ตอนที่ 2440 ผนึกรัศมีปราณเหนือ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ตอนที่ 2440 ผนึกรัศมีปราณเหนือ

ครึ่งปีต่อมา ซากปรักหักพังใกล้กับแคว้นนภาทักษิณแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก มีชายสวมชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่ที่สุดปลายทางเล็กๆ นั้น เขามองดูกำแพงหินที่อยู่ด้านหน้าอย่างครุ่นคิดโดยที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน

ไม่รู้ว่าซากปรักหักพังเหล่านี้มีมานานขนาดไหนแล้ว เพราะบริเวณนั้นมีต้นหญ้าที่สูงเท่าเอวคนขึ้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง เศษกำแพงบางส่วนก็มีตะไคร่สีเขียวเกาะเป็นชั้น

แต่ชายชุดสีเขียวคนนั้นกลับยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพงสีขาวเทา ด้านบนนั้นเป็นเศษกำแพงผุพัง ที่มีคำสลักว่า “หาน” อยู่บนนั้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ด้านหลังของชายชุดสีเขียวก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น หลังจากนั้น เขาก็เห็นสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินจูงเด็กชายคนหนึ่งเด็กออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ

สามีภรรยาคู่นั้นไม่นับว่ามีอายุมาก น่าจะประมาณสามสิบปีเท่านั้น ผู้ชายมีผิวสีเข้ม มือเท้าใหญ่ ส่วนผู้หญิงดูงดงาม ใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย

สีหน้าของทั้งสองคนเหมือนผ่านความทุกข์ยากของชีวิตมามากมาย ในมือของพวกเขายังถือตะกร้าไม้ไผ่ ด้านในตะกร้านั้นมีพวกเทียนหอมและของอื่นๆ นี่เป็นคู่สามีภรรยาตามชนบทที่สามารถเห็นได้ทั่วไป แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีใครบางคนอยู่ด้านหน้า พวกเขาก็ชะงักไป

ส่วนเด็กผู้ชายคนนั้นอายุประมาณเจ็ดแปดปี หน้าตาน่ารักอย่างมาก ดวงตาดำขลับ ท่าทางสดใส และมองมายังคนแปลกหน้าด้วยสายตาสงสัย

“คือ…คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านคือ…” หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นมีท่าทีลังเลเล็กน้อย เขาก็ยังพาลูกและภรรยาเดินเข้ามา พร้อมถามอย่างติดอ่าง

แม้ว่าจะเห็นแค่ด้านหลัง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องเป็นชายที่มีความรู้ความสามารถแน่นอน พวกเขาที่เป็นคนบ้านนอกย่อมกลัวอีกฝ่ายเป็นธรรมดา

“ไม่มีอะไร ข้าแซ่หาน มาที่นี่เพื่อสักการะศาลบรรพบุรุษเท่านั้น” ชายสวมชุดสีเขียวกล่าวเสียงเรียบ ในที่สุดเขาก็หันหน้ากลับมา หน้าตาของเขาดูธรรมดา แต่รูปร่างหน้าตาก็คล้ายกับสามีของนางอยู่สามส่วน

“คุณชายก็แซ่หานหรือ ดูเหมือนว่าตอนนั้นตระกูลหานก็ออกไปอาศัยที่ต่างถิ่นส่วนหนึ่ง ข้าเคยได้ยินท่านปู่เล่าว่า พันกว่าปีที่แล้วตระกูลหานรุ่งเรืองอย่างมาก มีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยเลย หลายปีมานี้ก็มีคนมาคารวะอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยเห็นตระกูลหานจากที่อื่นมาเลย” ชายหนุ่มอายุสามสิบกว่า กลับไม่ได้มีสีหน้าตกใจ แต่เป็นสีหน้าที่ยินดีมากกว่า

“ใช่แล้ว มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว รุ่นต่อรุ่นหมุนผ่าน เกรงว่าน่าจะลืมแล้วว่าที่นี่คือต้นกำเนิดของตระกูลหาน แล้วจะมาสักการะที่นี่อีกทำไม แต่ว่าพวกท่านไม่เลวเลย คาดไม่ถึงว่าจะยินดีอยู่ที่นี่ ไม่ยอมเดินทางออกไปไหนเลย” ชายสวมชุดสีเขียวพูดขึ้นพร้อมกล่าวชื่นชมคู่สองสามีภรรยา

