อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1164 ล้วนเป็นเพราะวิญญาณดวงนั้น
กู้ชูหน่วนสังเกตมองไปรอบๆ พวกเขาออกจากค่ายกลแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมากก็รู้ว่าซือโม่เฟยได้ทำลายค่ายกลแล้ว
สัตว์อสูรไม่น้อยล้วนได้รับบาดเจ็บ หน้าตาสะบักสะบอม เหมือนได้เผชิญกับสงครามอันโหดร้ายมา
นางจับชีพจรของซือโม่เฟย กลับพบว่าชีพจรของเขาเต้นเร็วขึ้น เต้นตุบๆไม่หยุด ราวกับว่าหลอดเลือดทั้งหมดกำลังจะระเบิดเช่นนั้น
เขาน่าจะโดนแรงโน้มถ่วงกระแทกโดนแล้ว อาการบาดเจ็บภายในสาหัสเล็กน้อย บนตัวยังมีรอยเลือดเล็กๆอีกหลายรอยที่ถูกของมีคมเฉือนโดน
สิ่งที่ทำให้กู้ชูหน่วนต้องชำเลืองมองคือ จอมมารตะโกนเรียกพี่สาวอยู่ในความสะลึมสะลือไม่หยุด มือที่อยู่ไม่สุขคู่นั้นของเขาก็พยายามคว้าแขนเสื้อของนางไว้ ราวกับว่าทันทีที่ปล่อย ก็จะสูญเสียไปโดยสมบูรณ์
เหล่าสัตว์อสูรกล่าวว่า “หลังจากที่พลาดไปสัมผัสอัญมณีทับทิมทับ กลไกก็ทำงานขึ้น ท่านกับอาโม่ล้วนตกเข้าไปอยู่ในค่ายกลมายา ธนู หมอกพิษ ที่ลอยอยู่ในค่ายกลและสิ่งอื่นๆยิงออกมาพร้อมกัน เส้นทางด้านหน้าและหลังถูกปิดกั้นทั้งหมด พวกเราทำได้เพียงถูกบังคับให้ฝืนต้านไว้ พรรคพวกมากมายล้วนตายอยู่ในนั้น”
“เช่นนั้นพวกเราออกมาได้ยังไง?”
“มีชายหนุ่มสวมหน้ากากผีเสื้อผู้หนึ่งเข้ามาช่วยเหลือในค่ายกล เขากรีดมือของท่าน เอาเลือดหยดลงที่หน้าผากของอาโม่ พริบตานั้นอาโม่จึงได้สติขึ้นมาเล็กน้อย และนำพาทุกคนให้ทำลายค่ายกล”
“ท่านไม่รู้ ค่ายกลนี่ทำลายยากเป็นที่สุด พวกเราใช้เวลาไปสองวันหนึ่งคืนเต็มๆ เผชิญกับอันตรายความเป็นความตายกว่าจะสามารถทำลายและรอดมาได้”
สองวันหนึ่งคืน?
เช่นนั้นก็เท่ากับเลยเวลาที่เวินเส้าหยีให้นางแล้วไม่ใช่หรือ?
จะเลยเวลาหรือไม่ก็ช่างเถอะ เขามาด้วยตนเองแล้ว ก็รู้ว่าค่ายกลไม่ได้ทำลายง่ายๆ
“เวินเส้าหยีล่ะ?”
“ท่านพูดถึงชายหนุ่มที่สวมหน้ากากผีเสื้อนั่นน่ะเหรอ? เขาไปแล้ว คนผู้นี้วิทยายุทธสูงมาก แม่นางมู่ ท่านมีเพื่อนที่เก่งกาจขนาดนี้ทำไมไม่เชิญเขามาช่วยให้เร็วกว่านี้หน่อย มีเขาอยู่ ความมั่นใจในการทำลายตระกูลไป๋หลี่ของพวกเราก็มีมากขึ้นแล้ว”
“แต่ข้าก็เห็นเขาได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน ตอนนี้น่าจะหลบไปรักษาตัวอยู่ที่ไหนแล้วละมั้ง”
เพื่อน….
เหอะ….
