ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 822 เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยังเข้าฌานอยู่ในวังฝูงมังกร ความเร็วของเยี่ยนจ้าวเกอจึงไม่ได้เพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุด

ฟู่ถิงกับลูกศิษย์เขาอัศจรรย์ไปถึงหอคอยสูงนั่นก่อนก้าวหนึ่ง

นางหันกลับมามอง เห็นพวกเยี่ยนจ้าวเกอตามมาติดๆ เข้าใกล้หอคอยวิเศษแล้ว

‘ความเร็วของท่าร่างก็สูงมากเช่นกัน’ ฟู่ถิงพูดในใจ นางไม่ลังเล ปีนขึ้นไปบนยอดหอคอยพร้อมศิษย์ในสำนัก หายไปในเสาปราณสีม่วง

พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่หยุดฝีเท้าเช่นกัน พุ่งเข้าไปในเสาปราณสีม่วงพร้อมกัน จากนั้นเสาปราณก็พาพวกเขาขึ้นไปบนหมู่เมฆ

ด้านในเมฆสีม่วงมีประตูแสงบานหนึ่งเหมือนกับชั้นก่อนหน้านี้

พวกเยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปในประตูแสง ทัศนียภาพเบื้องหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลง

ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ แม้จะเพิ่งเข้ามาในชั้นใหม่ แต่กลับมีคลื่นปราณที่รุนแรงพุ่งมาในทันที

กระแสคลื่นบ้าคลั่งจนพัดจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในขั้นเทวะสำแดงหลายคนปลิวได้

ดีที่เยี่ยนจ้าวเกอเตรียมตัวไว้ก่อน ตั้งหีบกระบี่โลหะสีดำบริสุทธิ์หีบหนึ่งไว้ด้านหน้า

หีบกระบี่กลืนฟ้ากับเตากลืนดินที่รวมกันแล้ว ตอนนี้มันเหมือนกับหลุมดำ ดูดคลื่นคลั่งที่พุ่งมาหาพวกเยี่ยนจ้าวเกอจนหมดสิ้น

พวกเยี่ยนจ้าวเกอแบกหีบกลืนฟ้ากลืนดิน พร้อมกับมุ่งหน้าต่อ

เมื่อทอดตามองไกล เห็นแสงสีทองแถบหนึ่งส่ายไปมาในคลื่นลม ทว่าก็ยังคงเคลื่อนที่ไปด้านหน้าได้อย่างมั่นคง

“หีบกลืนฟ้ากลืนดินของท่านยังไม่ได้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ถูกจัดเป็นอาวุธวิญญาณ เป็นของวิเศษที่ใช้สำหรับดูแลกระบี่ปีศาจเทาเที่ย” เฟิงอวิ๋นเซิงทอดถอนใจ “อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของแม่นางฟู่ที่สะท้อนจิตจริงแท้ของหงส์เพลิง และจิตจริงแท้แห่งห้าจริยะ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งที่สุดกระมัง”

เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งเดิน ทางหนึ่งกล่าว “อืม อย่างน้อยในหมู่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางที่ข้าเคยได้เห็นและเคยได้ยิน เรียกได้ว่ามีพลังป้องกันเป็นอันดับหนึ่ง อยู่ในระดับสูงสุด”

“เกราะฟ้าดินที่คังฮูหยินมอบให้คังจิ่นหยวนเพื่อปกป้องชีวิต กับเสื้อสานเงาลวงของฉีเหว่ย ยังมีเสื้อคลุมยันต์เซียน เกราะทองบรรพต รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ในมือข้า ต่างเทียบกับของฟู่ถิงไม่ได้”

อาหู่กลืนน้ำลายเอื๊อก “คุณชาย ข้าจำได้ว่าท่านเคยพูดถึงฉายาของฟู่ถิง…”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “ถูกต้อง ‘บัวแดงสูงส่ง’ ทางหนึ่งเป็นการชมเชยว่าฟู่ถิงเป็นสตรีอัจฉริยะ รูปโฉมโดดเด่น พรสวรรค์เป็นเลิศ”

“อีกทางด้านหนึ่งคือ ‘ภัยพิบัติบัวแดง’ สมบัติล้ำค่าของนาง มีพลังทำลายล้างน่ากลัวยิ่ง”

ฟู่ถิงมีชื่อเสียงในโลกซ้อนโลก นางเดินสู่จุดสูงสุด ขึ้นชื่อในเรื่องการโจมตีที่ดุดัน แต่ไม่ได้ถนัดการป้องกัน

