ตอนที่ 2441 เคราะห์สวรรค์

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ตอนที่ 2441 เคราะห์สวรรค์

เวลาแปดพันปี สำหรับคนธรรมดาเกรงว่าเขาจะไม่มีอายุขัยอยู่ได้นานขนาดนั้น แต่สำหรับวิญญาณแท้บรรพกาลที่หลับตื่นหนึ่งก็ผ่านไปเป็นพันปีนั้น มันก็แค่การหลับลึกเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับเวลาของโลกนี้ มันแค่พริบตาเดียวเท่านั้น

วันหนึ่งหลังจากแปดพันปีต่อมา ชนเผ่าน้อยใหญ่ที่อยู่ในแผ่นดินเฟิงหยวนได้กลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด คนธรรมดาบ้างก็วิ่งออกมาด้านนอก บ้างก็รวมตัวกันอยู่ที่โรงน้ำชา แต่ใบหน้าของเขากลับพูดคุยกันอย่างมีความสุข

ตามตรอกซอยเล็กใหญ่ เห็นได้ชัดว่ามีทหารแบกอาวุธเดินไปเดินมา กลางอากาศก็มีผู้บำเพ็ญเพียรลาดตระเวนไปมาอยู่เรื่อยๆ

ในป้อมปราการยักษ์ขนาดใหญ่ที่เผ่ามนุษย์เป็นคนยึดครอง ก็เปิดเขตต้องห้ามทุกรูปแบบ ในขณะเดียวกันกลางอากาศก็มีเรือเหาะติดอาวุธผ่านไปผ่านมา ด้านบนก็เต็มไปด้วยทหารสวมชุดเกราะ การระวังภัยระดับสูงสุด ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าหวาดกลัว

ยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง ที่ห่างไกลจากตัวเมืองหลายหมื่นลี้ มีมหาเมธีสามคนที่สวมชุดแตกต่างกันไปนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากัน บนแท่นหินขนาดใหญ่

ชายคนหนึ่งดื่มสุราเข้าไปอึกใหญ่ ผิวหนังของเขาเป็นอสูรห้าสีที่ดุร้าย ส่วนอีกหนึ่งก็คือเด็กหนุ่มสวมชุดสีขาว ใบหน้าขาวซีดผิดปกติ ส่วนคนสุดท้ายคือชายชราที่นั่งหลับตาอยู่ เขาสวมชุดสีเขียว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น

“องค์เทพปี้ นับเวลาดูแล้ว น่าจะได้เวลาแล้วล่ะมั้ง” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว ชายฉกรรจ์คนแรกที่ท่าทางดุร้ายก็ถามขึ้น

“หากจะผ่านด่านสวรรค์ แน่นอนว่าจะต้องเลือกตอนเที่ยงที่ไอหยางเข้มข้นที่สุด ในเมื่อคนผู้นั้นถูกขนานนามว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนวิญญาณ จะไม่รู้เรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร สหายรออย่างอดทนอีกสักหน่อยเถอะ” ในที่สุดชายชราชุดเขียวผู้นั้นก็ลืมตาขึ้น จากนั้นเขาก็พูดขึ้นเสียงเรียบ “นั่นมันก็จริง แต่ด้วยระยะใกล้เช่นนี้ หากเคราะห์สวรรค์จะมาแล้วจริงๆ ทำไมข้าถึงสัมผัสมันไม่ได้เลยเล่า แต่ว่าเมื่อคิดว่าหลายปีมานี้ ในที่สุดก็มีคนกล้าผ่านด่านเคราะห์สวรรค์ ข้าจึงอดตื่นเต้นเล็กน้อยไม่ได้” ชายฉกรรจ์ที่มีใบหน้าดุร้ายมีผมสั้นสีน้ำเงิน กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“ครั้งที่แล้วที่คนของแดนวิญญาณผ่านด่านเคราะห์นั้น มันเมื่อไหร่กัน ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว ข้ารู้สึกแค่ว่ามันเป็นเรื่องที่นานมากๆ แล้ว แต่ว่าเทพหานผู้นี้อยู่เผ่ามนุษย์ สามารถสร้างชื่อเสียงได้ในเวลาสั้นๆ อีกทั้งไม่ผิดเรื่องที่เขาจะผ่านด่านเคราะห์อีกด้วย เขาช่างเป็นคนที่กล้าหาญมากจริงๆ คนที่ผ่านด่านเคราะห์คนก่อนๆ มีใครบ้างที่ไม่หลบๆ ซ่อนๆ จนกลัวว่าจะมีคนอื่นรู้เข้า” เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นวางม้วนหนังสือในมือลง และพูดอย่างรู้สึกปลงเล็กน้อย

