ด้วยว่าเฉินฉางเซิงมาเยือนที่แห่งนี้ การมาถึงของคณะทูตจากราชสำนักและตัวแทนขุมกำลังต่างๆ สถานศึกษาหนานซีจึงอยู่ภายใต้การระวังป้องกันอย่างเข้มงวดในวันนี้ บนที่ราบสูงเหล่าศิษย์ยืนเฝ้ายามอยู่ท่ามกลางดงไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่ง สัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่แผ่วเบาหลายสิบสายในอาณาบริเวณเตรียมพร้อมที่จะใช้ออก หากมีศัตรูเข้ามา ค่ายกลกระบี่ก็จะถูกใช้ออกในเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อศิษย์สถานศึกษาหนานซีเห็นเขา ก็คำนับ มีคนหนึ่งถามขึ้น “พระองค์จะไปไหนเจ้าคะ”
เมื่อเด็กสาวนี้ถามขึ้น ศิษย์คนอื่นก็ยิ้มมองเขา คาดว่าเดาจุดหมายของเขาได้แล้ว
เฉินฉางเซิงขอบคุณพวกนางที่ต้องลำบากอย่างเขินอายอยู่บ้าง มือชี้ไปที่ยอดเขา “ข้าจะขึ้นไปดูสักหน่อย”
ดงไม้อบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าศิษย์ สดใสรื่นหูราวกับเสียงนกกระจิบร้องเจื้อยแจ้ว
ยากจะจินตนาการได้ว่าหากมีการปิดอารามนานสิบปี เสียงหัวเราะสดใสนี้จะมีให้ได้ยินอีกหรือไม่ มันคงเป็นความโชคร้ายของโลกใบนี้อย่างแท้จริง
……
……
ในการเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาครั้งนี้ เฉินฉางเซิงย่อมไม่ยินดีจะปีนป่ายหน้าผาอีกครั้ง ลมพัดผ่านดงไม้ทำให้ดอกไม้สั่นไหว แผ่กลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ นกกระเรียนกระพือปีกบินขึ้น มาถึงยอดเขาอย่างรวดเร็ว
เฉินฉางเซิงเดินไปที่ผนังหิน แล้วดึงเถาวัลย์ไปด้านข้าง เขายืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่อาจสงบใจได้ จึงหันหลังเดินจากไป
เทือกเขาลั่วเหมยมียอดเขานับไม่ถ้วน มียอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สูงที่สุด ที่นี่ภูเขาอยู่ใกล้กับท้องฟ้าราตรีที่สุด แสงจากดวงดาวนับไม่ถ้วนดูเจิดจ้าอยู่บ้าง
เขาเคยไปที่ยอดเขาโดดเดี่ยวในสุสานเมฆา ได้ขึ้นไปสูงมากแต่ก็ถูกล้อมไว้ด้วยเมฆจึงไม่อาจมองเห็นดวงดาวสุกใสเช่นนี้
แสงดาวปกคลุมยอดเขาราวกับผิวน้ำ ส่องสว่างลายเส้นบนแผ่นศิลาจารึกอย่างชัดเจน
เฉินฉางเซิงมองไปที่ศิลาจารึกพวกนั้น ลองเปรียบเทียบกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในสุสานเทียนซู ทำความเข้าใจอย่างช้าๆ
เวลาผ่านไปช้าๆ ในคืนที่ท้องฟ้าพร่างดาว เขาตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ เดินไปที่หน้าผา มองไปยังตีนเขาที่ห่างไกล
เขาเห็นแสงจากโคมไฟนับไม่ถ้วนดูราวกับดวงดาวบนฟ้าแต่หม่นมัวกว่ามาก คาดว่าน่าจะเป็นคณะทูตจากราชสำนักและตัวแทนจากตระกูลชั้นสูงกับสำนักใหญ่
สถานศึกษาหนานซีต้องการจะปิดกั้นตัวเองออกจากโลกภายนอกสิบปีจริงหรือ หลังจากเห็นภาพคัดลอกแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และสัมผัสกับปัญญาของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนแรก เขาก็ไม่คิดถึงคำถามนี้อีก แต่เอาหนังสืออีกเล่มที่เกี่ยวกับเพลงกระบี่จำศีลออกมาแล้วเริ่มอ่าน ดังเช่นที่เคยทำเมื่อบ่ายที่ผ่านมา เจตจำนงกระบี่รุนแรงค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าผา
