังที่สูงขึ้นกว่าเดิมหรือ?” หลินซวงเองก็ดูจะตื่นเต้นเช่นกัน

เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว

ความแตกต่างระหว่างพลังของเผ่ามนุษย์และเผ่าเทพยังคงเป็นปัญหาหลัก

ระบบบ่มเพาะพลังอมตะจึงเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขามีโอกาส

แต่ระบบนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ตอนนี้ยังพัฒนาได้เพียงแค่ 3 ขั้น แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญพลังยาเม็ดทองคำจะแกร่งเทียบกับด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้ แต่ระบบพลังอมตะก็ยังไม่สามารถเอาชนะขีดจำกัดของระบบการบ่มเพาะพลังเดิมไปได้

หากซูเฉินสามารถทะลวงด่านที่สูงขึ้นไปได้อีก เช่นนั้นเผ่ามนุษย์ก็จะแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก เมื่อควบรวมกับระบบลมเพราะพลังของเดิมที่มีอยู่ย่อมจะทำให้เผ่ามนุษย์มีความมั่นใจในการทำสงครามกับเผ่าเทพมากขึ้น

“เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรเอาเศษวิญญาณทั้งหมดไปเสีย” หลินซวงกล่าว

“ข้าเองก็อยากทำเช่นนั้น แต่ในเมื่อข้ากลืนมันผ่านลักษณ์ ดึงดูดซับมันได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น” ซูเฉินพูดแล้วก็ถอนหายใจเสียดาย

“ให้ข้าช่วยเถอะ!” จู่ ๆ หลินซวงก็กระแทกฝ่ามือออกไป

ตัวอักษรสีม่วงที่เจ้าสิ่งชีวิตเรียกมายังคงลอยอยู่ในอากาศ

กฎแห่งพลังเป็นสิ่งที่ต้องได้มาและเชี่ยวชาญผ่านความเข้าใจเท่านั้น ดังนั้นหลินซวงจึงไม่สามารถใช้งานโดยตรงได้ แต่เพราะซูเฉินเขาจึงเข้าใจหลักการขั้นพื้นฐานของมันอยู่บ้าง

ดังนั้นในขณะที่หลินซวงไม่สามารถซึมซับกฎแห่งพลังเองได้ แต่เขาก็ยังสามารถใช้มันเพื่อประสานทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเขากับซูเฉินแข็งแกร่งขึ้นได้

ในจังหวะนั้นเขาก็หมดสติไป ส่งผลให้ร่างหลักของซูเฉินได้รับเศษวิญญาณไปให้มากที่สุด

กลับมา ณ แดนต้นกำเนิด ศิษย์ระดับสูงนิกายไร้ขอบเขตกำลังจ้องซูเฉินที่ผิวกายเริ่มจางลงเรื่อย ๆ ด้วยความตกใจ ภายในร่างเริ่มมีแสงทองส่องออกมา ควันสีม่วงจางเริ่มลอยออกมาล้อมรอบกาย

“กะ… เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันตกใจ

พริบตาต่อมา ร่างของซูเฉินก็กลับมาจับต้องได้อีกครั้ง เขาพลันร้องเสียงตื่นเต้นขึ้นมา “ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดก็สำเร็จ!”

สำเร็จอะไร?

ตูม!

จิตวิญญาณทรงพลังพลันพุ่งออกมา ห่อหุ้มทั้งวังและพื้นที่โดยรอบในทันที