บทที่ 81 พูดได้
มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เทพเจ้าด้วยกันสนใจได้!
เจ้าแห่งพายุหัวเราะเยือกเย็นเมื่อได้ยินความตกใจของซูเฉิน “ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจแล้วสินะ ไอ้สารเลวนั่นมันเป็นคนทรยศ มันเป็นสายลับ! เทพเจ้าส่งข้ามาเพื่อจับมันให้ได้คาหนังคาเขา!”
ซูเฉินพยักหน้าเข้าใจ “เจ้ารู้ว่าเขามีตัวตนอยู่มานานแล้วอย่างนั้นสินะ”
“แน่นอนสิ! ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกเราก็คงไม่ต้องถูกเนรเทศออกมาหรอก! เราคงไม่ต้องมาติดอยู่ในดินแดนเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าอาณาเขตคุนอะไรนี่หรอก เราคงทำลายปราการเทพเจ้าและกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ได้ตั้งนานแล้ว! และเพราะความพยายามอย่างต่อเนื่องในการโปรยเมล็ดพันธุ์ให้ทั่วทั้งดินแดนต้นกำเนิด การกลับมาของพวกเราก็เลยยิ่งช้า! ทุกอย่างเป็นความผิดของเจ้านั่น!”
สีหน้าของตานปาบิดเบี้ยวไปขณะที่เขาโวยวายถึงสิ่งที่ควรเป็นความผิดของบรรพชนมนุษย์
การที่เทพเจ้าจะโวยวายจนเสียภาพลักษณ์ได้ขนาดนี้นั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย ความเกลียดชังที่เขามีต่อบรรพชนมนุษย์นั้นคงมากเหลือเกินจริง ๆ
“ข้าได้ยินเจ้าว่าแบบนั้นก็โล่งใจนะ” ซูเฉินกล่าว
การที่อีกฝ่ายจงเกลียดจงชังบรรพชนมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้นั้นแปลว่าพวกเขาต้องยังไม่สามารถค้นพบที่อยู่ของบรรพชนมนุษย์ได้อย่างแน่นอน
“เร็ว ๆ นี้นี่แหละ!” เจ้าแห่งพายุกล่าวด้วยเสียงชั่วร้าย “ข้าเห็นไอ้เหลือขอนั่นหว่านเมล็ดพืชของมันแล้ว และข้าเองก็พอจะสังเกตเห็นวิธีการและช่วงเวลาในการปรากฏตัวของมัน ด้วยไม้เท้าเทพแห่งเวลาในมือข้า ข้าจะต้องตามล่ามันให้ได้”
“ไม้เท้าเทพแห่งเวลาหรือ” ซูเฉินผงะ
“ถูกต้อง เจ้าไม่มีหรือไรกัน” เจ้าแห่งพายุถามกลับ
“ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดหรือ”
“ถ้าจะให้ถูกก็เรียกว่าไม้เท้ามังกรสุริยะต่างหาก มังกรสุริยะเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของเทพแห่งเวลามาก่อน เป็นสิ่งมีชีวิตที่เขาสร้างขึ้นด้วยส่วนหนึ่งในร่างกายตัวเอง เทพเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดมันขึ้นมา แต่มังกรสุริยะก็ยังกล้าดีนักจะที่กบฏ! เหลือเชื่อจริง ๆ!” เจ้าแห่งพายุคำรามเกรี้ยวกราด
ได้ยินดังนั้นซูเฉินก็เข้าใจทันที
เทพแห่งเวลาได้ตายไปนานแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปยังได้ทิ้งไม้เท้าที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดของเขาเอาไว้ด้วย และเทพเจ้าก็ใช้มันเพื่อหาบรรพชนมนุษย์ แน่นอนว่าเพื่อให้ได้คำตอบ เหล่าเทพก็คงต้องเสียอะไรไปมากทีเดียว
