ตอนที่ 1008 ลูกสาวของคนเป็นโรคประสาท + ตอนที่ 1009 เหอปี้อวิ๋นออกมาแล้ว โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 1008 ลูกสาวของคนเป็นโรคประสาท
อู่เยวี่ยเองก็สัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดที่มองมาจากเพื่อนรอบข้าง ตอนนี้เธอไม่สนใจเรื่องคะแนนแต่เรื่องโรคประสาทกลับเป็นจุดอ่อนของเธอ สามปีแล้วที่เธอสลัดข้อสงสัยของคำว่า ‘โรคประสาท’ ได้ แต่ตอนนี้–
“เธอพูดเหลวไหล แม่ของฉันไม่ได้เป็นโรคประสาท จ้าวเหมยเธอจงใจกุข่าวลือ…”
อู่เยวี่ยพยายามแก้ตัวให้ตัวเองเสียงดัง เธอจะให้เพื่อนรู้ไม่ได้ว่าแม่ของเธออยู่โรงพยาบาลประสาท ณ เวลานี้เธอเริ่มเสียใจที่ลืมเรื่องของเหอปี้อวิ๋นที่ถูกขังอยู่ในโรงพยาบาลประสาทไปชั่วขณะ
เหมยเหมยแค่นหัวเราะเสียงเย็นพลางพูดประชด “ถ้าแม่ของเธอไม่ได้เป็นโรคประสาทแล้วทำไมโรงพยาบาลประสาทต้องขังแม่เธอไว้ด้วย? หรือว่าโรงพยาบาลประสาทมีเสบียงเยอะจนกินไม่หมดเลยตั้งใจจับแม่เธอไปช่วยพวกเขากินงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ แม่ของฉันอยู่ที่บ้านดี ๆ ไปโรงพยาบาลประสาทตั้งแต่เมื่อไหร่? จ้าวเหมยเธอโกหก!” อู่เยวี่ยปากแข็ง
เหมยเหมยยักไหล่ “แม่เธอกล้าฆ่าแม้กระทั่งพ่อของเธอแล้วจะไม่เป็นโรคประสาทได้ยังไง? เรื่องนี้คนอีจงรู้กันทั้งนั้น อู่เยวี่ยเธออย่าหลอกตัวเองไปหน่อยเลย!”
มีนักเรียนบางคนที่เป็นลูกของคุณครูที่โรงเรียนอีจงซึ่งคนเหล่านั้นต่างรู้จักอู่เยวี่ยกับเหมยเหมย หลังฟังคำของเหมยเหมยมีเพื่อนบางคนที่สีหน้าแปลกไป!
เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านตระกูลอู่เมื่อห้าปีก่อนบอกเลยว่าเลื่องลือแพร่สะพัดจนรู้กันทั้งโรงเรียน พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร!
นักเรียนคนอื่น ๆ ก็เริ่มมาถามจากพวกเขา พอได้คำตอบสายตาที่มองอู่เยวี่ยก็แฝงด้วยความดูถูกยิ่งกว่าเดิม
ที่แท้ก็ลูกสาวคนเป็นโรคประสาทสินะ มิน่าถึงดูไม่ค่อยปกติ!
เหยียนหมิงต๋ารีบเร่งมา พอเขาเห็นอู่เยวี่ยที่ถูกผู้คนห้อมล้อมอยู่ตรงกลางดูเหมือนจะถูกรังแกก็พุ่งตัวเข้ามาโดยไม่ต้องคิด
สามปีนี้อู่เยวี่ยไม่ได้ตัดขาดกับเขาอย่างเด็ดขาด แม้ไม่ค่อยพอใจกับภูมิหลังครอบครัวของเหยียนหมิงต๋าแต่อู่เยวี่ยไม่ยอมทิ้งตัวสำรองอย่างเหยียนหมิงต๋าไปง่าย ๆ
ดังนั้นสองสามวันทีอู่เยวี่ยก็จะนัดเจอกับเหยียนหมิงต๋า กักคนนี้ไว้เป็นตัวสำรองและให้เขายอมทุ่มให้เธอจนหมดหน้าตัก
เหยียนหมิงต๋าที่พุ่งเข้ามาได้ยินที่เหมยเหมยพูดพอดี สีหน้าตึงขึ้นในทันทีแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “จ้าวเหมยเธอพูดเหลวไหลอะไร ทำไมเธอชอบรังแกเยวี่ยเยวี่ยนัก?”
เหยียนหมิงต๋าในชาตินี้ยังคงเป็นอย่างชาติที่แล้ว ปกป้องอู่เยวี่ยและซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียวไม่เคยวอกแวก
เหมยเหมยเห็นแล้วส่ายศีรษะรัว จะบอกว่าตระกูลเหยียนใช่ว่าจะไม่เคยมีมาตรการเด็ดขาด ถานซูฟางเคยตีเคยดุเคยด่าและเคยตัดเงินค่าขนมของเหยียงหมิงต๋า แต่ก็ห้ามใจที่ร้อนรุ่มของเหยียนหมิงต๋าที่มีต่ออู่เยวี่ยไม่ได้
“เหยียนหมิงต๋านายเบิกตาดูให้ดีว่าใครกำลังสร้างปัญหา? อู่เยวี่ยสุดที่รักของนายมาท้าทายฉัน ฉันกำลังปกป้องตัวเองอยู่!”
