ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 64 พบเพื่อนเก่าบนยอดเขา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ลูกชายสุดที่รักของข้าชอบศิลปะการชงชา ดังนั้นจึงมายังที่แห่งนี้”

อู๋ฉยงปี้จ้องเข้าไปในดวงตาสามีประหนึ่งว่ามองศัตรู ก่อนพูดอย่างเกลียดชัง “เจ้ายังต้องสืบอะไรอีก ยังต้องการหลักฐานอะไรอีก หรือเจ้ายังไม่เชื่อว่าองค์สังฆราชที่เจ้าชื่นชมสังหารลูกชายเจ้า หรือว่าเจ้าไม่กล้าล้างแค้นให้ลูกชาย จึงได้หาทางแก้ตัวให้เขาอย่างเต็มที่”

เปี๋ยยังหงยังไม่พูดอะไร หันกลับไป เขาเดินเข้าร้านอาหารริมแม่น้ำ

เขารู้ว่าลูกชายได้หยุดอยู่ที่นี่ระยะเวลาหนึ่ง เขาต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครให้เขาถามได้

ร้านอาหารเต็มไปด้วยซากศพ

เขารีบออกจากร้านอาหาร อาศัยเส้นใยความลับสวรรค์ที่เขาฝืนคำนวณออกมา พบว่าเป้าหมายอยู่บนเรือที่ใช้ขนส่งใบชา

คนผู้นี้ไม่ให้โอกาสเขาได้ถามคำถามใด ตอนที่พวกเขาได้เห็นเขาบินผ่านอากาศ พวกเขาก็กินยาพิษฆ่าตัวตาย ใบหน้ามีรอยยิ้มที่แปลกประหลาด ชั่วช้าและสิ้นหวัง

เปี๋ยยังหงจำคนผู้นี้ได้

นักบวชซินแห่งวิหารปฏิญญาผู้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการฟื้นฟูสำนักฝึกหลวง

เขามองไปยังศพนักบวชซิน เปี๋ยยั่งหงยังคงความเงียบเอาไว้

อู๋ฉยงปี้ตะโกนอย่างโมโห “เจ้ารออะไรอยู่ รีบไปฆ่าเฉินฉางเซิงสิ!”

เปี๋ยยั่งหงนิ่งเงียบต่อไปอีกครู่หนึ่งแล้วจากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นในที่สุด “เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราช”

“สังฆราชแล้วเป็นอย่างไร เจ้ากลัวงั้นหรือ”

อู๋ฉยงปี้เช็ดน้ำตาและร้อง “ข้าไม่กลัว! ข้าจะสับมังกรดำนั่น… ข้าจะฉีกเนื้อนางเป็นชิ้นๆ! ถลกหนังนางออกมา!”

……

……

สถานศึกษาหนานซีต้องการปิดอารามเป็นเวลาสิบปี ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างนั้นหรือ

ข่าวนี้ย่อมสะเทือนไปทั่วทั้งต้าลู่ ทว่าตอนนี้ข่าวยังไม่แพร่กระจายไปไกลนัก คณะทูตราชสำนักและตระกูลชั้นสูงกับสำนักใหญ่ที่มาถึงยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เมื่อคืนได้รับข่าวนี้ก่อน พวกเขาย่อมเตรียมตัวที่จะช่วยเหลืออาจารย์ย่าทั้งสามของสถานศึกษาหนานซีรับมือกับแรงกดดันจากนิกายหลวง

คณะทูตราชสำนักนำโดยเซียงอ๋อง อ๋องผู้นี้เพิ่งทะลวงผ่านเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นานและตอนนี้ก็อยู่ในช่วงที่แข็งแกร่งที่สุด นอกจากนี้หญิงชราจากตระกูลมู่ท่าและผู้นำตระกูลอู๋ก็มาด้วยตัวเอง พรรคฉางเซิงได้ส่งผู้อาวุโสหนึ่งคนกับศิษย์อีกหลายคน จากนั้นหากรวมพวกสำนักเล็กๆ อย่างวัดฉือเจี้ยน อาศรมหมิงสุ่ย พรรคตะวันเจิดจ้า เข้าไปด้วยก็มีคนมาร่วมประมาณหนึ่งพันคน

