อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1166 วิญญาณดวงที่ห้า
เป็นแบบนี้ก็ดี นางจะได้ไม่ต้องรวบรวมวิญญาณทีละดวง
จอมมารจ้องมองวิญญาณโปร่งใสในอากาศอย่างติดๆ ดวงตาแฝงไปด้วยความสับสน ราวกับว่าคุ้นเคยกับวิญญาณดวงนั้นเป็นอย่างดี แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าแปลกหน้ามากเช่นกัน
เจ้าบ้านไป๋หลี่และเหล่าสุดยอดผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่ก็รู้ว่ากู้ชูหน่วนและคนอื่นๆมาถึงแล้ว เพียงแต่พวกเขาจำเป็นต้องดึงเอาความทรงจำในวิญญาณออกมาให้เร็วที่สุด เดิมทีก็ไม่สามารถจะยื่นมือออกมาต่อกรกับกู้ชูหน่วนและคนอื่นๆได้
เจ้าเสือน้อยพูดว่า “นายหญิง วิญญาณดวงนั้นจำเป็นจะต้องใช้อาวุธวิเศษมาบรรจุ ไม่เช่นนั้นจะสลายเป็นผุยผงไปได้อย่างง่ายดาย”
“ข้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธวิเศษ”
พูดเป็นเล่น ยิ่งอยู่ใกล้กับวิญญาณดวงนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงการร้องเรียกของวิญญาณดวงนี้ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิญญาณสามดวงที่หน้าผากกำลังดึงดูดนางอยู่หรือไม่
สุดยอดผู้อาวุโสไป๋หลี่หมิงเยียนกล่าว “เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมทันทีที่นางมา วิญญาณถึงได้มีความแปรปรวนมากขนาดนี้”
ไม่ง่ายกว่าที่พวกเราจะสามารถสะกดวิญญาณเอาไว้ได้ และกว่าจะดึงความทรงจำแต่ละอย่างในวิญญาณออกมาทีละอันก็ไม่ง่าย
จู่ๆเมื่อผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้น วิญญาณก็เริ่มตอบโต้กลับ ทำให้ทุกอย่างก่อนหน้านี้แทบจะสูญเปล่า
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาสะกดไว้อย่างแนบแน่น วิญญาณดวงนี้ก็คงจะลอยหายไปเองนานแล้ว
เจ้าบ้านไป๋หลี่กล่าว “นางก็คือมู่หน่วน ผู้โชคดีหนึ่งเดียวที่รอดชีวิตมาได้ของตระกูลมู่”
แม้ว่าเหล่าสุดยอดผู้อาวุโสจะรู้เรื่องมานานแล้ว แต่เมื่อเห็นว่ากู้ชูหน่วนมีอายุน้อย ก็ยังอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ “อายุยังน้อย คิดไม่ถึงว่าจะถึงระดับสี่ได้จริงๆ”
สุดยอดผู้อาวุโสไป๋หลี่หมิงเยียนกล่าว “ตัวของผู้หญิงคนนี้มีความลับ”
วิญญาณของผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดระดับเจ็ด คนธรรมดาจะสามารถสั่นคลอนได้อย่างไร
แม้ว่าพวกเขาจะร่วมพลังกัน ก็ทำได้เพียงฝืนควบคุมไว้เท่านั้น แต่นางไปเอาความสามารถมาจากไหน?
