ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 818 การสืบทอดสายเอกพิสุทธิ์

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

คนอื่นๆ ยังพอว่า แต่เมื่อฟู่ถิงได้ยินชื่อของเยี่ยนจ้าวเกอ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงแม้ว่าข้าเจอคนที่ปลอมตัวเป็นข้าในเขตตะวันอาคเนย์ แต่คนที่พวกเขาคิดหลอกลวง นับว่ามีความรู้อยู่จำกัด”

ฟู่ถิงสำรวจเยี่ยนจ้าวเกอตั้งแต่หัวจรดเท้า มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ “หากเป็นเล่ห์เหลี่ยมระดับต่ำยังพอว่า แต่ฟังว่ามีผู้อาวุโสผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ผู้หนึ่ง ได้หลอมโอสถที่ชื่อโอสถแปลงกายขึ้นมา เป็นโอสถที่เอาไว้แปลงใบหน้า นอกจากคนรู้จักแล้ว ก็ยากจะแยกแยะจริงปลอม”

“มีคนอาศัยสิ่งนี้สวมรอย คนที่ถูกหลอกต่อให้สายตาดีขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์ จำเป็นต้องคุ้ยเคยกับคนที่ถูกสวมรอยถึงจะรับมือได้”

“ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหยกเลียนสังหารด้วย แม้ว่าจะคงสภาพได้ค่อนข้างสั้น แต่ภายนอกดูแล้วก็ไม่มีข้อบกพร่อง”

ฟู่ถิงว่า “แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า เพราะข้าแค่ได้ยินแค่ชื่อเยี่ยนจ้าวเกอมา ไม่ได้รู้ว่าท่านมีหน้าตาแบบไหน”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ

วิชาครอบฟ้าที่ประมุขอาคเนย์เฉาเจี๋ยฝึกฝน เป็นการวิวัฒนาการมาจากวิชาของจักรพรรดิดาวเหนือจื่อเวยผู้อยู่กลางหาวจริงๆ

แต่ว่าในฐานะหนึ่งในสี่เทวราช จักรพรรดิดาวเหนือที่เป็นจ้าวแห่งดวงดาราทั้งปวง เคยฟังคำสอนของเทวกษัตริย์เต๋าบรมครูสายเอกพิสุทธิ์มาก่อน

ในอีกมุมหนึ่ง ถึงขั้นนับได้ว่าเป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ด้วยซ้ำ

เทวกษัตริย์เต๋าได้เปิดเส้นทางสั่นสอนสรรพสัตว์ สร้างรากฐานวรยุทธ์ให้แก่โลกทั้งหลาย

หลอมจุดลมปราณเป็นเทวะ ฝึกฝนจักรวาลภายในกาย เปลี่ยนจุดลมปราณเป็นดวงดาว ประสานกับดวงดาวมากมายกลางจักรวาลที่แท้จริงด้านนอกโลก รวมฟ้าดินด้านในด้านนอกเป็นหนึ่ง

แหล่งกำเนิดของเส้นทางสายหนึ่ง ก็คือเทวกษัตริย์เต๋า

การปกครองดวงดาราของจักรพรรดิดาวเหนือจื่อเวยผู้อยู่กลางท้องฟ้า เป็นการสะท้อนแก่นแท้ซึ่งได้จากการฝึกฝนเส้นทางนี้จนก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง

สายเอกพิสุทธิ์มีผู้สืบทอดน้อยนิด ถ้าหากต้องการตามหา เช่นนั้นแม้ว่าที่อยู่ของประมุขอาคเนย์จะมีชื่อเหมือนกับที่อยู่ของเทวกษัตริย์ปฏิบัติเต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสายหยกพิสุทธิ์ในตำนาน แต่ว่าเขาโถงทองบนโลกซ้อนโลกในตอนนี้ กลับนับว่าเป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ที่หายาก

จักรพรรดิแพรผู้เป็นหนึ่งในห้าจักรพรรดิ เป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์อีกคนที่หายาก

ดังนั้นในกลุ่มยอดฝีมือระดับสุดยอดบนโลกซ้อนโลก จักรพรรดิแพรกับประมุขอาคเนย์จึงมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี ปรองดองกันยิ่ง

ใต้เปลือกตาของประมุขอาคเนย์ เมื่อปรากฏคนระดับปีศาจเช่นเยี่ยนจ้าวเกอขึ้น อีกทั้งอาจจะเกี่ยวข้องกับราชันพระอาทิตย์และราชันพระจันทร์ พระองค์กับจักรพรรดิแพรถ้าหากติดต่อกัน ย่อมต้องพูดถึงเรื่องนี้

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ประหลาดใจที่จักรพรรดิแพรเคยได้ยินชื่อของตน

ทว่าเขาจะพูดกับบุตรีของตัวเองหรือไม่ นั่นก็ไม่แน่แล้ว

แต่ว่าดูจากตอนนี้ ฟู่ถิงเห็นได้ชัดว่าได้ยินชื่อของเยี่ยนจ้าวเกอมาจากบิดาของตัวเอง

ชายหนุ่มกอดอก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นความหมายของแม่นางฟู่คือ?”