เหมยเหมยว่าอย่างไม่เกรงใจ อนาคตถ้าเธอแต่งงานกับเหยียนหมิงซุ่นก็เท่ากับว่าเป็นพี่สะใภ้ของเหยียนหมิงต๋า มีอะไรให้ต้องเกรงใจ?
สั่งสอนน้องชายสามีเป็นเรื่องปกติ!
เหยียนหมิงต๋าไม่คุ้นชินกับเหมยเหมยที่แข็งกร้าวขึ้นมาก ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมาตั้งสามปี ในความทรงจำเขาจ้าวเหมยยังเป็นเด็กสาวที่ไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดัง ใครจะรู้ว่าตอนนี้กล้าตะคอกใส่เขาแล้ว?
“พี่หมิงต๋า…จ้าวเหมยทำให้แม่ของฉันต้องโดนส่งเข้าโรงพยาบาลประสาทแล้วยังจงใจให้พ่อเลี้ยงบังคับให้ฉันลาออกจากโรงเรียน เธอมันใจดำอำมหิตเหลือเกิน!” อู่เยวี่ยฟ้องด้วยเสียงปนสะอื้น
เหยียนหมิงต๋าอารมณ์เดือดพล่านในฉับพลัน มองเหมยเหมยราวกับคนชั่วที่ทำผิดมหันต์มา
“เหยียนหมิงต๋านายช่วยมีสมองหน่อยเถอะ อู่เยวี่ยตดนายก็ยังว่าหอม พวกเธอค่อย ๆ คุยกันไปนะ ฉันไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น!”
เห็นเหยียนหมิงต๋าที่โง่เหมือนหมู เหมยเหมยก็รู้สึกโมโห คร้านจะเปลืองน้ำลายเลยหมุนตัวเดินกลับห้องเรียน
รอพี่หมิงซุ่นกลับมาเธอจะต้องให้พี่หมิงซุ่นสั่งสอนเจ้าหมูโง่เหยียนหมิงต๋าให้ได้!
…………………………
ตอนที่ 1009 เหอปี้อวิ๋นออกมาแล้ว
โรงพยาบาลประสาทของเมืองจินอยู่แถบชานเมืองมีทำเลที่ตั้งค่อนข้างไกลจากตัวเมืองแต่ทิวทัศน์ไม่เลว มีภูเขามีแม่น้ำแต่กลับไม่มีใครอยากไปที่นั่น
หวงอวี้เหลียนลงจากรถเมล์ เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตามากเกินไปเลยลดตัวมานั่งรถเมล์ สำหรับหวงอวี้เหลียนที่ไม่ได้นั่งรถเมล์มาสิบกว่าปีการนั่งรถเมล์เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้นยิ่งกว่าขุมนรก
หวงอวี้เหลียนที่ลงจากรถสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทั้งอากาศร้อนและมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์บนรถเมล์ตลบอบอวลจนเธอเวียนหัวรู้สึกคลื่นไส้
พักอยู่ใต้ต้นไม้พักหนึ่งหวงอวี้เหลียนค่อยสบายตัวขึ้นหน่อย เดินด้วยรองเท้าส้นสูงตรงดิ่งไปทางโรงพยาบาลประสาท
เพราะได้รับคำสั่งเป็นพิเศษจากจ้าวอิงหัวเหอปี้อวิ๋นจึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ถูกขังอยู่ในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัว เหอปี้อวิ๋นที่ผ่านการช็อตไฟฟ้ามานั่งพิงกำแพงเหม่อลอย
สีหน้าเรียบนิ่งสายตาว่างเปล่าดูไม่ต่างจากผู้ป่วยที่เป็นโรคประสาทคนอื่นเท่าไรนัก
เสียงส้นรองเท้าดังกระแทกพื้นเป็นการเตือนเหอปี้อวิ๋น เธอเงยหน้าก็เห็นหวงอวี้เหลียนในชุดสุดหรูพลันสายตาก็เผยความแปลกใจออกมา
แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าหวงอวี้เหลียนเป็นภรรยาของผู้มีตำแหน่งใหญ่โต อีกอย่างเธอไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้!
“เหอปี้อวิ๋น เธอไม่จำเป็นต้องรู้ว่าฉันเป็นใคร เธอแค่รู้ไว้ว่าฉันกับเธอมีศัตรูเป็นคนคนเดียวกันก็พอ…”
……
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นหวงอวี้เหลียนออกจากโรงพยาบาลประสาทพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากอย่างได้ใจ
ทุกอย่างอยู่ในกำมือของเธอ!
