ไหวเหรินไม่อาจโน้มน้าวเฉินฉางเซิงได้
เฉินฉางเซิงก็ไม่อาจโน้มน้าวอาจารย์ย่าของสถานศึกษาหนานซีเช่นเดียวกัน
ไหวเหรินกล่าว “ท่านควรรู้ดีว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจออกมาจากการกักตนได้อีกระยะเวลาหนึ่ง อาจเป็นเวลาสิบปี ยี่สิบปีหรือนานกว่านั้นอีก”
เฉินฉางเซิงรู้เรื่องนี้ดี จดหมายที่สวีโหย่วหรงเขียนให้เขาได้อธิบายทุกอย่างไว้ชัดเจน
ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องมีเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง มีแต่ทางนี้จึงจะรักษาฐานะอันสูงส่งในนิกายหลวงและแดนใต้เอาไว้ได้
ในเวลาเดียวกัน นิกายหลวงก็จำเป็นต้องมีเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง มีแต่วิธีนี้จึงมีสิทธิ์ที่จะพูดในความขัดแย้งกับราชสำนักมากขึ้น
แดนใต้ก็ต้องการเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงเช่นกัน มีแต่ทางนี้จึงจะแก้ปัญหาความเสียเปรียบด้านจำนวนยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากการที่ซูหลีจากไปพร้อมกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
หากเฉินฉางเซิงเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้
ทว่าเขาเป็นสังฆราช จำเป็นต้อนนำนิกายหลวงและผู้ศรัทธานับล้าน
ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในแดนใต้ที่ห่างไกล มีเรื่องให้จัดการน้อยกว่า สวีโหย่วหรงจึงมีเวลาและกำลังมากกว่าเฉินฉางเซิง
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจกักตนและทะลวงผ่านด่านที่สูงขึ้นไป พยายามเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ในเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ในบันทึกประวัติศาสตร์ ผู้บำเพ็ญเพียรเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่นั้นสามารถทำได้หลังจากผ่านการบำเพ็ญเพียรมานานหลายศตวรรษเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าความลับสวรรค์
แม้แต่อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์หาใดเปรียบอย่างเปี๋ยยั่งหง ก็ยังต้องใช้เวลาร้อยกว่าปีในการบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบาก
หากสำรวจย้อนไปในช่วงพันปีที่ผ่านมา ไม่สนช่วงเวลาที่เก่าแก่กว่านั้น คนที่เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เร็วที่สุดก็คือโจวตู๋ฟู เฉินเสวียนป้า จักรพรรดิไท่จงและซูหลี อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นซูหลี โจวตู๋ฟูหรือหวังผ้อ ก็ต้องผ่านวัยสี่สิบไปแล้วจึงจะสามารถมองเห็นความลับยากบรรยายของสวรรค์ได้
แม้แต่เฉินเสวียนป้าที่มีพรสวรรค์ก็มีข่าวลือว่าแข็งแกร่งจนถึงกับสามารถสั่นสะเทือนทะเลดวงดาวได้ ก็ยังทะลวงผ่านได้หลังจากอายุสามสิบกว่าปีเท่านั้น
สวีโหย่วหรงมีเลือดหงส์สวรรค์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ กระนั้นนางก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าคนที่เป็นตำนานในอดีต
ด้วยเหตุนี้ ก็พอสรุปได้ว่าหากนางคิดทะลวงสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ นางต้องกักตนอย่างน้อยสิบปีขึ้นไป ต่อให้นางมีพรสวรรค์มากมายเช่นเดียวกับเฉินเสวียนป้า