ใต้ฝ่ามือเห็นระดับแท้จริง แค่วัดความสามารถของเขา ก็ยืนยันจริงปลอมได้แล้ว?

ผู้เป็นจอมยุทธ์มักมีความภาคภูมิใจสูง ห้าวหาญกว่าคนทั่วไป เรื่องเช่นนี้มีให้เห็นไม่น้อย

ฟู่ถิงว่า “ถ้าหากใต้เท้ายอมชี้แนะ ข้าย่อมอยากแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับอัจฉริยะที่พันปียากพบพานจากปากของท่านอาเฉาดู”

“ทว่าข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย และไม่อยากจะบีบบังคับให้ท่านลงมือ

“ส่วนการตรวจสอบสถานะของท่าน ขอให้ท่านแสดงตราประทับตะวันในตำนานนั่นสักเล็กน้อย มันจะได้ผลยิ่งกว่าการประมือกันเสียอีก เพราะข้าเดิมทีไม่ทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอใช้วรยุทธ์อะไรได้”

“ดังนั้นเทียบกับตัวท่านแล้ว การใช้ตราประทับตะวันเป็นหลักฐานได้ผลมากกว่า แน่นอนว่าถ้าหากท่านเป็นตัวปลอม แต่มีความสามารถหยิบยืมหรือช่วงชิงตราประทับตะวันมาจากเยี่ยนจ้าวเกอตัวจริง เช่นนั้นก็เป็นอีกเรื่อง”

นางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าท่านไม่อยากจะแสดงตราประทับตะวันก็ไม่เป็นไร ข้ากับท่านไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องประมือ แม้ข้าจะยอมรับว่า ข้าสนใจพลังฝึกปรือของท่าน จนอยากจะเห็นมากก็ตาม”

เยี่ยนจ้าวเกอถามอย่างสนอกสนใจ “อ้อ? แม้ว่าพวกเราที่อยู่ในมิติต่างแดนเดียวกันจะกลายเป็นคู่แข่งเพราะของวิเศษที่อยู่ด้านใน ก็ยังคงเป็นเช่นนี้หรือ?”

ฟู่ถิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “มิผิด”

ยามนี้นางมองเฟิงอวิ๋นเซิงแวบหนึ่ง

นอกจากเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิงก็ดึงดูดความสนใจของฟู่ถิงเช่นกัน

ไม่เพียงแต่เพราะเฟิงอวิ๋นเซิงมีรูปลักษณ์โดดเด่นเท่านั้น ยังเป็นเพราะฟู่ถิงยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุกคามต่อตนจากบนร่างของฟู่ถิงด้วย

จอมยุทธ์มหาปรมาจารย์คนหนึ่งมีพลังเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?

ต่อให้ครอบครองของวิเศษ จอมยุทธ์มหาปรมาจารย์คนหนึ่งก็ไม่สมควรมีความสามารถกระตุ้นได้

ฟู่ถิงเชื่อความรู้สึกของตัวเองยิ่ง สถานการณ์ประหลาดในตอนนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของนาง

เมื่อเชื่อมต่อกับถ้อยคำที่บิดามักจะพูดถึง ฟู่ถิงก็พอเข้าใจเรื่องอะไรได้บ้าง

“ข้ารู้ว่าท่านกำลังสงสัยอยู่ว่า ข้าเหมือนแน่ใจว่าข้าจะจัดการพวกท่านได้ ส่วนท่านก็รู้สึกว่าข้ากับสหายร่วมสำนักที่อยู่ที่นี่ไม่อาจทำได้”

“ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านอาเฉายังชื่นชมท่านมากเช่นกัน” ฟู่ถิงกวาดมองเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง “ท่านและพวกท่าน ถ้าหากมีตราประทับตะวัน มงกุฎจันทรา และดาบราหูอยู่ในมือจริงๆ แม้กระทั่งสามารถกระตุ้นพลังของพวกมันได้ เช่นนั้นก็ต้องแข็งแกร่งถึงขีดสุดอย่างแท้จริง ยอดฝีมือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนใช่ว่าจะจัดการพวกท่านได้”

