ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 821 หนึ่งกระบวนท่ากำหนดผลแพ้ชนะ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

นอกจากจะงุนงงถึงความเป็นมาของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ในอีกด้านหนึ่งยังมีเรื่องที่ทำให้จอมยุทธ์เขาอัศจรรย์รู้สึกตื่นตระหนกด้วย

แม้ว่าจะไม่ได้ตกลงกันอย่างชัดเจน แต่ก่อนหน้านี้ฟู่ถิงกล่าวไว้แล้ว ว่าแลกเปลี่ยนหนึ่งกระบวนท่า

เมื่อครู่แม้ว่าจะไม่ได้เสียท่า ทว่าหลังจากฟู่ถิงใช้ฝ่ามือหยินหยางขั้วกำเนิดเสร็จแล้ว นางก็กระตุ้นร่างไร้ประมาณสสารกำเนิดเพื่อป้องกัน เท่ากับบวกเพิ่มอีกครึ่งกระบวนท่า

ถ้าหากจะพูดให้ถูกต้อง นางใช้ไปหนึ่งกระบวนท่าครึ่ง แลกเปลี่ยนกับหนึ่งฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอ

หากใช้หนึ่งกระบวนท่ากำหนดผลแพ้ชนะ ผู้ชนะก็คือเยี่ยนจ้าวเกอ!

ทุกคนต่างงงงันเล็กน้อย

ไม่ใช่แค่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นสองคนเท่านั้น จอมยุทธ์เขาอัศจรรย์ที่อยู่รอบๆ ต่างมีอายุมากกว่าฟู่ถิง หลายคนถึงขั้นที่ไม่ได้อาวุโสกว่าเพียงเล็กน้อย

พวกเขามองดูฟู่ถิงเติบโต มองดูนางเอาชนะคู่ต่อสู้จำนวนนับไม่ถ้วนในชั่วชีวิตที่ผ่านมา

คนที่เอาชนะฟู่ถิงได้ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่สำหรับคนที่มีระดับพลังหรือในอายุเท่ากัน ฟู่ถิงไม่เคยปราชัย ไม่เคยลิ้มลองรสชาติของความพ่ายแพ้

มีคนหลายคนที่อายุมากกว่านาง มีระดับสูงกว่านาง แต่ก็ล้วนแพ้นางครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่เป็นครั้งแรกที่คนในเขาอัศจรรย์เห็นฟู่ถิงเสียท่าคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน

ระดับพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายต่ำกว่าฟู่ถิงขั้นหนึ่ง มิหนำซ้ำอายุยังน้อยกว่าด้วย!

สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึมขึ้นมา พากันมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างพร้อมเพรียง

หลังจากฟู่ถิงเงียบงันอยู่สักพัก นางก็กล่าวอย่างเบิกบานว่า “กระบวนท่าเมื่อครู่ ข้าเองเป็นฝ่ายแพ้ ท่านมีทักษะสูงกว่าขั้นหนึ่ง”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางฟู่เกรงใจไปแล้ว”

ฟู่ถิงทางหนึ่งมองเยี่ยนจ้าวเกอ ทางงหนึ่งใคร่ครวญ

ชายหนุ่มไม่รอนางเอ่ยปาก เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ข้าไม่ใช่ผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ แต่ในตอนนี้บรรพบุรุษของสำนักข้าก่อตั้งสำนัก พวกเขาสร้างสำนักขึ้นจากรากฐานที่คนรุ่นก่อนทิ้งเอาไว้ ซึ่งส่งผลดีต่อวิชาสายเอกพิสุทธิ์”

“หากข้าบอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ ก็ดูจะไร้ยางอายจนเกินไป ทว่าตอนที่สำนักข้าก่อตั้งขึ้น ก็ได้มรดกของบรรพบุรุษสายเอกพิสุทธิ์ช่วยไว้ไม่น้อย”

“นอกจากนี้แล้ว ข้าได้ฝึกฝนวรยุทธ์วิชาสายเอกพิสุทธิ์จำนวนหนึ่งเพราะวาสนา สิ่งที่ร่ำเรียนจึงผสมปนเป ทำตัวน่าขายหน้าเสียแล้ว”

วรยุทธ์คัมภีร์ดั้งเดิมที่เขากว่างเฉิงสืบทอดมาหลายปี มีชื่อว่าวิชาเอกพิสุทธิ์

แน่นอนว่าหากพูดชื่อของวรยุทธ์นี้ในวันนี้ ก็ดูจะน่าอายไปบ้าง ด้วยความหน้าหนาของเยี่ยนจ้าวเกอ หากพูดกับคนที่ไร้ความเกี่ยวข้อง อาจจะพอทำเนียนๆ ได้หลายประโยค

