ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 80 เจ้าแห่งพายุ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 80 เจ้าแห่งพายุ

ซูเฉินลอยอยู่ในอากาศด้วยใบหน้าผ่อนคลายนิ่งสงบ แต่จิตกลับแพร่ขยายไปทั่วเขตแดน

ราวกับว่าเจตจำนงแห่งจิตนั้นไร้ที่สิ้นสุด มันกระจายออกไปราวกับคลื่นสมุทร ความสง่างามทำให้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้เกิดอยากทำความเคารพบูชาขึ้นมา

แท้จริงแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าเจตจำนงอันทรงพลังเช่นนี้ ทุกคนพลันรู้สึกคล้ายกับว่าไม่อาจต้านทานมันได้เลย

อยู่ต่อหน้าเทพอสูรพวกเขายังไม่รู้สึกเช่นนี้ ทว่ากลิ่นอายนี้กลับปลดปล่อยออกมาจากมนุษย์คนหนึ่ง

มีหรือที่ทุกคนจะไม่ตกตะลึง?

ผู้คนทั้งหลายแหงนมองซูเฉินที่ลอยอยู่บนฟ้า ก่อนพวกเขาจะคุกเข่าลง ไม่อาจต้านทานความรู้สึกอยากทำความเคารพบูชาได้อีกต่อไป

“สามี!” กู่ชิงลั่วตะโกนเรียกพลางแหงนมองซูเฉินด้วยความตกใจ

พริบตาต่อมา เจตจำนงอันทรงพลังก็กลับเข้าร่างซูเฉินและหายไป เมื่อแรงกดดันจางลง พวกเขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมเพรียงกัน

ซูเฉินมองทุกคนที่อยู่ด้านล่างพร้อมกับรอยยิ้มบาง “ขออภัยด้วย ไม่ได้ตั้งใจทำให้ทุกคนกลัวแต่อย่างใด”

จูเซียนเหยาเหินร่างมาเช่นกัน “สามี เจ้าดูจะมีอะไรเปลี่ยนไปนะ”

ซูเฉินตอบ “เจ้าปราดเปรื่องไม่ใช่น้อย ถูกต้อง ข้าทะลวงพลังแล้ว”

ทะ… ทะลวงหรือ?

เจ้าอยู่ด่านมหาราชันแล้วนี่? มันจะทะลวงไปไหนได้อีกหรือ?

แต่ไม่นานทุกคนก็เข้าใจ

กู่ชิงลั่วกระโดดเข้าอ้อมแขนเขาทันใด “เจ้าทะลวงผ่านด่านยาเม็ดทองคำแล้วหรือ?”

ซูเฉินพยักหน้าเบา ๆ

เขาทำเช่นนั้นได้แล้ว เป็นผู้บุกเบิกสู่ขั้นพลังใหม่นี้

แม้จะใช้เศษวิญญาณเป็นตัวช่วย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็มาจากการที่เขามีพื้นฐานมั่นคงด้วยส่วนหนึ่ง

ซูเฉินพยายามค้นหาวิธีทะลวงพลังที่เหนือชั้นไปกว่าขั้นยาเม็ดทองคำมาโดยตลอด และตอนนี้ก็ได้ก้าวสู่ขั้นกว่าของการบ่มเพาะพลังอมตะแล้ว

ดูจากประสบการณ์ที่เคยมีกับพลังต้นกำเนิด เขาได้คาดการณ์เส้นทางสมมุติไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ก็ยังขาดเงื่อนไขที่สมบูรณ์เพื่อทำการทะลวงพลังอยู่

และเศษวิญญาณนั่นก็มาเติมเต็มส่วนสุดท้ายที่ยังขาดไปพอดี

ในตอนนั้น ซูเฉินใช้เศษวิญญาณไปในทางที่นึกไม่ถึง ตอนนี้มันรออยู่ท่ามกลางทะเลความรู้ของซูเฉิน ซึ่งกำลังถูกปรับให้มีรูปร่างเป็นร่างทองคำ

ร่างทองคำนี้คือร่างจิตที่จับต้องได้ของซูเฉิน หลังจากดูดกลืนเศษวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาได้แล้ว เขาก็ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์มาระดับหนึ่งด้วย

มันเหมือนกับการที่พลังศักดิ์สิทธิ์สามารถเปลี่ยนเป็นพลังอมตะได้ เศษวิญญาณนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นจิตใหม่ให้ซูเฉินได้เช่นกัน