“ท่านบอกว่าเรื่องนี้ต้องให้เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจ แต่นางไม่อาจออกจากการกักตน แล้วจะทำอย่างไร สถานศึกษาหนานซียังต้องเผชิญหน้ากับคำถามนี้”
ไหวเหรินกล่าวต่อ “ข้าไม่มีปัญญาจะตัดสินใจ จึงให้สถานศึกษาหนานซีปิดอารามเป็นเวลาสิบปี รอให้เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกจากการกักตนและตัดสินใจ”
เฉินฉางเซิงตอบ “ผู้อาวุโสควรรู้ว่านางจะเลือกอะไรหากนางไม่ได้กักตัวอยู่”
ไหวเหรินตอบ “ต่อให้เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เห็นด้วย ข้าก็ยังคิดหาวิธีที่จะปกป้องยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จากการเป็นกองหน้าในสงครามระหว่างนิกายหลวงกับราชสำนักอยู่ดี”
เฉินฉางเซิงถาม “หรือว่าผู้อาวุโสไม่ตระหนักว่าเหล่าศิษย์หลายร้อยคนของสถานศึกษาหนานซี ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สนับสนุนการตัดสินใจของท่าน”
ไหวเหรินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “นี่เป็นเพราะพวกนางยังเยาว์และไม่รู้ว่าสงครามน่ากลัวเพียงใด”
เฉินฉางเซิงกล่าว “คัมภีร์เต๋าบรรยายไว้ชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างความต้องการสู้กับความกลัวการสู้ ข้าไม่ต้องการจะพูดซ้ำอีก”
ไหวเหรินตอบ “ข้าได้บอกจุดยืนของสถานศึกษาหนานซีไปชัดเจนแล้ว ไม่คิดจะพูดซ้ำอีก”
ความมืดมิดมาเยือนอย่างฉับพลัน เทือกเขาสิบกว่าลูกกลายเป็นสีดำราวกับหมึก
ในช่วงวิกฤตและตึงเครียดที่สุดในการเจรจา ต้นไม้ที่ออกดอกเบ่งบานก็พลันสว่างขึ้นใต้แสงโคม ผิงเซวียนเร่งรุดมา ตามมาด้วยศิษย์หลายคน
ผิงเซวียนคำนับเฉินฉางเซิงจากนั้นก็กล่าวกับไหวเหริน “อาจารย์ มีข้อความจากตีนเขาว่าคณะทูตจากราชสำนักมาถึงแล้ว”
เฉินฉางเซิงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าคนของราชสำนักจะมาเร็วขนาดนี้
ไหวเหรินถาม “ใครเป็นผู้นำคณะทูต”
ผิงเซวียนตอบ “เซียงอ๋อง”
ไหวเหรินดูไม่หวั่นไหวกับชื่อเซียงอ๋อง ทว่านางรู้สึกโล่งอกอยู่ภายใน
นางได้เสี่ยงที่จะทำให้พระราชวังหลีโกรธในเรื่องปิดอาราม และรู้สึกกดดันอย่างมาก การสนทนากับเฉินฉางเซิงทำให้นางหมดสิ้นเรี่ยวแรง ตอนนี้คณะทูตจากราชสำนักมาถึงแล้ว นำมาโดยเซียงอ๋องที่เพิ่งเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ คาดว่าพวกเขาคงช่วยกำจัดอุปสรรคให้สถานศึกษาหนานซีได้บ้าง
เฉินฉางเซิงรู้สึกค่อนข้างแปลกที่เขาไม่ได้ยินชื่อของอู๋ฉยงปี้
ไหวเหรินถามว่าใครนำคณะทูตมา แต่หากอู๋ฉยงปี้อยู่ด้วยศิษย์ที่มีความสามารถอย่างผิงเซวียนย่อมบอกเรื่องสำคัญอย่างนี้ด้วย
ไม่ว่าอู๋ฉยงปี้จะมีนิสัยน่าเกลียดชังเพียงใด นางก็ยังเป็นยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีจำนวนน้อยจนใช้นิ้วนับได้ถ้วน หากนางไม่เอ่ยถึงก็ย่อมหมายความว่านางไม่ได้อยู่ในคณะทูต
นอกเมืองเวิ่นสุ่ย ตอนที่เซียวจางเห็นพวกเขา อู๋ฉยงปี้กับเซียงอ๋องยังอยู่ทั้งคู่ แต่ตอนนี้นางไปอยู่ที่ไหน
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีข่าวส่งมาจากประตูภูเขาเพิ่มขึ้น
ตัวแทนของพรรคฉางเซิงมา เช่นเดียวกับตระกูลมู่ท่ากับตระกูลอู๋ รองเจ้าสำนักต้นไหวก็มาเช่นกัน เหล่าตัวแทนจากสำนักใหญ่อื่นๆ ในแดนใต้ทั้งหมดต่างก็มาแล้ว
“ขอโทษพระองค์ด้วย ข้าต้องลงเขาไปต้อนรับพวกเขา”
ไหวเหรินกล่าวขอโทษเฉินฉางเซิงแล้วก็ไปจากหน้าผา