ทว่าต่อหน้าฟู่ถิงซึ่งเป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ดั้งเดิมแล้ว ย่อมไม่อาจพูดออกจากปากได้

ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องทั่วไปนัก ถึงอย่างไรเฒ่าเบิกฟ้าชิวหยวน บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเขากว่างเฉิง และสร้างวรยุทธ์อย่างวิชาเอกพิสุทธิ์ขึ้นก็ไม่ได้รู้ว่ามีโลกซ้อนโลกอยู่ด้วย

วิสัยทัศน์ของท่านผู้เฒ่าจำกัดอยู่แค่อาณาเขตของโลกแปดพิภพเท่านั้น

จะบอกว่านั่งอยู่บนบ่อคอยมองฟ้าก็ไม่ได้ เพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในตอนนั้นทำให้ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่

ถ้าไม่มีรากฐานที่พวกชิวหยวนได้สร้างไว้ จางเชากับเยี่ยนตี๋ก็ไม่อาจก้าวหน้า จนกระทั่งสุดท้ายเดินบนเส้นทางที่เชื่อมสู่ฟากฟ้า โดดออกจากบ่อ เห็นโลกที่กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมได้

อีกทั้งในตอนนั้นชิวหยวนยังได้รับประโยชน์จากมรดกของคนรุ่นก่อนจริงๆ จึงมีร่องรอยของวิชาสายเอกพิสุทธิ์อยู่ด้วย

หากจะพูดว่าเขากว่างเฉิงเป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ในโลกแปดพิภพ ก็ถือว่าไม่ผิด

ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ ในมือของเขาไม่มีวรยุทธ์วิชาสายเอกพิสุทธิ์ที่มีรายละเอียดครบถ้วนอย่างแท้จริง ที่รวมสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่งสำเร็จได้ เป็นเพราะได้ประโยชน์จากวิชาวรยุทธ์ของเขากว่างเฉิง

เมื่อได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเช่นนี้ ฟู่ถิงก็มองเขาอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง

ขณะจะพูดอะไรบางอย่าง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

เยี่ยนจ้าวเกอกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่สองคนนั้นดวงตาเป็นประกายเช่นกัน

สายตาของทุกคนมองไปด้านล่างเท้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ฟ้าดินตรงหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่ทุกคนรู้สึกได้ว่าด้านล่างมีการสั่นสะเทือนส่งมารางๆ

ตอนแรกยังเบาบาง แต่หลังจากนั้นชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นรุนแรงถึงขีดสุด ทำให้โลกทั้งใบกำลังสั่นไหว

การสั่นสะเทือนไม่ได้มาจากมิติชั้นนี้ แต่มาจากชั้นล่าง

เยี่ยนจ้าวเกอแบมือ “มิติต่างแดนนี้มีความแข็งแกร่งเหนือธรรมดา แข็งแกร่งยิ่งกว่าโลกที่มันสร้างขึ้นมา”

“สามารถก่อให้เกิดความรุนแรงขนาดนี้ในนี้ได้ อย่างน้อยต้องเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนแน่ บางทีฝ่ายหนึ่งอาจจะป็นผู้อาวุโสของแม่นางฟู่ท่าน มาเร็วตามที่ท่านว่าไว้จริงๆ แต่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ข้ายากจะพูดแล้ว”

เขาก้มหน้าสัมผัสอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ก็ไม่อาจตัดสินได้ว่าใครแพ้ใครชนะ แต่ว่าดูจากการสั่นไหวของพลังในตอนนี้ เหมือนกับจะมีพลังเท่ากัน”

เยี่ยนจ้าวเกอเงยศีรษะ ชี้ไปยังด้านหน้า “ข้าเตรียมจะฉวยโอกาสนี้ไปชั้นบน ไม่ทราบว่าแม่นางฟู่คิดอย่างไร”

ฟู่ถิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นก็ยิ้มขึ้น ปรากฏความเจ้าเล่ห์อยู่หลายส่วน “ความเห็นตรงกัน”

พูดจบ บนร่างของนางก็มีแสงสีทองสาดออกมา กลายเป็นแงาแสงหงส์เพลิง กางปีกสองข้าง ม้วนนางกับจอมยุทธ์เขาอัศจรรย์รอบๆ ก่อนจะหันหน้าบินออกไปไกล

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็แยกเขี้ยวขึ้น ไล่ตามไปพร้อมกับพวกเฟิงอวิ๋นเซิง