สามวันหลังจากนั้นเหอปี้อวิ๋นออกจากโรงพยาบาลประสาทอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีใครรู้รวมถึงจ้าวอิงหัว
เหอปี้อวิ๋นไม่ได้ไปที่แผงขายปลาอีก ผู้ดูแลตลาดบอกชัดเจนแล้วว่าห้ามเธอย่ำเข้าเขตตลาดอีกแม้แต่ก้าวเดียว สามีของเธอจะกล้าขัดคำสั่งได้อย่างไร จำเป็นต้องให้ลูกชายตัวเองไปช่วย แม้แต่อู่เยวี่ยเองก็ไม่กล้าเรียกใช้งาน
ส่วนเหอปี้อวิ๋นเขายิ่งไม่กล้าเรียกใช้งานเพราะเขาเองก็กลัวตายนะ!
ใครกล้าไปยั่วยุคนบ้ากัน?
ผู้ชายคนนี้ถึงขั้นคิดไว้แล้วว่าจะหย่า เหอปี้อวิ๋นทำงานไม่ได้อีกแล้ว ส่วนค่าสินสอดของอู่เยวี่ยยังไม่เห็นวี่แววจะได้ ไม่มีผลประโยชน์ให้ตักตวงแล้วเขาจะเลี้ยงตัวไร้ประโยชน์สองคนนี้ไว้ทำไม?
ชายคนนี้ปรึกษาเรื่องนี้กับลูกชายซึ่งลูกชายเขาเองก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร วันๆ ทำงานเหนื่อยแทบตายจนอยากให้พ่อตัวเองรีบหย่ากับเหอปี้อวิ๋นแล้วหาผู้หญิงที่ทำงานเก่งมาช่วยงานเชื่อว่าที่บ้านย่อมต้องยกสองแขนสนับสนุน
เพียงแต่ชายคนนี้ก็ไม่กล้า อย่ามองแค่ว่าเขาทั้งด่าทั้งตบตีเหอปี้อวิ๋นเพราะความจริงเขาก็แค่คนขี้ขลาด เมื่อกี้ก็เพิ่งถูกหวงอวี้เหลียนตักเตือนมา แม้เขาจะมีความคิดที่จะเปลี่ยนภรรยาแต่ยังไม่กล้ากระดิกตัวในตอนนี้
วันหยุดสุดสัปดาห์แรกหลังเปิดเทอมมาถึง เหมยเหมยเตรียมไปเก็บค่าเช่าบ้านหกหลังที่ถูกคนของเฮ่อเหลียนเช่อแย่งไปเมื่อสามปีก่อน แต่ไม่ถึงปีก็ถูกเหยียนหมิงซุ่นแย่งกลับมาได้
แม้ไม่ใช่บ้านหลังเดิมแต่กลับเป็นกิจการบางส่วนในเมืองจินของเฮ่อเหลียนเช่อ
อย่างเช่นร้านขายของที่เหมยเหมยเตรียมไปเก็บค่าเช่าในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ และตึกอาคารสำนึกงานสองชั้นล้วนเป็นหนึ่งในกิจการเดิมของเฮ่อเหลียนเช่อ
ตอนนี้กลายเป็นของเหมยเหมยแล้ว!
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายจากหานป๋อหย่วน[1] สามปีมานี้หานป๋อหย่วนโทรมาก่อกวนบ่อยครั้งแถมยังมาหาถึงที่บ้าน อย่างไรก็เป็นญาติห่าง ๆ จ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่าไม่อาจปฏิเสธเด็ดขาดได้ จำต้องคอยต้อนรับอย่างให้ความเกรงใจ
เหมยเหมยไม่ได้ให้ความเกรงใจขนาดนั้น หากตอนนั้นหานซู่ฉินไม่รีบร้อนขนาดนั้นเธออาจเห็นแก่ความเป็นญาติห่าง ๆ แล้วทำตัวเกรงอกเกรงใจต่อหานป๋อหย่วนบ้าง
แต่เธอรู้ทันแผนการของหานซู่ฉินไปแล้วจะให้เกรงใจได้อย่างไรอีก?
“เหมยเหมย วันหยุดนี้ว่างมั้ย?” เสียงหานป๋อหย่วนยังฟังดูเรียบร้อยมีมารยาทอย่างเคย
“ไม่ว่าง” เหมยเหมยตอบปัดอย่างเด็ดขาด
หานป๋อหย่วนหุบยิ้มลง ความหงุดหงิดถาโถมเข้ามาในใจ สามปีแล้วแต่จ้าวเหมยยังเย็นชากับเขาดั่งภูเขาน้ำแข็ง ไม่เคยไปดูหนังด้วยกันสักครั้ง เขาใกล้จะจบจากมหาวิทยาลัยและต้องกลับเมืองหลวงแล้ว ทว่ายังไม่เคยจับมือจ้าวเหมยเลยด้วยซ้ำ
ไม่ได้ เขาต้องหาวิธีหุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุกให้ได้ ผู้หญิงต่อให้เย็นชาแค่ไหนขอแค่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายก็ต้องยอมศิโรราบทั้งนั้น
……………………….
[1] นักเขียนมีการเปลี่ยนชื่อจากหานจั่นเผิงเป็นหานป๋อหย่วน