“หึๆ ได้ยินท่านปู่เล่าว่า ตลอดชีวิตนี้พวกเขาไม่คิดจะไปจากที่นี่เลย เพราะเขาไม่อยากจากไปจากพื้นที่ของตระกูลหานที่เคยรุ่งเรือง อีกทั้งข้าเคยได้ยินมาว่าในตอนนั้นบรรพบุรุษของเราได้ขึ้นไปสู่แดนเซียน หากพวกเราออกจากที่นี่ไป ตอนที่บรรพชนเซียนกลับมา เกรงว่าเขาจะหาลูกหลานของเขาไม่เจอจริงๆ แล้ว นั่นคือความคิดของข้า” เมื่อผู้ชายแซ่หานได้ยินดังนั้น จึงกล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

“บรรพชนเซียน หึๆ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ว่ามันก็ผ่านมาหลายพันปีแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องจริง” ชายสวมชุดสีเขียวกล่าวอย่างไม่ออกความเห็น

“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่เหล่าผู้อาวุโสพูดเช่นนี้ แล้วอีกอย่างเมื่อถึงงานไหว้บรรพบุรุษ ท่านปู่จะหยิบฝักดาบศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวว่าเป็นของบรรพชนเซียนทิ้งไว้ให้ออกมา เมื่อคิดไปแล้วมันก็น่าเชื่อถืออยู่หลายส่วน” ชายแซ่หานพูดแล้วยิ้มออกมา

“ฝักดาบศักดิ์สิทธิ์?” ชายชุดเขียวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ท่าทางดูประหลาดใจ

ในตอนนั้นแมลงกลืนทองได้กลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่ กระบี่นั่นเป็นของที่ถูกจิตวิญญาณสร้างขึ้นมา แต่เมื่อใช้เกินสามครั้งแล้ว มันน่าจะสลายไปแล้ว

แต่หลังจากที่เขาทบทวน เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย

เพราะนั่นไม่ใช่ “ฝักดาบ” ดั้งเดิมของมัน แต่เป็นการเลียนแบบของคนอื่นๆ ในตระกูลหาน

“ใช่แล้ว ข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสพูดว่า ในตอนนั้นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนั้นถูกแขวนไว้ในศาลบรรพบุรุษ มันได้ช่วยตระกูลของเราให้รอดพ้นจากการฆ่าล้างตระกูล แต่น่าเสียดายที่มันใช้ได้แค่ครั้งเดียว กระบี่เล่มนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วหายไปทันที ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ แต่มันไม่มีพลังงานใดๆ อีกต่อไปแล้ว และพวกเราก็เก็บมันเป็นความลับมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ตระกูลของเราก็ถูกโจมตีต่อเนื่อง ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็ต้องแตกกระจายไปตามที่ต่างๆ” ชายแซ่หานรู้สึกถูกชะตากับคนที่อยู่ตรงหน้านี้มาก คาดไม่ถึงว่าเขาจะเล่าเรื่องราวเท่านั้นออกไปโดยไม่รู้ตัว

“เป็นเช่นนี้นี่เอง เรื่องทั้งหมดนี้ข้าไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ตระกูลก็มีรุ่งเรืองและร่วงโรยเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือลูกของเจ้าหรือ? ดูท่าทางเฉลียวฉลาดมาก ชื่ออะไรเล่า?” เมื่อชายสวมชุดเขียวได้ยินดังนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมา พร้อมลืมตาขึ้นแล้วกวาดสายตาไปมองที่ภรรยาและลูกชายของเขา แล้วถามไปส่งๆ

“หึๆ นี่คือลูกชายคนที่สามของข้าชื่อว่าหานหมิง มานี่เร็ว มาสวัสดีท่านลุงหน่อย!” ผู้ชายแซ่หานคำนั้นมีความสุขมากที่ได้ยินคำชมจากอีกฝ่าย จากนั้นก็รีบคว้าตัวของเด็กชายออกมาจากทางด้านหลังทันที