แม้ร่างทองนี้ยังเป็นเพียงร่างขั้นเริ่มต้น แต่ก็มีพลังมหาศาลแล้ว

นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่เจตจำนงของเขาดูน่าเกรงขามนัก กระทั่งหลี่หวู่อี้ที่อยู่ด่านมหาราชันยังไม่อาจต้านทานแรงกดดันจากเจตจำนงของซูเฉินได้ เขาและคนอื่น ๆ อย่างไรก็ซื่อสัตย์ต่อซูเฉินมากอยู่แล้ว กระนั้นก็ยังมีศักดิ์ศรีของความเป็นราชาอยู่ ดังนั้นเวลาทักทายก็จะทำแค่โค้งคำนับแต่ไม่ถึงกับคุกเข่า ทว่าครั้งนี้นับว่าได้แหกกฎนั้นไปแล้ว

ยามได้ยินว่าซูเฉินทะลวงด่านใหม่ กู่ชิงลั่วจึงถามเสียงประหลาดใจ “เจ้าจะเรียกมันว่าอย่างไรดี?”

ซูเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ในเมื่อข้าให้กำเนิดวิญญาณใหม่ด้วยการผสานพลังอมตะกับเศษวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะเรียกมันว่าด่านวิญญาณแรกเริ่ม”

“ด่านวิญญาณแรกเริ่ม…” กู่ชิงลั่วพึมพำชื่ออยู่หลายครั้งก่อนจะพยักหน้า “เป็นชื่อที่ดีทีเดียว ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นวิญญาณแรกเริ่ม ต่อไปก็จะเติบโตขึ้นอีก คงได้แต่จินตนาการว่าสุดท้ายอนาคตของสามีจะไปสุดที่ตรงไหนแล้ว”

ซูเฉินหัวร่อ “ถูกต้อง แต่ข้าคาดว่าการหล่อเลี้ยงด่านวิญญาณแรกเริ่มคงจะเป็นจุดหลักในด่านพลังนี้ทีเดียว การจะทะลวงพลังขั้นสูงกว่าคงยากลำบากกว่ามาก”

“สามี นี่คิดไปถึงเรื่องด่านต่อไปแล้วหรือ?” จูเซียนเหยาถามเสียงตกใจอยู่บ้าง

ซูเฉินตอบ “เป็นดังที่เขากล่าว แนวทางปฏิบัติผันเปลี่ยนตลอดเวลา เส้นทางหนึ่งอาจลดความซับซ้อนลงได้ แต่ปลายทางยังคงเดิม”

คำกล่าวนั้นย่อมหมายความว่าเขาได้วางแผนการสำหรับทะลวงด่านที่สูงขึ้นเอาไว้แล้วนั่นเอง

ตอนนี้เขายังไม่รีบร้อนอะไรนัก

แต่ในเมื่อเขาทะลวงมันผ่านมาได้แล้ว ก็ย่อมไม่แปลกที่พละกำลังของเขาจะสูงขึ้นระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน คนอื่น ๆ จึงอยากเห็นว่าเขาแกร่งขึ้นมากเพียงไหน

แต่ตัวซูเฉินเองนับว่าแทบจะหาใครในแดนต้นกำเนิดมาเทียบชั้นไม่ได้อยู่แล้ว แม้จะก่อนทะลวงพลังก็ตามที ที่แตกต่างไปตอนนี้คือเขาสามารถถล่มศัตรูได้รุนแรงขึ้นก็เท่านั้น ไม่มีใครกล้าขอให้ซูเฉินแสดงพลังให้ดูสักคน เพราะอย่างไรเขาก็เป็นหัวเรือของเผ่ามนุษย์อยู่แล้ว จะไปให้เขามาทำการแสดงให้ดูได้อย่างไรกัน?

แต่ซูเฉินกลับพึมพำออกมา “ข้าทะลวงพลังแล้ว… ดูท่าตอนนี้จะเป็นจังหวะดีให้ได้จัดการเรื่องที่ค้างคาเอาไว้นานสินะ พวกเจ้ารอข้าตรงนี้สักหน่อย ได้หัวคนเมื่อไหร่ข้าจะกลับมา”

พูดจบเขาก็หายไปในพริบตา

ทุกคนตะลึงกับสิ่งที่เขาพูด

ยังมีผู้ที่ซูเฉินในตอนนี้ไม่สามารถสังหารได้หากต้องการอีกงั้นหรือ?