แม้ว่าการป้องกันของนางจะเรียกได้ว่าอยู่ในระดับสูงของ ในบรรดายอดฝีมือระดับเดียวกัน แต่นางจำเป็นต้องตั้งใจป้องกันน้อยครั้งนัก

อาหู่ตะลึง “ยังไม่พูดถึงพลังฝึกปรือของตัวเอง แค่ของวิเศษเพียงอย่างเดียว ด้านป้องกันมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง ด้านโจมตีมีภัยพิบัติบัวแดง สตรีนางนี้ไม่ว่าจะป้องกันหรือโจมตีล้วนแข็งแกร่ง แทบจะไร้จุดอ่อน”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม เอ่ย “ดังนั้นนางถึงมีชื่อเสียงและแข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้”

ชายร่างกำยำพลันหัวเราะแหะๆ “คุณชายท่านยกย่องนางถึงเพียงนี้ ความจริงเป็นเพราะเพื่อยกระดับตัวเองกระมัง”

“เมื่อครู่เป็นคุณชายท่านชนะ นอกจากนี้ท่านยังไม่ได้ใช้วรยุทธ์ที่ท่านถนัดด้วย”

เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง กล่าวอย่างจริงจัง “อาหู่ เจ้าเปลี่ยนไป”

อาหู่ประหลาดใจเหลือประมาณ “คุณชาย พูดอะไรของท่าน”

ชายหนุ่มกล่าวอย่างปวดใจ “ถึงแม้ว่าทักษะประจบประแจงก่อนหน้านี้ของเจ้าจะมีไม่มาก มักแสดงอารมณ์เกินจริง น้ำเสียงแข็งกระด้าง แต่ว่าตอนนั้นอย่างน้อยเจ้าก็ยังมีความพยายาม

“เหมือนกับเมื่อครู่ ถ้าเป็นเจ้าเมื่อก่อนจะต้องสร้างสะพานให้กับคุณชายของเจ้าทันที”

“ตอนนี้เจ้ากลับเลียนแบบอวิ๋นเซิง รื้อเวทีของข้าทิ้ง!”

อาหู่หดคอ ยิ้มแฉ่ง “อะไรกัน คุณชาย ข้าผิดไปแล้ว ครั้งหน้าข้าจะระวัง”

“ไม่มีครั้งหน้าแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง “ตั้งแต่นี้ไป เบี้ยเลี้ยงของเจ้าลดลงครึ่งหนึ่ง!”

อาหู่พลันฟูมฟาย “คุณชายอย่านะขอรับ เทพจอมยุทธ์วีรบุรุษตลอดกาลอย่างท่านทั้งสูงส่ง ทั้งใจกว้าง ใจดีมีเมตตา คงจะไม่ใส่ใจความเห็นทั่วไปของข้ากระมัง”

เฟิงอวิ๋นเซิงกับเสี่ยวอ้ายมองเยี่ยนจ้าวเกอเถียงกับอาหู่อยู่ด้านข้างอย่างขบขัน

ความจริงสถานการณ์พิเศษในชั้นนี้ทำให้ทุกคนทราบแล้ว ว่าที่นี่ไม่ธรรมดายิ่ง

แตกต่างกับชั้นก่อนๆ

เป็นไปได้ว่าพวกเขามาถึงชั้นบนสุดของมิติต่างแดนแห่งนี้แล้ว

ด้านล่างมียอดฝีมือระดับสูงสุดซึ่งมีพลังฝึกปรือสูงล้ำสู้กัน ส่วนด้านหน้ามีพวกฟู่ถิงขวางอยู่

เยี่ยนจ้าวเกอแม้จะเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อแข่งกับเวลา ทว่าจิตใจปลอดโปร่งยิ่ง ไม่มีความกลัวและความกระวนกระวายแม้แต่น้อย

เขาเงยหน้ามองไกล ยิ่งรุดไปด้านหน้าเท่าไร คลื่นปราณที่บ้าคลั่งก็ยิ่งอ่อนแอลง ทว่าทัศนวิสัยที่สามารถมองเห็นได้ก็ยิ่งลดต่ำลงเช่นกัน ในอากาศเริ่มปรากฏหมอกบางๆ สีม่วงอ่อนขึ้น

กลิ่นโอสถยิ่งมายิ่งเข้มข้น ด้านข้างหูมีเสียงขับขานของเหล่าเซียนดังมา ทำให้คนเกิดความสำราญใจ

เยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ มั่นใจขึ้นขณะมองเหตุการณ์นี้ ‘เป็นเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับจริงๆ ด้วย!