เจตจำนงกระบี่นี้มีต้นกำเนิดมาจากปลายนิ้วของเขาและพุ่งไปสู่ท้องฟ้าดวงดาวอันห่างไกลและแผ่นดินของโลกมนุษย์
……
……
แม่น้ำถงเจียงไหลมาจากส่วนลึกของเทือกเขาลั่วเหมย ไหลผ่านยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และไปรวมกับแม่น้ำเฮิ่นเหอที่ไหลไปทางตะวันตก คดเคี้ยวผ่านเทือกเขาอีกแห่งและเข้าสู่โกรกธาร
ในโกรกธารยี่สิบกว่าลี้จากเมืองเฟิ่งหยาง แม่น้ำมืดดำไหลเชี่ยวกรากราวกับฟ้าคะนอง
มีสองคนปรากฏขึ้นบนก้อนหินในแม่น้ำอย่างฉับพลัน ไม่ว่าน้ำจะเชี่ยวน่ากลัวเพียงใด ก็ไม่มีความหมายในสายตาของคนทั้งสอง
เพราะพวกเขาเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง จึงมีสิทธิ์ที่จะไม่สนใจอำนาจของธรรมชาติ และยังเป็นเพราะพวกเขากำลังเปี่ยมไปด้วยความกังวลและกระวนกระวาย
คนหนึ่งเป็นนักพรตหญิงในชุดสีเขียวคราม ดวงตาจมลึกและไร้ชีวิตชีวา ใบหน้าซึดขาวและไร้ซึ่งความโหดเหี้ยมตามปกติของนาง นี่คืออู๋ฉยงปี้
เปี๋ยยั่งหงยังคงใส่ชุดอาลักษณ์ แต่ท่าทีสุขุมเฉยชาของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดกว่าเดิมมาก สามารถมองเห็นประกายของความเศร้าได้
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ลูกรักของข้าต้องทำตัวซุ่มซ่าม…แล้วทำมันพังโดยบังเอิญ”
อู๋ฉยงปี้พึมพำกับตัวเอง ใบหน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ ดวงตาหม่นมัวลงเรื่อยๆ นางพบว่าไม่อาจหลอกตัวเองได้
สายตาเปี๋ยยั่งหงพลันจ้องไปที่จุดหนึ่งในแม่น้ำ นัยน์ตาเขาหดลง ประกายความโหดเหี้ยมฉายขึ้น ดอกไม้แดงที่ลอยอยู่รอบนิ้วก้อยบินไปในอากาศ
ตูม! แม่น้ำถูกแหวกออก น้ำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราตรีราวกับน้ำตกที่ไหลย้อนกลับ
กำลังที่เหนือจินตนาการระเบิดผ่านผิวน้ำและก่อให้เกิดรูขนาดรัศมีครึ่งจั้ง ลึกจนมองเห็นโคลนเปียกที่ก้นแม่น้ำ
อู๋ฉยงปี้กรีดร้องและพุ่งเข้าไปที่รูนั้น นางลอยอยู่เหนือน้ำสามฉื่อและมองลงไปข้างใน
แค่เหลือบมองนางก็แทบหมดสติ หากไม่ใช่เพราะเปี๋ยยั่งหงมาถึงทันเวลา นางอาจตกลงไปในแม่น้ำ
ก้นรูนั้นไม่มีอะไรนอกจากโคลน ไม่อาจมองเห็นสิ่งแปลกปลอมได้ด้วยตาเปล่า ทว่าด้วยระดับการบำเพ็ญเพียรของอู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยยั่งหง รวมกับสายสัมพันธ์ทางสายเลือด พวกเขาย่อมสามารถสังเกตเห็นปัญหาได้
โคลนพวกนี้มีน้ำแข็งก้อนเล็กๆ อยู่นิดหน่อย ก้อนน้ำแข็งพวกนี้บรรจุไว้ด้วยปราณที่อ่อนจางอย่างยิ่ง
ปราณนี้เชื่อมโยงกับดวงจิตของเปี๋ยเทียนซินซึ่งอู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยยั่งหงฝังไว้ด้วยตัวเองในห้วงแห่งจิตของบุตรชายก่อนที่เขาจะออกเดินทาง
อู๋ฉยงปี้สัมผัสได้ถึงปราณที่อ่อนอย่างยิ่งนี้ ร่างนางสั่นสะท้านอย่างรุนแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว เริ่มสะอื้นไห้ด้วยความโศกเศร้า
“ใครกันที่โหดร้ายเช่นนี้! ข้าจะฆ่ามัน! มันเป็นใคร!”