ขณะมองเงาแสงหงส์เพลิงสีทองตัวนั้น พวกเฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ และเสี่ยวอ้ายต่างสับสน “นางฝึกฝนจิตจริงแท้ของหงส์เพลิงด้วยหรือนี่”

แม้ว่าจะแตกต่างกับหงส์เพลิงซึ่งเป็นวิชาของประมุขทักษิณ ทว่าหงส์เพลิงสีทองนั่นก็มีจิตจริงแท้ของหงส์เพลิงเช่นกัน

สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจยิ่งกว่าก็คือ ด้านหลังของหงส์เพลิงสีทองตัวนี้เหมือนจะมีห้าจริยะอยู่ด้วย แสดงสภาวะอันน่าหวาดหวั่น ราวกับจะแบ่งแยกฟ้าดิน แผดเผาทุกอย่างให้พินาศอยู่หลายส่วน

“นั่นไม่ใช่วรยุทธ์ที่นางฝึกฝน แต่เป็นผลจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งบนร่าง” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง “น่าจะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางชิ้นหนึ่ง มีพลังป้องกันน่าทึ่งยิ่ง พูดถึงแค่พลังป้องกันเพียงอย่างเดียว ก็เหนือกว่าเกราะทองบรรพตกับเสื้อคลุมยันต์เซียนแล้ว”

ตอนนี้ฟู่ถิงยังไม่ใช่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง จึงไม่อาจกระตุ้นเสื้อขนหงส์เพลิงได้ทั้งหมด

ถ้าหากนางเลื่อนเป็นขั้นเทวะสำแดง และฝึกฝนร่างไร้ประมาณสสารกำเนิดและร่างกาลอวกาศจุดกำเนิดสำเร็จพร้อมกัน เมื่อกระตุ้นเสื้อขนหงส์เพลิงด้วยพลังทั้งหมดอีกครั้ง ไปพร้อมกับสองกำเนิดรวมเป็นหนึ่ง ห้าจริยะอยู่ครบครัน แค่เพียงป้องกันไม่จู่โจม พลังป้องกันจะอยู่ในขั้นน่าตระหนกยิ่ง

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ขั้นสะพานเซียนระยะต้นส่วนใหญ่ ล้วนไม่อาจทำลายการป้องกันของนางได้

เยี่ยนจ้าวเกอมีตราประทับตะวัน แต่ถ้าเขาในปัจจุบันกระตุ้นของวิเศษชิ้นนี้ จะมีอานุภาพแตกต่างกับการกระตุ้นมันหลังจากเขาเลื่อนเป็นขั้นเทวะสำแดงโดยสิ้นเชิง

“มิน่าเล่า แม้รู้ว่าพวกเรามีตราประทับตะวันและมงกุฎจันทราอยู่ในมือ นางก็ยังมั่นใจถึงขนาดนั้น” อาหู่เกาศีรษะของตัวเอง “จักรพรรดิแพรยอดเยี่ยมยิ่งนัก ประมุขทักษิณใช้ความพยายามมากมายยังรวมจิตจริงแท้ของห้าจริยะไม่ได้ แต่เขากลับรวมได้ครบแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “ยังไม่ครบ เพียงแค่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้สามารถสร้างภาพที่มีห้าจริยะอยู่ด้วยกันได้เท่านั้น น่าจะเป็นเพราะในตอนที่หลอมสิ่งนี้ขึ้นมา ได้ใส่เลือดบริสุทธิ์ของหงส์เพลิงเข้าไป จิตจริงแท้จึงรวมเป็นหนึ่งกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้น เป็นผลให้กระตุ้นได้ แต่คิดจะทำความเข้าใจและจัดระเบียบ กลับเป็นไปไม่ได้”

“นี่โชคดีที่ห้ากำเนิดกับห้าจริยะเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจักรพรรดิแพรก็ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้ ถ้ามอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นนี้ให้แก่ประมุขทักษิณ ให้เขาศึกษาแยกส่วน อย่างมากก็มีแต่หนึ่งเกล็ดครึ่งกรงเล็บ[1] เหมือนเอาน้ำแก้วหนึ่งไปดับรถติดไฟเท่านั้น”

ชายหนุ่มว่า “เรื่องนี้ประมุขทักษิณเองก็ทราบดี ไม่เช่นนั้นคงวางแผนช่วงชิงตั้งแต่ต้นแล้ว”

ขณะที่พูด ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอก็สว่างวาบขึ้น

ไกลออกไป หอคอยวิเศษที่สูงขึ้นอีกชั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว

………………..

[1] หนึ่งเกล็ดครึ่งกรงเล็บ หมายถึง ทุกสิ่งกระจัดกระจาย