เหตุใดจึงต้องรอถึงตอนนี้?

ณ ปราการกู่หลาน

สตรีเผ่าคนเถื่อนกลุ่มใหญ่กำลังร้องเพลงและเต้นระบำอยู่หน้าบัลลังก์ ตานปานั่งอยู่บนนั้น แต่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่จนไม่สนใจการแสดงอันน่าเย้ายวนตรงหน้าเลยสักนิด

เก๋อเอ่อร์เดินเข้ามาหาตานปา เบียดกายเหล่านางระบำเข้ามาจนพวกนางล้ม จากนั้นนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าตานปา “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเก๋อเอ่อร์ กลับมาแล้วขอรับ”

ตานปาไม่ชายตามองด้วยซ้ำ “ว่ามา”

“ข้าแพร่ข่าวลือว่าซูเฉินคิดกระทำการฟื้นฟูตระกูลกู่ให้รุ่งเรืองเหมือนกาลก่อนออกไปได้สำเร็จ น่าเสียดายที่ต้องใช้เวลากว่ามันจะสร้างแรงกระเพื่อมในเจ็ดอาณาจักรได้ อีกทั้งนิกายไร้ขอบเขตยังไล่ล่าผู้บูชาหนักหน่วงขึ้น เริ่มเข้ามาในเขตแดนของพวกเราแล้วด้วยขอรับ”

เมื่อเก๋อเอ่อร์รายงานถึงจุดนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาท เผ่ามนุษย์ชักโอหังขึ้นทุกวัน พวกเขาไร้ความเชื่อในเผ่าเทพ และไม่ให้พวกเราเชื่อด้วยเช่นกัน แต่หากไม่เคารพบูชาเผ่าเทพและได้รับพลังจากพวกเขา แล้วเราจะสู้เผ่ามนุษย์กลับได้อย่างไร?”

ตานปาได้ยินคำถามก็ไม่สงสัยแต่อย่างใด “ก็ถูกที่เผ่ามนุษย์แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ถ้าหากไม่ทำตัวยโสโอหังบ้างก็นับว่าได้ความแข็งแกร่งมาใช้ผิดทางแล้ว”

เก๋อเอ่อร์เอ่ยเสียงลังเล “แต่ฝ่าบาท ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใด…”

“เหตุใดข้าจึงร่วมมือกับพวกเขาแม้จะรู้ว่าสุดท้ายวันนี้จะมาถึง ใช่หรือไม่?”

เก๋อเอ่อร์ก้มหน้าลง “ข้าไม่บังอาจกล้าสงสัยในการกระทำของท่าน”

ตานปาตอบไม่ไยดี “อยากจะสงสัยก็สงสัยไปเถอะ มดตัวหนึ่งจะไปเข้าใจความคิดของอินทรีได้อย่างไร?”

เก๋อเอ่อร์หน้าแดง “แต่ว่าฝ่าบาท… เผ่ามนุษย์ตอนนี้นับเป็นภัยต่อเรา ข้าเกรงว่าทำแค่ปล่อยข่าวลือไม่กี่ข่าวไม่อาจแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญได้”

“เจ้าอย่าห่วง เรามีเผ่าเทพอยู่ พวกเขาสังหารเราไม่ได้หรอก” ตานปาตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“แต่ เผ่ามนุษย์บอกว่าเผ่าเทพกลับมาเมื่อไหร่จะใช้พวกเราเป็นทาสนะขอรับ…”

“หืม?” ตานปาขัดขึ้น ก่อนใช้สายตามีความนัยจ้องเก๋อเอ่อร์เขม็ง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความโกรธต่อหน้าเก๋อเอ่อร์ ทำให้เก๋อเอ่อร์ตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้

ชั่วพริบตาหนึ่ง เขาเห็นแววตาดุร้ายวาดผ่านนัยน์ตาตานปา

ทว่าตานปาก็เก็บสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงนิ่งขึ้นว่า “เจ้าโง่… ถึงมันจะจริง แต่เป็นทาสเผ่ามนุษย์กับเป็นทาสเผ่าเทพมันต่างกันด้วยหรือ? แต่หากเรานับถือเผ่าเทพ อย่างน้อยก็ได้รับความคุ้มครอง พวกมนุษย์จะให้อะไรเราได้?”