แม้ว่าเด็กคนนั้นจะอายุยังน้อย แต่กลับไม่กลัวคน เขาคุกเข่าลงพื้นเสียงดัง “ตึงๆ” หลังจากเรียกว่า “ท่านลุง” แล้ว เขาจะลุกขึ้นมายืนใหม่อีกครั้ง

“ดี เป็นเด็กที่ไม่เลวเลย ในเมื่อข้าได้มาเจอกับเด็กคนนี้ นับว่าเป็นคนที่โชคชะตาลิขิต เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้ามีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้ หากเจ้าเป็นคนที่โชคดีจริงๆ ไม่แน่ว่าโอกาสที่ยิ่งใหญ่อาจจะรอเจ้าอยู่ หากไม่มีล่ะก็ มันก็สามารถทำให้เจ้าอายุยืนเป็นร้อยปี” เพียงครู่เดียวชายสวมชุดคลุมสีเขียวคนนี้ก็สามารถมองเห็นได้ว่าเด็กชายคนนี้มีรากปราณในตัว แม้ว่าจะเป็นเพียงรากปราณธรรมดา แต่ก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนพูดคำพูดนั้นออกมา

จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือออกมา กลางฝ่ามือของเขามีป้ายหยกปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็ใช้สร้อยสีแดงร้อยเข้ากับป้ายหยกแผ่นนั้น แล้วสวมเข้าที่คอของเด็กผู้ชายคนนั้น

จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น!

ทันใดนั้นป้ายหยกแผ่นนี้ก็ส่องแสงสว่างสีขาวขึ้นมา หลังจากที่มันพร่าเลือนแล้ว ทันใดนั้นสร้อยสีแดงเส้นนั้นก็หายไป พร้อมกับชายหนุ่มคนนั้น

เมื่อสองสามีภรรยาแซ่หานเห็นดังนั้นก็รู้สึกตกใจอย่างมาก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา กลับไม่พบใครอยู่ตรงนั้นแล้ว

“ให้ตายเถอะ หรือว่าเราจะเจอผีกลางวันแสกๆ!”

ไม่เพียงผู้ชายแซ่หานเท่านั้นที่อ้าปากกว้างตาค้างอย่างตกใจ ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างของเขาก็ร้องออกมาอย่างตกใจ

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เรื่องราวที่ได้เผชิญหน้ากับผีแซ่หานก็กระจายไปอย่างรวดเร็วในหมู่บ้านกลางหุบเขาเล็กๆ ถือว่าได้เพิ่มเรื่องเล่าที่ยอดเยี่ยมให้กับพวกที่ปากยื่นปากยาวในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนต่อจากนั้น ก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้อีกแล้ว

แต่ไม่มีใครเล่าว่า หลังจากนั้นหลายเดือน เด็กชายที่ชื่อว่าหานหมิงหนีออกจากบ้านทันทีหลังจากที่ได้รู้ความลับของป้ายหยกแผ่นนั้น และด้วยพลังของป้ายหยกนั้น เขาสามารถกราบผู้อาวุโสระดับก่อกำเนิดของพรรคเมฆคล้อยเป็นอาจารย์ได้ และในที่สุดเขาก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมหาเมธีที่มีชื่อเสียง จนทำให้ตระกูลหานกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง

หลังจากนั้นหลายพันปี ด้านนอกของหุบเขามารโรยที่เคยคึกคัก แต่เนื่องจากของวิเศษและโอสถวิญญาณถูกหยิบไปจนเกลี้ยงแล้ว ตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า จึงไม่มีใครอยากมาเข้ามาที่อีกต่อไป

แต่ในวันนี้ กลับมีเงาสีเขียวที่เมินเฉยต่อความอันตรายและเขตต้องห้ามทั้งหลาย เขาทะลวงเข้าไปด้านในทันที

ครึ่งวันหลังจากนั้น ทันใดนั้นที่หุบเขามารโรยก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนทำให้พื้นดินด้านนอกหุบเขาสั่นสะเทือนไปด้วย ทันใดนั้นสายรุ้งสีเขียวก็แหวกอากาสออกมาด้วยความเร็ว ชั่วพริบตาเดียวเขาก็หายไปในกลีบเมฆอย่างไร้ร่องรอย

การสะเทือนครั้งนี้ ทำให้สำนักน้อยใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงตกใจไปด้วย เขาจึงส่งศิษย์ออกมาตรวจสอบทันที