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วซูเฉินก็พยักหน้า “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็คงปล่อยให้ท่านอยู่ต่อไปไม่ได้”
“ปล่อยให้ข้าหรือ” เจ้าแห่งพายุหัวเราะเยือกเย็นแล้วจึงประกาศขึ้น “ต่อให้ข้าเป็นเพียงร่างแยก ข้าก็ไม่ได้ตายง่าย ๆ หรอกนะ”
สิ้นคำนั้นเจ้าแห่งพายุก็อ้าแขนทั้งสองเรียกลมพายุรุนแรงออกมา
ในฐานะเจ้าแห่งพายุ เขาจึงสามารถควบคุมลมได้อย่างไร้ที่ติ และพายุที่สร้างขึ้นก็ยังรุนแรงเป็นพิเศษด้วย
ตามตำนานแล้ว เจ้าแห่งพายุนั้นอาศัยอยู่ในพายุที่สามารถทำลายทุกอย่างในดินแดนได้
แม้ว่าร่างแยกจะเป็นเพียงแค่ร่างแยก แต่ลึกลงไปในกฎแห่งพลังที่ควบคุมมันก็ทำให้ร่างนี้มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน
เจ้าแห่งพายุเชื่อว่า ต่อให้เขาไม่สามารถเอาชนะซูเฉินได้ แต่อย่างน้อยเขาก็จะต้องได้สอนบทเรียนให้กับซูเฉินสักหน่อย หากคนอื่น ๆ ไม่สามารถใช้ค่ายกลพลังสูญเพื่อต่อกรกับเขาได้ นั่นก็จะเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาอย่างเต็มที่
ลมเริ่มพัดเสียงดังหวีดหวิวขณะที่พายุเริ่มปรากฏขึ้น ในขณะเดียวกันนั้น ซูเฉินก็ทะยานออกไป มุ่งหน้าเข้าใส่เจ้าแห่งพายุ
ดูเหมือนว่าความรุนแรงของลมพายุจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนที่ของซูเฉินเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มพุ่งตัวออกไปด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าพายุหมุนจะรุนแรงเพียงใด ท่าทางของเขาก็ยังไม่สะทกสะท้านใด ๆ เมื่อเข้าประชิดเจ้าแห่งพายุแล้วก็โบกมืออย่างใจเย็น
เลือดเริ่มไหลซึมออกออกมาจากหน้าผากของตานปา
“นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน” เจ้าแห่งพายุพึมพำกับตัวเองด้วยความไม่เชื่อสายตา
ซูเฉินสังหารเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร
ความเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังลมของเขาไร้ที่ติ อีกทั้งตัวเขายังมีพลังศักดิ์สิทธิ์ในครอบครอง แต่การโจมตีที่ดูสงบนิ่งนั้นกลับทำลายเกราะป้องกันของเขามาได้เสียอย่างนั้น
“แค่ครั้งเดียวก็ยังต้านทานไม่ได้ด้วยซ้ำ” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองด้วยความผิดหวัง
สิ้นคำนั้นเจ้าแห่งพายุก็ล้มลงกลายเป็นเพียงชิ้นเนื้อที่ถูกตัดอย่างประณีต
แสงศักดิ์สิทธิ์จาง ๆ ยังคงปรากฏอยู่ในอากาศ ซูเฉินพลันซึมซับแสงนั้นเอาไว้ในทันที จากนั้นชายหนุ่มจึงกลับหลังหันและจากไป
ขณะนั้นเอง คุกพลังสูญที่ล้อมรอบตำหนักอยู่ก็ถูกปล่อยออกมา
เผ่าคนเถื่อนที่อยู่ในตำหนักได้พบกับภาพที่น่าสยดสยอง
ร่างแม่ทัพของพวกเขาจมอยู่กลางแอ่งเลือดของตัวเอง และผู้นำของเผ่าคนเถื่อนก็กลายเป็นเพียงเถ้าถ่านไปเสียแล้ว
ตอนนี้ท้ังตำหนักมีแต่ความสิ้นหวัง
…
ในเหมืองหินเมฆ
หลินซวงพ่นลมอย่างพึงพอใจเมื่อการเชื่อมต่อระหว่างเขากับซูเฉินสิ้นสุดลง ชายหนุ่มรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวายิ่งนัก