เก๋อเอ่อร์ก้มหน้าลงจนใจ “ฝ่าบาทพูดถูก แต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไร

เก๋อเอ่อร์ลังเลเล็กน้อย จากนั้นพยายามทำใจแข็งและพูดต่อ “พวกเราเผ่าคนเถื่อนยกอิสระเหนือสิ่งอื่นใด ไม่ยอมสยบแทบเท้าใครอื่น ฝ่าบาท อย่างไรข้าก็อยากให้เจ้าเหนือหัวพวกเราเป็นพวกเดียวกัน เผ่าเทพเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกว่า ใส่ใจเพียงว่าจะยังมีคนศรัทธาหรือไม่ ไร้สิ่งจูงใจให้มาใส่ใจเรื่องของพวกเรา”

“งั้นหรือ” ตานปาถอนใจ “ก็มีเหตุผลอยู่”

เก๋อเอ่อร์ได้ยินก็ดีใจ “หมายความว่าท่านเต็มใจจะฟังคำแนะนำของข้าแล้วใช่หรือไม่ขอรับฝ่าบาท?”

ตานปาเอ่ยเสียงสงบ “เจ้ามีเหตุผลมาก มากจนข้าไม่สามารถเก็บเจ้าไว้ได้อีก”

อะไรนะ?

เก๋อเอ่อร์ได้ยินคำก็ตกตะลึง

จากนั้นความกดดันที่อธิบายไม่ได้ก็ปะทุออกมาจากร่างตานปา เก๋อเอ่อร์จ้องด้วยสายตาตกตะลึง ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่กำลังเกิดตรงหน้า

ร่างตานปาเริ่มขยายใหญ่จนบดบังวิสัยทัศน์ทั้งหมดของเขา

“อั่ก… อึ่ก…” เก๋อเอ่อร์ยกมือกุมอก พยายามสูดลมหายใจเข้าไป

เขาหมายจะพูดบางอย่างออกมา แต่กลับล้มหน้าคว่ำไปทั้งที่ยังไม่ทันเอ่ยคำ

นัยน์ตาคู่นั้นยังเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่ออยู่เลย

เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าเหนือหัวของเขาจะโจมตีเขาเช่นนี้…

“น่าเสียดาย…” ตานปาเหลือบมองร่างเก๋อเอ่อร์ด้วยสายตาเย็นชา

ความรู้สึกเขามีแต่ความเสียดายอย่างจริงใจเท่านั้น

จากนั้นเขาก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เอาตัวเขาออกไป”

แต่ไร้เสียงตอบกลับ

หืม?

ตานปาหรี่ตาลงเล็กน้อย

เขาหมุนตัวไป ตรวจสอบสถานที่รอบกาย

นางระบำหายไปแล้ว สภาพแวดล้อมรอบกายเขาตอนนี้นิ่งสนิท

ตานปาพูดออกมาด้วยเสียงมั่นใจ “วิชาแยกพลังสูญของเจ้าเก่งกาจนัก พี่ซู ในเมื่อมาแล้วจะไม่ออกมาทักทายกันหน่อยหรือไร?”

ซูเฉินก้าวออกมาจากอากาศว่างเปล่า

ความเสียดายชั่วครู่วูบผ่านนัยน์ตาขณะที่ซูเฉินมองร่างบนพื้น “เขาเป็นแม่ทัพคู่ใจเจ้ามานานหลายปี สังหารทิ้งแค่นี้คงเป็นเรื่องน่าเสียดายแย่”

ตานปาตอบเสียงเรียบ “เก๋อเอ่อร์ไม่ฟังคำสั่ง แทรกซึมเข้าไปในอาณาเขตของมนุษย์ พยายามก่อความวุ่นวาย สร้างความบาดหมางระหว่างสองเผ่า เช่นนี้ก็สมควรแล้ว”

“เขาอาจแค่นึกถึงประโยชน์ของเผ่าคนเถื่อนเป็นสำคัญเท่านั้น” ซูเฉินพูดแล้วก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย

“หืม?” ตานปาได้ยินแล้วรู้สึกขบขัน “ความตายของเขาน่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นแท้ ๆ แต่เจ้ากลับรู้สึกสงสารเขาอย่างนั้นหรือ?”

ซูเฉินพยักหน้า “อย่างน้อยเขาก็เป็นเผ่าคนเถื่อน เป็นชนพื้นเมืองในแดนต้นกำเนิด ส่วนเจ้า… ข้าไม่รู้แล้วว่าเจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่”

ตานปายังมีสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าพูดอะไรกัน?”