และเมื่อเห็นว่ายอดเขาที่กั้นระหว่างหุบเขามารโรยด้านในและด้านนอก หายไปอย่างไร้ร่องรอย

พื้นที่เดิมของมันก็เหลือเพียงหลุมขนาดใหญ่เท่านั้น ด้านในนั้นก็มีเส้นไหมสีขาวเงินพ่นออกมา

“รัศมีปราณเหนือ”

ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนที่เห็นดังนั้น ก็เรียกชื่อมันออกมาทันที แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตื่นเต้นดีใจ รีบเข้าไปในหลุมยักษ์นั้นทันที เพื่อจะเก็บรัศมีปราณเหนือออกมา

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ แม้ว่าคนเหล่านี้จะค้นหาหลายร้อยรอบ แต่ก็เจอผนึกรัศมีปราณเหนือแค่สิบกว่าก้อนเท่านั้น ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งระหว่างสำนักได้

คนที่ทำเรื่องนี้คือหานลี่ที่เพิ่งออกมาจากแคว้นเยว่ เมืองจิ้งโจว

เขาแอบนำผนึกรัศมีปราณเหนือออกมาจากหุบเขามารโรยทั้งหมด

จนตอนนี้ที่แดนมนุษย์ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว จากนั้นเขาก็หาถ้ำลึกลับแห่งหนึ่งที่บริเวณใกล้เคียง ทันใดนั้นเขาก็สร้างวงแหวนอันหนึ่งที่ดูซับซ้อนและแปลกตาขึ้นมา

เนื่องจากครั้งที่นี้ที่เข้าจะกลับแดนวิญญาณ เขาต้องนำผนึกรัศมีปราณเหนือกลับไปด้วย ดังนั้นจึงยากกว่าตอนที่เขาลงมาที่แดนเบื้องล่างเล็กน้อย

หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม ในที่สุดวงแหวนแห่งนั้นก็สร้างสำเร็จ

หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางวงแหวนทันที สองมือยกขึ้นมาร่ายคาถา

กระดานห้าสีขนาดใหญ่ได้กลายเป็นดวงจันทร์เต็มดวง จากนั้นก็บินออกจากร่างกายของเขาทันที

วงแหวนนั้นส่งเสียงดังขึ้น ลำแสงวิญญาณก็สว่างวาบออกมาอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งเข้าไปในตัวของหานลี่

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นที่กลางป่าฝั่งตะวันออกลำแสงสีขาวขุ่นที่ดูแปลกตาก็พุ่งทะลุขึ้นท้องฟ้า ความสูงของมันทะลุเกินหมื่นจั้ง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในขณะเดียว หานลี่ที่นั่งอยู่กลางวงแหวน หลังจากที่แสงสีเขียวสาดมาที่ตัวของเขาแล้ว ร่างของเขาก็กลับไปเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีน้ำเงิน ทันใดนั้นร่างของเขาก็อ่อนแรง พร้อมล้มลงไปที่กลางวงแหวนอย่างไร้เสียง

ทะเลไร้ขอบเขต แดนวิญญาณ ภายในห้องลับตำหนักชิงหยวน หานลี่ที่ปิดด่านฝึกมาตลอด ก็ลืมตาขึ้น ทันใดนั้นบนเบาะด้านหน้าของเขาก็มีสร้อยข้อมือมิติสีเหลืองอ่อนปรากฏขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

หานลี่มองของสิ่งนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

เมื่อมีผนึกรัศมีปราณเหนือพวกนี้แล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถหลอมภูเขารวมปราณห้าขั้นอย่างที่ตั้งใจมาตลอดสำเร็จแล้ว เมื่อรวมโอสถวิญญาณแท้เม็ดนั้น ตอนนี้มั่นใจได้เลยว่าเขามีความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถผ่านไปยังแดนเซียนได้

แน่นอนว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เขายังต้องฝึกเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณให้ถึงขั้นสาม นอกจากนี้ยังต้องใช้ตัวช่วยจากดอกบัวก่วงหลิง และฝึกวิชารวมห้าวรยุทธ์ลึกลับอีกด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็มั่นใจเรื่องการขึ้นแดนเซียนไม่น้อยเลย

หานลี่คิดในใจอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นดีใจได้