คนอื่นในสถานศึกษาหนานซียังอยู่ดูแลพวกของเฉินฉางเซิง นำโดยนักพรตหญิงชุดม่วงไหวซู่
จากรูปลักษณ์ของนาง บอกได้ว่านักพรตหญิงคนนี้มีนิสัยแข็งกร้าวอย่างมาก ทว่าเมื่อนางนำทางพวกเฉินฉางเซิง นางไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ด้วยฐานะของเฉินฉางเซิง สถานศึกษาหนานซีย่อมปฏิบัติต่อเขาอย่างดีที่สุด เปิดอาคารที่ดีที่สุดในอารามให้เขา
เยี่ยเสี่ยวเหลียนและศิษย์อีกหลายคนกำลังยุ่งกับการจัดเตรียมห้อง ถังซานสือลิ่วยืนอยู่ด้านข้าง ออกคำสั่งให้พวกเขาทำงานแต่ไม่ยื่นมือไปช่วยแม้แต่น้อย
“บ้านนี้ไม่ได้เปิดใช้มาหลายปีแล้วเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีฝุ่นมากหน่อย ข้าขอให้พระองค์รอสักครู่หนึ่ง”
ไหวซู่เสริม “เพราะมันเป็นเวลาหลายปีแล้วที่มีสังฆราชมาเยือนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ครั้งก่อน”
เฉินฉางเซิงกล่าว “ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะด้วย”
“นิกายหลวงคือศรัทธาในเต๋า แต่ศรัทธาในเต๋าไม่ใช่นิกายหลวง อย่างน้อยยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เคยได้รับการดูแลจากนิกายหลวง ไม่ว่าผู้ศรัทธาในจิงตูจะคิดเช่นไร ไม่ว่าบันทึกของนิกายจะบรรยายการแตกแยกนี้อย่างไร พระราชวังหลีก็ไม่เคยเห็นค่าของพวกเรา”
ไหวซู่มองเขาแล้วถาม “ตอนนี้พระราชวังหลีอยู่ในอันตรายและต้องการพวกเรา พระองค์ก็มาหาเรา พระองค์คิดว่าเหมาะสมแล้วหรือ”
……
……
ราตรีค่อยๆ คล้อยดึก หลังจากอาหารค่ำ เฉินฉางเซิงยืนอยู่ในลานบ้าน ตามองไปทางแม่น้ำถงเจียง เขามองไปยังเข็มขัดเงินที่แทบมองไม่เห็น จากนั้นก็กล่าว “ไม่จำเป็นต้องรีบสืบสวน สิ่งแรกที่ต้องทำคือหยุดการปิดอาราม หากผู้อาวุโสทั้งสามยังคงดื้อดึง เราก็สามารถให้คำรับรองว่าจะไม่พูดเรื่องการรวมกัน”
เวลาผ่านไประยะหนึ่งนับจากตอนที่พวกเขาออกจากเมืองเวิ่นสุ่ยและมายังยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่พระราชวังหลีก็ยังไม่ได้รับข่าวการกลับมาของอาจารย์ย่าทั้งสามและเหตุการณ์ใหญ่อย่างการปิดอาราม นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมาก ดูเหมือนว่าการตายอย่างกะทันหันของนักพรตไป๋สือไม่อาจแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้
ฮู่ซานสือเอ้อร์ออกไปทำตามคำสั่ง เขามีวิธีที่จะส่งต่อโองการของเฉินฉางเซิงไปยังจิงตูและอารามใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด ตอนที่เขากลับมาถึงลานบ้านก็ได้ข่าวล่าสุดกลับมาด้วย เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ตัวแทนพระราชวังหลีได้มาถึงตีนเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด ดูเหมือนว่าเหมาชิวอวี่ได้ส่งคนมาอย่างเร่งด่วน
ข่าวนี้ทำให้เฉินฉางเซิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีปัญหาที่เขายังไม่เข้าใจ อู๋ฉยงปี้หายไปไหน
ถังซานสือลิ่วก็พบว่าเป็นเรื่องแปลกมาก “นักพรตหญิงชรานั่นชอบมีส่วนร่วมในเรื่องเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลที่นางจะจากไปกลางคัน”
เฉินฉางเซิงคิดถึงความไม่สบายใจที่เขารู้สึกตอนยืนอยู่ตรงหน้าผนังหินบนยอดเขา อารมณ์ของเขาก็หม่นมัวกว่าเดิม จนไม่อาจนั่งนิ่งอยู่ได้ จึงเดินออกไปยังลานบ้าน