แม้จะพูดอย่างนี้ แต่น้ำเสียงของนางสงบนิ่งยิ่ง

“กระนั้นหลังจากพวกเราเข้ามาที่นี่ และค้นพบความผิดปกติของที่นี่ ก็ได้แจ้งกลับไปที่ยอดเขาอัศจรรย์แล้ว” นางมองเยี่ยนจ้าวเกอ “อีกเดี๋ยวจะมีผู้อาวุโสมา เชื่อข้าเถอะว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนทั่วไป”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ถ้าฟู่ถิงไม่ใช่กำลังข่มขู่อยู่ เช่นนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้างจริงๆ

กลับไม่ใช่เพราะกลัวทางยอดเขาอัศจรรย์จะมีคนมา แต่วิธีการจัดการของฟู่ถิงเหนือความคาดหมายไปบ้าง

สถานที่ลับหรือของล้ำค่าลับเช่นนี้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นวาสนาส่วนตัว หากได้พบแล้ว ก็ต้องทำให้สนองความสุขให้แก่ตัวเองก่อน

หากตนจัดการไม่ได้ ค่อยพิจารณาว่าควรจะหาที่พึ่งมาสนับสนุนดีหรือไม่

ยิ่งเป็นอัจฉริยะที่อ่อนเยาว์และโดดเด่น มีพลังแข็งแกร่ง เชื่อมั่นตัวเองอย่างเต็มที่ ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

ไหนเลยจะเห็นคนที่เพิ่งพบสถานที่ ก็เรียกคนมาทันทีเหมือนฟู่ถิง?

นางเป็นบุตรีคนเดียวของจักรพรรดิแพรจริงๆ ยอดเขาอัศจรรย์หากได้อะไรมา นางย่อมไม่พลาด อีกทั้งต้องมอบให้แก่นางก่อน

ตัวเลือกของนางในตอนนี้ ความจริงมีประสิทธิภาพมากที่สุด และมีโอกาสสำเร็จมากที่สุด

นี่คือเงื่อนไขที่ลูกศิษย์ของเขาอัศจรรย์คนอื่นไม่มี

ทว่าเทียบกับคนหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยปณิธานแล้ว การเลือกเช่นนี้…ดูขลาดเขลาเกินไปหรือไม่?

แต่ฟู่ถิงไม่ได้มินิสัยขี้กลัว นางเป็นบุตรีของจักรพรรดิแพรจริงๆ แต่ว่าชื่อเสียงของนางในปัจจุบันเป็นตัวนางสร้างขึ้นเอง เท้าเหยียบบุคคลอัจฉริยะที่อายุเท่ากันนับไม่ถ้วน

หากบว่ากันอย่างไม่เกรงใจ ในตอนที่บิดาของนางมีอายุและมีระดับเท่านาง จะเอาชนะนางได้หรือไม่ยังไม่แน่ด้วยซ้ำ

เยี่ยนจ้าวเกออดพิจารณาฟู่ถิงไม่ได้ พลางกล่าวในใจว่า ‘ในฐานะจอมยุทธ์ แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีความอยากเอาชนะที่รุนแรงได้ แต่ก็เป็นคนที่เยือกเย็นมากคนหนึ่งทีเดียว’

ฟู่ถิงเอ่ย “มิติต่างแดนนี้อยู่นอกโลกซ้อนโลก สามารถเจอที่นี่ได้ นับว่ามีวาสนา

“ท่านเป็นคนรุ่นหลังที่ท่านอาเฉาชื่นชม ถ้าหากพิสูจน์สถานะของตัวเองได้ จะร่วมทางกันก็ไม่มีปัญหา โอสถเซียนที่ได้พบอยู่ที่นี่ สามารถแบ่งกันได้”

“ที่ท่านไม่อยากแสดงตราประทับตะวันเป็นหลักฐาน ข้าเองก็เข้าใจ ของวิเศษหนึ่งเดียวในโลก ไหนเลยจะเอาให้ใครดูก็ได้? คนอัจฉริยะอย่างท่าน ไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานให้คนอื่นดูด้วยซ้ำ”

“ยอดเขาอัศจรรย์ของข้าไม่มีทางขับไล่คน ทุกท่านยังคงเคลื่อนไหวได้ตามใจ แต่ว่าจะเอาอะไรไปได้ ขึ้นอยู่กับความสามามรถของพวกท่านเองแล้ว ถ้าเกิดความขัดแย้งหรือการแข่งขันช่วงชิงขึ้นเพราะของวิเศษ พวกเราไม่มีทางปรานีเด็ดขาด”

………………..