แม้ว่าซูเฉินจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด พลังศักดิ์สิทธิ์ส่วนเล็ก ๆ ที่เขาได้ซึมซับเอามาก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับหลินซวงอยู่เหมือนกัน พลังขั้นก่อร่างของเขาที่เพิ่งจะถูกสร้างขึ้นได้พัฒนายิ่งขึ้นไปอีกเพราะพลังนี้เอง
และเพราะเขาเป็นเพียงแค่ร่างจากยาเม็ดทองคำ จึงไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นฐานที่ไม่มั่งคง
หลังจากได้ซึมซับเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งแกะมาแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาสำหรับร่างของเทพเจ้าบ้าง
ร่างไร้วิญญาณร่างนี้ไม่ได้มีพลังศักดิ์สิทธิ์หลงเหลืออยู่มากนักเพราะพลังส่วนมากได้ถูกสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งแกะนั่นดูดไปแล้ว แต่ร่างนี้ก็ถือว่าล้ำค่าด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว
ร่างเทพเจ้านี้สามารถนำไปใช้สร้างอาวุธที่ทรงพลังขึ้นได้
หลินซวงคำนวณสถานการณ์แล้วจึงตัดสินใจเปลี่ยนร่างนั้นเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในที่สุด อย่างไรแล้วปริมาณพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ในร่างก็ช่วยให้เขาแกร่งขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากใช้มันเพื่อเสริมพลังให้ดาบพลังสูญก็จะทำให้กลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้
แม้ว่าดาบพลังสูญจะแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างในการใช้งาน ซึ่งหากใช้ร่างเทพเจ้าร่างนี้ยกระดับมัน ข้อจำกัดเหล่านั้นก็จะลดลงไปมากทีเดียว
หลินซวงปลดปล่อยเปลวไฟระลอกหนึ่งเข้าใส่ร่างนั้น
ก่อนหน้านี้ หลินซวงอ่อนแอเกินกว่าที่จะใช้กฎแห่งพลังได้ แม้เขาจะเข้าใจมันแล้วก็ตาม แต่หลังจากเข้าสู่ขั้นก่อร่าง พลังของหลินซวงก็พุ่งทะยานขึ้น และเมื่อใช้พลังอมตะเพื่อควบคุมกฎแห่งพลัง หลินซวงจึงสามารถสร้างเปลวเพลิงกฎแห่งพลังขึ้นได้
เพลิงนั้นห่อหุ้มร่างไร้วิญญาณและแผดเผามันในทันที
ทว่าเปลวเพลิงไม่ได้กัดกินร่างและเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านแต่อย่างใด ร่างนั้นกลับเริ่มหดตัวลงและค่อย ๆ เปล่งแสงสีทองอร่ามออกมา
หลินซวงยังคงเพ่งสมาธิไปที่ร่างนั้นด้วยเพลิงกฎแห่งพลังของเขา จนกระทั้งร่างที่แน่นิ่งหดตัวลงจนมีขนาดเท่าตัวเขาเอง ตอนนี้แสงสีทองเปล่งประกายสว่างทีเดียว หุ่นเชิดยักษ์ที่ข้างเขาก็ตรงเข้าไปและใช้ดาบในมือจ้วงแทงเข้าใส่ร่างนั้น
ร่างไร้วิญญาณนั้นทนทานอย่างถึงที่สุดหลังจากผ่านกระบวนการนี้ แม้แต่ดาบพลังสูญก็ยังทะลวงผ่านเข้าไปได้ยากยิ่งนัก ทว่าหุ่นเชิดยักษ์ยังไม่ยอมใช้พลังสูญและพยายามตัดร่างดังกล่าวด้วยพลังกายของมันเอง ในที่สุดกำลังที่ส่งเข้าไปอย่างเต็มที่ก็ส่งใบมีดจมผ่านร่างนั้นเข้าไปได้