ตัวแทนพระราชวังหลีนั้นด้อยกว่ามาก พวกเขาแค่ส่งมุขนายกจากอารามที่อยู่ในแดนใต้มา สำนักต้นไหวกับหลีซานอยู่ใกล้กว่า ดังนั้นแม้ว่าจะได้รับข่าวช้าไปบ้าง แต่พวกเขาก็มาถึงในเวลาเดียวกัน บรรเทาสถานการณ์ไปได้บ้างเล็กน้อย สำนักต้นไหวได้ส่งรองเจ้าสำนักและศิษย์หลายคนรวมถึงจงฮุ่ยมา ยอดฝีมือจากหอกระบี่ยังอยู่ที่ชายแดนเหนือเพื่อสะกดยอดฝีมือเผ่ามาร ดังนั้นสำนักกระบี่หลีซานจึงส่งโก่วหานสือกับศิษย์อีกสิบกว่าคนมา โก่วหานสือเป็นแค่ศิษย์รุ่นสองเท่านั้น ทว่าเขามีนิสัยสุขุมมั่นคง เชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋า มีความรู้กว้างขวาง และมีทักษะกระบี่สูงส่ง หลายคนคาดหวังกับอนาคตของเขาไว้สูง โดยเฉพาะเพื่อชิวซานจวินได้หายตัวไปห้าปี ทำให้เขามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นประมุขคนต่อไป

ช่วงนี้ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คึกคักที่สุดในช่วงหลายทศวรรษ เรียกได้ว่าเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุด หลังจากงานฉลองการบรรจบกันของเหนือใต้

ที่ตั้งลานพิธีปิดอารามไม่ได้อยู่ตรงหน้าของสถานศึกษาหนานซี แต่เป็นยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ภูเขานี้มีความพิเศษอย่างมาก ยอดเขาเป็นที่ราบหินกว้างใหญ่และราบเรียบราวกับกระจก ที่ราบสูงนี้สามารถบรรจุคนได้หลายพันคน มีที่ว่างมากมายซึ่งทำให้สำนักที่ส่งตัวแทนมาน้อยดูโดดเด่นมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นมุขนายกของนิกายหลวงจากอารามในแดนใต้กับนักบวชที่ติดตามเขามาซึ่งเพิ่งมาถึงเช้านี้เอง

พระราชวังหลีกับยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นของนิกายหลวง ทว่าในเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ พระราชวังหลีกลับส่งคนมาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ผู้คนมากมายเห็นว่าเรื่องนี้มีปัญหาอยู่บ้าง ไม่ว่าในโองการของราชสำนักหรือการสนทนาส่วนตัว พระราชวังหลีมีเจตนาที่จะไม่เข้าร่วมพิธีของสถานศึกษาหนานซีอย่างชัดเจน คำอธิบายแรกที่สามผู้อาวุโสของสถานศึกษาหนานซีและคณะทูตจากราชสำนักบอกออกมาก็คือสังฆราชไม่ได้อยู่ในพระราชวังหลีดังนั้นจึงยากที่มอบบัตรเชิญได้ทันเวลา ทุกคนรู้ว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง แต่ปัญหาก็คือไม่มีคนสำคัญของพระราชวังหลีปรากฏตัวแม้แต่คนเดียว เกิดอะไรขึ้นกันแน่

โก่วหานสือมองไปทางเส้นทางภูเขาอันห่างไกลซึ่งถูกปกคลุมด้วยเมฆอยู่เงียบๆ จากนั้นก็กล่าวกับศิษย์น้อง “ดูเหมือนว่าไม่มีโอกาสที่จะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ในวันนี้”

สำนักกระบี่หลีซานทั้งหมดก็หม่นหมองไป

หลีซานกับยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ห่างกันไม่ไกล ภูเขาที่ตั้งของสำนักทั้งสองก็ห่างกันแค่แม่น้ำกั้นเท่านั้น ศิษย์ของสำนักทั้งสองคุ้นเคยกันดีและถือว่าตัวเองเป็นคนสำนักเดียวกัน ตอนนี้พวกเขารู้ว่าตนจะต้องถูกตัดขาดจากศิษย์พี่ศิษย์น้องเป็นเวลาสิบปี จึงยากที่จะไม่รู้สึกหดหู่ ไม่ว่าจิตกระบี่ของพวกเขาจะกระจ่างใสเพียงใด