แค่ทำเพราะอยากได้วิญญาณดวงนั้นก็เท่านั้น
ถ้าไม่มีวิญญาณนั้น เขาจะออกโรงช่วยได้อย่างไร
กู้ชูหน่วนทำให้คิ้วที่ขมวดอยู่ของซือโม่เฟยตรง
ในค่ายกลมายา ชายรูปงามชุดแดงดวงตาคนละสีที่นางเห็นก็คงจะเป็นอาโม่สินะ
อาโม่ฝืนกฎธรรมชาติเปลี่ยนดวงชะตา เพื่อช่วยผู้หญิงคนนั้น สูญเสียวิทยายุทธทั้งหมดไป โฉมหน้าเหี่ยวแห้ง ผมขาวภายในชั่วข้ามคืน…
พี่สาวที่พูดถึง ที่ติดนางจนไม่แยกไปไหนทุกอย่าง ก็เพียงเพราะที่หน้าผากของนางมีวิญญาณสามดวงของผู้หญิงคนนั้นอยู่
กู้ชูหน่วนรู้สึกอิจฉาขึ้นมาอย่างฉับพลัน
คนที่นางเป็นห่วง ล้วนเป็นเพราะวิญญาณที่หน้าผากของนางถึงได้รักและปกป้องนางมากเช่นนี้
“ไม่…..อย่า…”
ไม่รู้ว่าจอมมารฝันถึงอะไร ลุกนั่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน บนใบหน้าเป็นความหวาดผวาที่ยังไม่ได้สงบลง เหงื่อเย็นไหลโชกไปทั้งตัว
กู้ชูหน่วนจับมือเขาไว้ ตบหลังของเขา “ไม่ต้องกลัว พวกเราอยู่นี่กันหมด”
จอมมารลืมตาขึ้น รอยยิ้มบางๆอันอ่อนโยนของกู้ชูหน่วนประทับเข้าไปในดวงตา
เขาโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของนาง กอดนางไว้แน่น “พี่สาว ข้าฝัน ฝันว่าท่านต้องการจะกระโดดเข้าไปในเบ้าหลอมยา ข้ากลัวเป็นที่สุดเลย”
“เจ้าโง่ อยู่ดีๆข้าจะกระโดดลงไปในเบ้าหลอมยาทำไม รู้สึกอย่างไรบ้าง เจ็บแผลหรือไม่?”
“เจ็บ เลือดออกมาหมดแล้ว” จอมมารเผยบาดแผลของตัวเองออกมาด้วยความหมองใจขณะอยู่บนตัวของกู้ชูหน่วน
บาดแผลของเขาเล็กมาก มีเพียงคราบเลือดเล็กๆไม่กี่รอย เดิมทีก็นับไม่ได้ว่าเป็นบาดแผลอะไร
แต่อาการบาดเจ็บภายในของเขานั้นค่อนข้างสาหัส
“ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยพันแผลให้เจ้า”
เหล่าสัตว์อสูรอยากจะเป็นลมตาย
บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ ยังต้องพันแผลอีกหรือ?
พันแผลนี้ ให้ยามากขึ้นสักสองสามเม็ด รักษาอาการบาดเจ็บภายในก่อนยังจะดีซะกว่า
“สถานการณ์การต่อสู้ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังคงดำเนินต่อไป ตราบใดที่ตระกูลอื่นๆและพรรคอื่นๆไม่ช่วยเหลือ เพียงแค่ตาแก่หนังเหนียวกลุ่มนั้นของตระกูลไป๋หลี่ไม่ออกมา คนเหล่านั้นก็สู้พวกเราไม่ได้”
“ไป ไปลองเชิงไป๋หลี่ป้าหน่อย”
ข้ามผ่านผืนหญ้านี้ไปก็คือศูนย์กลางของเขตต้องห้ามตระกูลไป๋หลี่
กองกำลังทหารกล้าของตระกูลไป๋หลี่ปกป้องเขตต้องห้ามไว้เป็นชั้นๆ
กู้ชูหน่วยประเมินด้วยสายตาแล้วว่ามีคนหลายร้อยคน และทุกคนก็ฝึกฝนมาไม่เลว
“แม่นางมู่ ท่านและพวกราชาพยัคฆ์ดำเข้าไปกันก่อน ที่นี่มอบให้พวกเรา”