ประหลาดยิ่งนักเมื่อดาบพลังสูญผ่าร่างนั้น…ร่างที่ว่าค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อย
ดาบในมือของหุ่นเชิดยักษ์ดูเหมือนหยุดนิ่ง แต่ร่างไร้วิญญาณยังคงหดเล็กลงต่อไปเพราะเปลวไฟที่ยังแผดเผาอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดร่างนั้นก็หายไป… ดาบของหุ่นเชิดยักษ์ยังคงส่งเสียงหึ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น
เสียงที่ว่านี้ดูเหมือนจะเป็นเสียงที่แฝงไปด้วยความยินดี
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์มีพลังจิตด้วย!” หลินซวงพึมพำกับตัวเอง
เขาพยายามจะหยิบอาวุธนั้นขึ้นมา แต่แสงสว่างบนผิวสัมผัสของมันพลันหายไปทันทีที่เขาสัมผัส
หลินซวงรู้ว่าพลังของเขาไม่มากพอที่จะกวัดแกว่งดาบเล่มนี้ ดังนั้นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์จึงลดพลังของตัวเองลงเพื่อให้เขาใช้มันได้นั่นเอง
แต่กระนั้นการใช้อาวุธนี้ก็ถือเป็นการใช้ศักยภาพของเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างสูญเปล่า หลินซวงจึงรีบคืนดาบให้กับหุ่นเชิดยักษ์ “ตอนนี้เจ้าดูแลอาวุธนี่ไว้ก่อน สักวันหนึ่งข้าจะต้องสามารถปลดปล่อยพลังของมันออกมาอย่างเต็มที่ให้ได้”
หุ่นเชิดก้มหน้าลงด้วยความเคารพ “นายท่านจะต้องแข็งแกร่งขึ้นในไม่ช้า แม้ หมายเลขหนึ่ง จะสามารถใช้พลังของดาบนี่ได้ในตอนนี้ แต่มันก็จะไม่มีทางแข็งแกร่งเช่นนี้ได้แน่ เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์จะโตขึ้นตามกาลเวลา เพราะอย่างนี้พวกมันถึงได้เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!”
หุ่นเชิดตัวนี้ดูจะมีสติปัญญาดีทีเดียว ที่ผ่านมานั้นมันแค่แสร้งทำว่าตัวเองเป็นเพียงหุ่นไม้ธรรมดา ๆ ก็เท่านั้น
แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลินซวงได้ยินมันพูด
เขาหันไปมองหุ่นเชิดยักษ์ด้วยความประหลาดใจ “นี่เจ้าพูดได้ด้วยหรือ”
ซูเฉินสามารถเพิ่มความสามารถในการพูดให้กับหุ่นเชิดได้ด้วย แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะมีความคิดต่อต้านหุ่นเชิดปัญญาประดิษฐ์ที่จะมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง อย่างไรแล้วพวกหุ่นก็มีสติปัญญาในระดับหนึ่งแล้ว หากมันสามารถพูดได้ ก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิต และไม่ใช่เครื่องมืออีกต่อไป
การไม่เปลี่ยนหุ่นเชิดให้เป็นสิ่งมีชีวิตนั้นถือว่าเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าอยู่แล้ว
แต่แน่นอนว่าเรื่องประหลาดใจบางเรื่องก็เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
หุ่นเชิดตัวนี้ก็เช่นกัน
หลินซวงยังคงมองหุ่นยักษ์ด้วยความตะลึง “นี่เจ้าพูดได้ตั้งแต่ตอนไหนกัน”
หุ่นเชิดยักษ์ชี้ไปที่ร่างของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งแกะ “ก็ตอนนั้น”