ทุกคนเห็นด้วยกับความเห็นของโก่วหานสือว่าไม่มีทางที่จะเลี่ยงการปิดอารามของสถานศึกษาหนานซีได้ เพราะสวีโหย่วหรงกักตนอยู่และพระราชวังหลีซึ่งเป็นอำนาจเดียวที่สามารถต้านทานราชสำนักกับขุมกำลังเหล่านี้ได้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เรื่องนี้ด้วยสาเหตุบางอย่างจึงไม่ได้ส่งคนสำคัญมาแม้แต่คนเดียว

ดังนั้นตอนที่ผู้บำเพ็ญเพียรพันกว่าคนบนที่ราบสูงพลันเห็นสังฆราชเดินออกมาจากเมฆพวกเขาก็ตกใจถึงขีดสุด

……

……

ฝูงชนคุกเข่าลงเป็นเกลียวคลื่น

คลื่นมนุษย์สงบลงเป็นทะเลมนุษย์ ผู้บำเพ็ญเพียรพันกว่าคนคุกเข่าคำนับเสร็จแล้ว เสียงอ่อนโยนของอาจารย์ย่าไหวเหรินก็กล่าวเชิญให้นั่งประจำที่

คนจากสำนักต้นไหวสิบกว่าคนนั่งอยู่ไม่ห่างจากสำนักกระบี่หลีซาน

ก่อนหน้านี้สองสำนักที่มีลักษณะนิสัยเด็ดเดี่ยวคู่นี้ไม่เคยสบตากันหรือนั่งใกล้กันมาก่อน อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องในเมืองสวินหยางกับการทะลวงผ่านของหวังผ้อบนแม่น้ำลั่วในจิงตู สำนักต้นไหวก็ไม่ได้เก็บตัวอีกต่อไป สำนักกระบี่หลีซานก็ไม่ได้อวดโอ่อีกต่อไป ทั้งสองฝ่ายเริ่มเข้ากันได้ดีขึ้นอย่างน้อยก็ไม่ทะเลาะกัน

“ราชสำนักคงฝันไป พวกเขาคิดจริงหรือว่าพวกเขาจะสามารถกันพระราชวังหลีออกจากเหตุการณ์ใหญ่นี้ได้”

รองเจ้าสำนักต้นไหวมองไปยังเซียงอ่องที่อยู่ไกลออกไป ก่อนกล่าวเย้ย “พวกเขาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์สังฆราชกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นใดกัน เรื่องปิดสำนักจะซ่อนจากเขาได้อย่างไร”

หลังจากกล่าวแล้ว เขาก็มองไปทางพวกสำนักกระบี่หลีซาน

คำพูดง่ายๆ นี้ประชดราชสำนักและสำนักกระบี่หลีซานในเวลาเดียวกัน สถานะของสำนักต้นไหวในแดนใต้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้พวกเขามีความกล้าขึ้นมา

จงฮุ่ยมีบุคลิกซึมเศร้า แต่เขาไม่คิดแบบเดียวกับรองเจ้าสำนักและไม่รู้ว่าพูดพวกนี้จงใจจะทำให้สำนักกระบี่หลีซานอับอาย เขากล่าว “ข่าวลือเป็นความจริงหรือ”

“เจ้าน่าจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นบนหานซาน ตอนที่องค์สังฆราชได้รับบาดเจ็บจากกวนไป๋ ใครกันที่ออกมาช่วยเขา แล้วการเดินทางจากหานซานไปถึงจิงตู มีดวงตากี่คู่ที่มองอยู่ องค์สังฆราชกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กิน ดื่ม หลับนอน ใช้ชีวิตร่วมกันราวกับคู่บำเพ็ญ”

รองเจ้าสำนักต้นไหวเย้ย “ใครจะรู้ว่าราชสำนักคิดอะไรกับการปิดอารามของสถานศึกษาหนานซี แต่เมื่อองค์สังฆราชมาแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ”

เซียงอ๋องนั่งอยู่ทางตะวันออกสุดของที่ราบสูง ไกลจากที่นั่งของสำนักต้นไหวมาก เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้ยิน เขาพูดคุยกับหญิงชราจากตระกูลมู่ท่าและผู้นำตระกูลอู๋ด้วยสีหน้าปกติ

แต่โก่วหานสือกับศิษย์สำนักกระบี่หลีซานสามารถได้ยินคำพูดนี้อย่างชัดเจน มีสีหน้าไม่ปกติอยู่บ้าง