‘คิดไม่ถึงเลยว่าจะอยู่ที่นี่จริงๆ…’

สิ่งที่อยู่ในวังเทพเมื่อครั้งอดีต ก็คือเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ หนึ่งในของวิเศษ และมันก็อยู่ด้านในมิติต่างแดนแห่งนี้ อยู่ในฟ้าดินชั้นนี้

หลังจากพวกเยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ หมอกเมฆสีม่วงตรงหน้าก็ยิ่งมายิ่งหนาตัว

จนท้ายที่สุด พวกมันจับตัวกันจนเหมือนจับต้องได้ ทำให้คนเกิดความรู้สึกเหมือนติดอยู่ในบึง

แม้แต่แรงดึงดูดอันกล้าแข็งของหีบกระบี่กลืนฟ้ากลืนดิน เมื่อเผชิญกับเมฆหมอกสีม่วงนี้ ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากนัก ไม่อาจกลืนกินหรือดูดซับมันได้

แม้ว่าแรงดึงดูดอันน่ากลัวที่เหมือนกับกลืนฟ้ากลืนดินได้นั้นจะยังคงอยู่ ทว่าเมฆหมอกสีม่วงตรงหน้ากลับไม่ขยับ เหมือนกับอยู่ในโลกและมิติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าแปรเปลี่ยน เก็บหีบกลืนฟ้ากลืนดิน

จากนั้นวังฝูงมังกรก็ปรากฏ

ครั้นสัมผัสได้ถึงเมฆหมอกสีม่วงนี้ วังฝูงมังกรก็พลันสั่นสะเทือน

คาน เสาค้ำ และประตูของวัง ในตอนนี้ปล่อยแสงเจ็ดสีที่ลี้ลับยากหยั่งคาดออกมา

พวกเยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าอย่างต่อเนื่อง ตามการส่องสว่างนำทางของแสงเจ็ดสี

เมฆหมอกสีม่วงตรงหน้าค่อยๆ สลาย แต่ก็จำกัดอยู่ที่บริเวณรอบๆ ตัวพวกเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น

ขณะที่เคลื่อนไหว เยี่ยนจ้าวเกอสามารถมองเห็นพวกฟู่ถิงได้แล้ว

เนื่องจากติดขัดเพราะเมฆหมอกสีม่วง ตอนนี้แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะออกตัวทีหลัง แต่ก็มาถึงเร็วยิ่งกว่านาง

เพราะการครอบคลุมของแสงสว่างเจ็ดสี และการบดบังของเมฆหมอกสีม่วง ทำให้ฟู่ถิงกับจอมยุทธ์เขาอัศจรรย์ที่เหลือมองสถานการณ์จริงไม่ออก

ทว่าคนที่พวกเขานึกถึงเป็นอันดับแรก ก็คือเยี่ยนจ้าวเกอ

ฟู่ถิงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ว่าในตอนนี้กลับไม่มีเวลามาเปลืองถ้อยคำ มีเพียงแต่ต้องรวบรวมสมาธิทั้งหมด คิดหาวิธีฝ่าการขัดขวางจากเมฆหมอกสีม่วงตรงหน้า

วังฝูงมังกรเปิดทาง พวกเยี่ยนจ้าวเกอฝ่าไปด้านหน้าในคราวเดียว

ทว่าจู่ๆ ความว่างเปล่าก็ราวกับเปลี่ยนเป็นไรจุดสิ้นสุด ยากสัมผัสการไหลของเวลา

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองไป กลับเห็นการสั่นสะเทือนของวังฝูงมังกรยิ่งมายิ่งรุนแรง

นี่ได้อธิบายว่าเป้าหมายอยู่ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ท้ายที่สุด ด้านในเมฆหมอกสีม่วงตรงหน้าก็ปรากฏแสงสีทองหลายสาย

แรงกดดันตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอพลันเบาบางลง ทะลุทะเลเมฆสีม่วงออกไปพร้อมวังฝูงมังกร

สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาของเขาในตอนนี้ ก็คือเตาโอสสามขาที่ทำจากทองคำม่วง มีเมฆหมอกลอยวน

เตาโอสถเหมือนกับใหญ่ยักษ์ไร้ขอบเขต กินพื้นที่รอบๆ แต่ก็เหมือนเล็กจิ๋ว มองไปเหมือนเถ้าธุลี

จุดที่เยี่ยนจ้าวเกอทะลวงทะเลเมฆออกมา อยู่ด้านบนเตาโอสถ

เขาก้มมอง กลับเกิดความรู้สึกเหมือนเงยมอง ราวกับเตาโอสถอยู่ในที่ที่สูงกว่า

จุดที่ขัดกับความคิดมากมายเหล่านี้ ต่างปรากฏขึ้นบนเตาโอสถตรงหน้า

เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจลึก “…เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ!”

………………..