หลินซวงผงะเล็กน้อยก่อนจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น “วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ …ตอนที่ข้าแยกมันออกจากร่างหลัก เจ้าเองก็ได้ไปส่วนหนึ่งสินะ”
หุ่นเชิดยักษ์ยิ้ม
หลินซวงถึงกับพูดไม่ออก
จากนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “เจ้าเรียกตัวเองว่า หมายเลขหนึ่ง อย่างนั้นหรือ แต่เจ้าไม่ใช่หุ่นตัวแรกของเรานี่”
หุ่นเชิดยักษ์ตัวแรกที่ซูเฉินได้มาครอบครองนั้นมาจากเผ่าปักษา อันที่จริงแล้วพลังของมันอ่อนแอกว่าหุ่นเชิดยักษ์ที่ซูเฉินสร้างขึ้นด้วยกฎแห่งพลังผนึกเซียนอยู่มากโข
นี่คือสาเหตุที่หลินซวงสามารถระบุความแตกต่างได้ในทันที
หมายเลขหนึ่งตอบกลับมา “ข้าไม่ได้ตั้งชื่อตัวเองตามลำดับของการถูกสร้างขึ้น แต่ตามลำดับที่ข้าพูดถึง”
น่าสนใจทีเดียว
หลินซวงหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงตั้งชื่อตัวเองว่าอย่างนั้นล่ะ”
“ก็เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ข้าก็จะเป็นหมายเลขหนึ่ง” หมายเลขหนึ่งตอบอย่างตรงไปตรงมา
ช่างเป็นคำตอบที่กล้าหาญและมั่นใจยิ่งนัก
“แต่มันจะไม่ยุติธรรมไปหน่อยไหม” หลินซวงถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ใครจะสนล่ะ หุ่นเชิดอื่น ๆ ก็พูดไม่ได้อยู่แล้ว” หมายเลขหนึ่งตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เป็นท่าทีที่รุนแรงอะไรเช่นนี้
ในยุคสมัยนี้ ใครก็ตามที่สามารถพูดได้จะมีสิทธิ์ในการตั้งกฎและตัดสินว่าสิ่งใดถูกผิด
หมายเลขหนึ่งเองก็เข้าใจในกฎข้อนี้เช่นกัน นั่นทำให้มันกล้าประกาศตัวเองเป็นหมายเลขหนึ่งออกมาอย่างไม่กระดากปากเช่นนี้
แม้ว่าหุ่นเชิดยักษ์จะมีสติปัญญาอันน้อยนิด แต่ก็ยากนักที่จะหาหุ่นเชิดที่หน้าไม่อายอย่างหมายเลขหนึ่งได้
บางทียิ่งพวกมันฉลาดขึ้น….ก็อาจทำให้อับอายน้อยลงไปด้วยก็เป็นได้
หลินซวงรำพึงกับตัวเอง
“เราจะทำอย่างไรต่อหรือนายท่าน” หมายเลขหนึ่งถามขึ้น
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” หลินซวงสวนกลับ เขากำลังทดสอบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของหมายเลขหนึ่ง
“ข้าขอเสนอกลยุทธ์สามง่าม อย่างแรกเราต้องค้นหาสมบัติและพัฒนาพลังของท่านต่อไป อย่างที่สอง เราจะต้องคอยก่อความวุ่นวายต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย แม้ว่าท่านจะสั่งการอีซาเป้ยลากับทุก ๆ คนไปแล้ว แต่ก็ไม่พออย่างแน่นอน ข้าคิดว่าท่านยังต่อมีแผนก่อกวนมากกว่านี้ ส่วนอย่างที่สาม เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์นั่นจะต้องเติบโตขึ้น ดังนั้นเราจะต้องหาทรัพยากรที่จะมาตอบสนองมันให้ได้อย่างเร็วที่สุด”
“ไม่ง่ายเลยนะที่จะทำทั้งสามอย่างนั่นพร้อมกัน” หลินซวงกล่าวอย่างใจเย็น
“มีเป้าหมายอยู่อย่างหนึ่งที่จะทำให้เราทำได้ทั้งสามอย่างพร้อมกัน” หมายเลขหนึ่งตอบ