“เจ้ารู้ดีว่าข้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ถ้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่… จริง ๆ แล้วข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้ตอนนี้คือ เจ้ากลายเป็นตานปาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ได้ยินแล้ว ตานปาก็มีสีหน้าเข้มขึ้นทันที

เขาจ้องซูเฉินอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ในที่สุดก็รู้ความจริงงั้นสินะ? เอาเถอะ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร การกระทำช่วงนี้ของข้าก็ไม่สมกับการเป็นผู้นำเผ่าคนเถื่อนอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าคิดว่าเจตจำนงของข้าได้ลงมาสู่แดนนี้และชิงร่างนี้นานแล้ว ซึ่งเจ้าคิดผิดแล้ว!”

“เจ้าคิดผิดแล้ว!”

“เจ้าคิดผิดแล้ว!”

“เจ้าคิดผิดแล้ว!”

คำพูดประโยคนั้นดังก้องไปทั่วทั้งวัง ใบหน้าตานปาบิดเบี้ยวในขณะที่ร่างกายเริ่มปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังจนน่าตกใจออกมา

ร่างตานปาเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วย ตอนนี้แสงที่เปล่งออกจากร่างจ้ามากเสียจนไม่อาจมองเขาตรง ๆ ได้อีก ความยิ่งใหญ่แห่งเทพกำจายเต็มท้องฟ้า

เสียงตานปาดังสนั่น “ไม่มีการชิงร่างอะไรทั้งนั้น ข้าคือตานปามาตั้งแต่ต้น ตานปาก็คือข้า! ข้าคือเจ้าแห่งพายุ อาเค่อหลู่ตานปา!”

ซูเฉินถอนหายใจยาวออกมา

เป็นอย่างที่เขาสงสัยไว้จริง ๆ เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ได้เข้าสู่ร่างตานปานับตั้งแต่เกิด สร้างอัจฉริยะเผ่าคนเถื่อนขึ้นมาหนึ่งคน

เทียบกับบรรพชนมนุษย์แล้ว เจ้าแห่งพายุผู้นี้ถูกจำกัดการกระทำมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ความทรงจำของตานปาไม่สามารถตื่นมาได้ทั้งหมดตั้งแต่แรก โดยเขาเป็นเพียงคนเถื่อนที่ชาญฉลาดคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าจะนำพลังสูงส่งของเผ่าเทพมาใช้อย่างไร

แต่นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าแห่งพายุยังทรงพลังไม่พอ แต่เป็นเพราะรอยรั่วบนปราการในตอนนั้นยังเล็กเกินไปมากกว่า อีกทั้งเขายังไม่มีบรรพชนมนุษย์คอยช่วยเหลือ

กระนั้นเจ้าแห่งพายุผู้นี้ก็สามารถใช้ภาพฉายเจตจํานงแทรกซึมเข้ามาในแดนต้นกำเนิดได้สำเร็จ

และเพราะนี่คือภาพฉายของเทพ เขาย่อมไม่สนใจชะตากรรมของเผ่าคนเถื่อน

สนเพียงผลประโยชน์ของเผ่าเทพเท่านั้น

ยังเหลือเพียงสิ่งเดียวที่ซูเฉินไม่อาจเข้าใจ…

เขาถาม “หากเจ้าเป็นร่างอวตารของเจ้าแห่งพายุ เหตุใดจึงไม่สังหารข้า? เข้าใกล้ข้าเช่นนี้เพื่ออะไร? แล้วหลายปีที่ผ่านมาทำอะไรอยู่กันแน่?”

“สังหารเจ้าหรือ?” เจ้าแห่งพายุหัวเราะเหยียดก่อนเอ่ย “เจ้าประเมินความสามารถตนเองสูงเกินไปแล้วซูเฉิน ถึงข้าจะยอมรับว่าเจ้าเองก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่เจ้าคิดหรือว่าเจ้าตัวคนเดียวจะสามารถหยุดการกลับมาของเผ่าเทพได้? ไม่เลย ความพยายามของเจ้าสูญเปล่า จุดมุ่งหมายของข้าไม่ใช่เจ้ามาตั้งแต่ต้น!”

“ไม่ใช่ข้า?” ซูเฉินชะงักไป

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า

เขาร้องขึ้นว่า “เจ้ากำลังตามหาเขานี่เอง!”