“หลายปีมานี้เราเจอแต่หน้าเดิมๆ ดูเหมือนว่าคนที่แอบผ่านด่านเคราะห์ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย น่าจะเป็นเพราะสหายเก่าเหล่านั้นล้วนไม่สามารถผ่านด่านเคราะห์ไปได้ และตายไปแล้ว” ชายชราผู้นยังพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“พวกเรากดพลังปราณอย่างสุดชีวิตเป็นประจำแล้ว เกรงว่าจะดึงดูดให้เกิดด่านเคราะห์ได้ แต่ท่านเทพหานผู้นี้กลับกล้าผ่านด่านเคราะห์โดยใช้เวลาบำเพ็ญเพียรไม่ถึงหมื่นปี หึๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องความกล้าอย่างเดียว ข้าต้องชื่นชมเลย จริงสิ สหายปี้ ได้ยินมาว่าเจ้าเคยเจอเทพหานผู้นี้เมื่อหลายพันปีก่อนหรือ เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่?” ชายฉกรรจ์หน้าตาดุร้ายถามขึ้นพร้อมหัวเราะหึๆ

“จริงด้วย หลายปีมานี้ ข้าปิดด่านฝึกอยู่ตลอด จึงไม่เคยเจอสหายหานผู้นี้มาก่อนเลย” เด็กหนุ่มชุดขาวได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก

“ตอนนั้นข้าได้เจอสหายหานผู้นี้ที่งานหนึ่งจริงๆ แต่กลับไม่รู้ว่าจะบรรยายคนคนนี้อย่างไรดี” ชายชราผู้นั้นขมวดคิ้วแน่น และตอบขึ้นอย่างลังเล

“เช่นนั้นพลังของเขาอยู่ระดับใดกันแน่ ด้วยความสามารถของสหายปี้ คงจะสัมผัสได้อย่างชัดเจนสินะ” เด็กหนุ่มชุดยาวหัวเราะขึ้นเบาๆ

“หากพูดตามความจริงล่ะก็ ข้าพูดได้แค่ว่าแข็งแกร่งมาก แม้ว่าข้าจะไม่ได้ลงมือโดยตรง แต่ข้ามั่นใจว่าเขามีพลังมากกว่าข้าสามถึงสี่เท่า ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน” หลังจากที่ใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ตอบขึ้นอย่างช้าๆ

“อะไรนะ! หรือว่าท่านจะล้อเล่นแล้ว! ท่านน่ะหรือจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา? พวกเราทั้งสามคนรู้จักกันมานาน พลังของท่านมีมากมายขนาดไหน มีหรือที่พวกเราสองคนจะไม่รู้?” เด็กหนุ่มชุดขาวชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว

ชายฉกรรจ์หน้าตาดุร้ายที่อยู่ด้านข้าง ก็ใบหน้าสงสัยและไม่เชื่ออย่างชัดเจน

“เรื่องแบบนี้ ข้าจะพูดเล่นกับพวกเจ้าสองคนได้อย่างไร แค่พวกเจ้าทั้งสองคนได้เจอเขาสักครั้ง ก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่ข้าพูดไปนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหกเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เทพหานมองมา ทำให้ข้ารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสของเขามากกว่าข้าหลายเท่า ข้าจะรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร” ชายชราหัวเราะอย่างขื่นขมแล้วตอบกลับ

เมื่อเด็กหนุ่มชุดขาวและชายฉกรรจ์หน้าตาดุร้ายได้ยินดังนั้น พวกเขาก็อดที่จะมองหน้ากันไม่ได้

“ช่างเถอะ ยิ่งสหายหานผู้นี้แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็มีความหวังว่าจะผ่านด่านเคราะห์ได้มากเท่านั้น หากเขาสามารถผ่านด่านเคราะห์ได้จริงๆ แล้วล่ะก็ ในตอนที่เขาจะได้เลื่อนขั้น ตอนที่แดนเซียนจะส่องระลอกคลื่นออกมาเป็นทาง โลกทั้งใบนี้จะสามารถสัมผัสได้ หากสามารถบรรลุถึงพลังของพวกนั้นได้ พวกเราก็จะได้รับประโยชน์จากมันไม่น้อยเลยทีเดียว แน่นอนว่าระดับของข้าใกล้แล้ว ข้ามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย” หลังจากชายฉกรรจ์หน้าตาดุร้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วพูดอย่างสงบสติอารมณ์

“หึๆ เป็นเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่เดินทางมาหลายพันลี้เพื่อมาที่นี่หรอก” เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มออกมา

หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามก็พุดคุยกันต่อไม่กี่คำ และเริ่มรอคอยอย่างเงียบๆ อีกครั้ง

ฉากแบบคล้ายคลึงกัน ก็เกิดตามสถานที่ต่างๆ รอบเมืองยักษ์แห่งนี้

ทันใดนั้นในบริเวณใกล้เคียงเผ่ามนุษย์ มีมหาเมธีของแดนวิญญาณจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ประหลาดที่ต้องกดปราณของตัวเองอย่างสุดชีวิต