เสียงสะอื้นอย่างโศกเศร้าของนางสะท้อนไปตามสองฝั่งโกรกธาร สายลมพลันพัดขึ้น ทำให้ป่าราบเรียบ พวกลิงข้างแตกตื่นหนีไป เสาน้ำนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นจากแม่น้ำ ฆ่าปลาไปมากมาย
ความโศกเศร้าล้ำลึกปรากฏขึ้นบนใบหน้าเปี๋ยยั่งหง แต่เขาใจเย็นยิ่งกว่าภรรยามาก เขาโบกแขนเสื้อเบาๆ คว้าเอาผลึกน้ำแข็งที่ก้นแม่น้ำขึ้นมา
ผลึกน้ำแข็งเหลืออยู่แค่สิบกว่าเม็ดเท่านั้น แต่ละเม็ดมีขนาดเท่าเม็ดถั่ว หากพวกเขามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว แค่ไม่กี่ชั่วยาม แม่น้ำจะละลายผลึกน้ำแข็งพวกนี้ไปจนหมด ปราณนี้จะสลายหายไป ถูกแม่น้ำกลืนไปจนแม้แต่ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขาก็ไม่อาจที่จะสัมผัสได้
ฆาตกรต้องเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ช่างคำนวณอย่างแท้จริง
เมื่อนางคิดดูแล้ว อู๋ฉยงปี้ก็โกรธมากขึ้นไปอีก
เปี๋ยยั่งหงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงปราณที่เย็นอย่างที่สุดจากผลึกน้ำแข็งเหล่านี้
อู๋ฉยงปี้กำลังโมโห จึงสัมผัสได้ช้ากว่า สีหน้าบูดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดที่ดูเหมือนจะกัดกินใครสักคนได้เลย
“มังกรดำ! เฉินฉางเซิง!”
คนอย่างพวกเขาย่อมระบุได้ว่าสิ่งที่ฆ่าเปี๋ยเทียนซินและทำลายหลักฐานส่วนใหญ่ของร่างกายเขาก็คือลมหายใจมังกรเยือกแข็งของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง
ทั่วโลกรู้ว่าเผ่ามังกรไม่ได้ก้าวเข้ามาในจิงตูเป็นเวลาหนึ่งพันปีแล้ว และมีแต่คนสำคัญที่รู้ว่ามีมังกรตัวหนึ่งบนดินแดนต้าลู่และเป็นผู้พิทักษ์ให้กับสังฆราชในตอนนี้ มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ถูกขังไว้ใต้สะพานอุดรใหม่เป็นเวลานานกว่าหกศตวรรษ
หากมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งสังหารเปี๋ยเทียนซิน เช่นนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิง
เปี๋ยยั่งหงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “รอข้าที่นี่ ข้าจะไปสืบอีกหน่อย”
กล่าวแล้วเขาก็ไปจากแม่น้ำและปรากฏตัวขึ้นที่จุดอื่นในโกรกธาร เขาปลุกชาวประมงและถามว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงสองสามวันมานี้
หากชาวประมงคนนี้ไม่รู้ เขาก็ปลุกอีกคนหนึ่ง หลังจากครึ่งชั่วยาม เขาก็พบกับชาวประมงที่ได้เห็นเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นบนแม่น้ำในที่สุด
มีปีศาจปีกเขียวคว้าคนผู้หนึ่งและบินไปเหนือแม่น้ำ
“หนานเค่อ! องค์หญิงเผ่ามาร!” อู๋ฉยงปี้คำราม ดวงตาแดงก่ำ “เฉินฉางเซิงให้นางอยู่ข้างกายตลอดเวลา ใครไม่รู้บ้าง มันมีความแค้นกับลูกชายข้า พวกเขาพบกันบนเทือกเขาตอนไม่มีใครอยู่ มันก็ฆ่าเขา! มันต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
เปี๋ยยั่งหงมีสีหน้าอ่อนแรง ยังคงนิ่งเงียบ
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ในโกรกธารที่ห่างไกลจากความเจริญ ทำไมลูกชายเขาถึงมาพบเจอกับพวกเฉินฉางเซิงได้
ความเป็นไปได้นั้นน้อยเกินไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขากับอู๋ฉยงปี้ก็ไปเมืองเฟิ่งหยาง พวกเขาได้รู้ว่าจะมีงานเลี้ยงน้ำชาในวันพรุ่งนี้และเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน
เซียวจางมาที่นี่
เฉินฉางเซิงก็เคยมาที่นี่