บอกว่านางไม่มีความลับ พวกเขาก็ไม่เชื่อ
“ปังปังปัง……”
วิญญาณชนกระแทกไม่หยุด คิดต้องการจะสลัดให้หลุดจากพันธนาการของพวกเขา
กู้ชูหน่วนหลับตาลง ใช้ความคิดของตัวเองเรียกวิญญาณดวงนั้น ทำให้วิญญาณดวงนั้นมาสถิตที่หน้าผากของนาง
นางโอบอุ้มไว้แค่ท่าทีของการลองทำดู
สิ่งที่ทำให้นางคาดไม่ถึงคือ วิญญาณนั้นได้รับการควบคุมจากนางจริงๆ
ทั่วดวงวิญญาณเปล่งประกายเจิดจ้าสุกสกาว พลังที่แข็งแกร่งมากพลังหนึ่งถูกปลดปล่อยออกมาอย่างฉับพลัน พลังอันท่วมท้นพรั่งพรูออกมากดดันเหล่าสุดยอดผู้อาวุโสไว้โดยตรงทันที
บรรดาผู้คนตะลึงงัน รีบป้องกันตัวไปพลาง ปล่อยพลังยุทธเข้าไปอย่างต่อเนื่องพลาง คิดจะใช้พลังอันแข็งแกร่งของค่ายกล สะกดวิญญาณดวงนั้นไว้อีกครั้ง
ทันทีที่กู้ชูหน่วนชักกระบี่ออกมา ขับเคลื่อนพลังยุทธทั้งหมด ยกกระบี่แล้วฟันเข้าไปอย่างรุนแรงรอบหนึ่ง คิดจะผ่าฟันความเกี่ยวพันระหว่างทุกคนและวิญญาณดวงนั้นให้ขาดสะบั้น และทำลายค่ายกล
พูดตามหลัก นางเป็นเพียงระดับสี่ ไม่ว่าใครที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ก็ล้วนมีศักยภาพมากกว่ากู้ชูหน่วนอยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการร่ายมนตร์ของสุดยอดค่ายกลของตระกูลไป๋หลี่อีก
แต่ดาบหนึ่งลงไปเช่นนี้ ค่ายกลก็แตกโครมไปแล้ว
ทุกคนของตระกูลไป๋หลี่ต่างก็พากันถูกสะเทือนกระเด็นถอยหลังไป
แล้วมองดูวิญญาณดวงนั้น เปลี่ยนเป็นแสงจุดเล็กๆ พุ่งเข้าสู่กลางหน้าผากของกู้ชูหน่วนไปทันที หลอมเป็นร่างเดียวกับนาง
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป เร็วจนทุกคนตอบสนองไม่ทันโดยสิ้นเชิง
ไป๋หลี่หมิงเยียนสูดหายใจเข้าลึกๆด้วยความตกใจ แล้วพ่นออกมาประโยคหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่าวิญญาณดวงนี้จะสามารถรวมเป็นหนึ่งกับความคิดและจิตใจของนางได้ ร่วมมือตีขนาบกันจากด้านในและด้านนอก ทำลายค่ายกลของพวกเรางั้นเหรอ?”
อะไร?
นี่เป็นเพียงแค่วิญญาณดวงหนึ่งที่ตายไปนานแล้วเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ใช่ทั้งหมดของดวงวิญญาณ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถรวมเป็นหนึ่งกับความคิดและจิตใจของคน แล้วร่วมมือกันจากทั้งภายในและภายนอกได้จริงๆ?
หรือเป็นไปได้ไหมว่ามู่หน่วนจะรู้จักกับเจ้าของของวิญญาณดวงนี้?
วิญญาณสถิตเข้าร่างของนางแล้ว พวกเขาจะดึงออกมาได้อย่างไร?
สุดยอดผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าวด้วยความโกรธเคือง “นังหนู เจ้าอาจหาญเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำลายเรื่องดีๆของพวกข้า มอบวิญญาณออกมาซะ”
“อยากได้วิญญาณ? ได้ ก็มาเอาไปเองสิ”
เมื่อวิญญาณสถิตอยู่ในร่างคนอื่น คิดจะเอาออกมาก็ยากซะยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์
นอกจากคนที่ถูกสิงร่างจะยินยอมพร้อมใจช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้น…
“นังเด็กสารเลว ไม่ฆ่าเจ้าซะ ความแค้นในใจของข้าก็ยากที่จะลบเลือน”