ตามโขดหินริมเกาะ ในทะเลไร้ขอบเขต เผ่ามนุษย์ มีผู้ชายหนึ่งหญิงหนึ่งกำลังยืนอยู่

ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดสีขาว ใบหน้างดงาม คนคนนั้นก็คือแม่นางปิงพั่ว ส่วนผู้ชายกลับมีปราณที่ไม่ธรรมดา สวมชุดผ้าฝ้าย แววตาคมกริบ เครายาวรุงรัง

“สหายหู ครั้งนี้พี่หานมั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถผ่านด่านเคราะห์ได้ ข้าจึงมาสังเกตอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ จะว่าไปแล้วจะต้องได้ประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว อีกเดี๋ยว ข้าไปสังเกตอย่างละเอียดดีกว่า” แม่นางปิงพั่วหันไปพูดกับชายที่สวมผ้าฝ้าย

“เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว เทพหานมีพลังที่แข็งแกร่ง ถ้าตอนนั้นน้องชายไม่ได้รับโอสถวิญญาณหลายชนิดจากตำหนักชิงหยวน เกรงว่าข้าจะไม่สามารถก้าวมาสู่ระดับมหาเมธีอย่างเช่นทุกวันนี้ได้” ชายหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายตอบกลับด้วยความเคารพหลายส่วน เขามีนามว่า “หูจวิน” เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นระดับมหาเมธีเมื่อไม่กี่หมื่นปีมานี้

อีกทั้งมั่วเจี่ยนหลีมหาเมธีเผ่ามนุษย์อีกคน เพิ่งเสียชีวิตจากการประสบด่านเคราะห์เมื่อไม่กี่ร้อยปีที่แล้ว

อีกด้านหนึ่ง มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงหลายสิบคน ยืนเรียงแถวอยู่ที่ด้านหน้าเรือยักษ์สีดำ ผู้หญิงสามคน หนึ่งในจำนวนนั้น ก็มองไปที่เกาะร้างแห่งนั้นด้วยแววตาเคร่งครึม

พวกนางทั้งสามคือ หนานกงหวั่น หยวนเหยา และอิ๋นเย่ว์

หยวนเหยาไม่เจอหานลี่ตั้งแต่เขาแบ่งวิญญาณออกไปที่โลกเบื้องล่าง ตอนนั้นนางพาเหยียนลี่กลับไปที่เผ่ามนุษย์อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในตำหนักแห่งกลางเกาะรวมปราณ ไม่ได้ออกไปจากเกาะนั้นแม้แต่ครั้งก้าว

ส่วนอิ๋นเย่ว์หลังจากตัดใจกับเรื่องปัญหาความรักแล้ว ในที่สุดประมาณพันปีก่อนนางก็ได้เลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับมหาเมธีแล้ว

แม่นางทั้งสามคนได้รออยู่ตรงนั้น ส่วนปิงพั่วก็พาฉีหลิงจื่อ ไห่ต้าเซ่า ไป๋กั่วเอ๋อร์และลูกศิษย์คนอื่นๆ มารอที่นี่ด้วยเช่นกัน

หลายพันปีมานี้ หานลี่ได้ให้ลูกศิษย์ทั้งหลายเข้าสู่ขั้นหลอมรวมแล้ว ส่วนพวกเขาจะสามารถเลื่อนขั้นไปยังระดับมหาเมธีได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเองแล้ว

หงส์ษาน้ำแข็ง หนานกงหวั่น หยวนเหยาและคนอื่นๆ อยู่ในระดับทั่วไป เพราะหลังจากที่ฝึกมาหลายปี อีกแค่ก้าวเดียวพวกนางก็จะเลื่อนขั้นไประดับมหาเมธีแล้ว แต่เนื่องจากร่างกายของหงส์ษาน้ำแข็ง นางมีโอกาสที่จะเลื่อนขั้นไปสู่ระดับมหาเมธีสูงมาก

คนเหล่านี้เป็นคนที่ใกล้ชิดกับหานลี่ แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อใจในตัวของหานลี่มาก แต่เมื่อได้ยินว่าต้องเผชิญหน้ากับด่านเคราะห์ในตำนาน ก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง

ระยะความสูงกว่าหมื่นลี้ เด็กสาวสวมชุดสีดำ กำลังเหยียบบนตัวของนกประหลาดด้วยเท้าเปล่า นางมองไปทางเกาะร้างด้วยแววตาที่ซับซ้อน

ส่วนคนที่อยู่ด้านข้างคือ เด็กสาวสวมชุดนางในสีม่วง นางกำลังมองไปยังเด็กสาวชุดดำอย่างจนใจ หลังจากที่เงียบอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดขึ้นมาว่า

“ไต้เอ๋อร์ หากเจ้าต้องการจะบอกลาท่านอาวุโสหาน ทำไมเจ้าต้องมาอยู่ที่นี่ด้วยเล่า เข้าไปตรงๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ นอกจากนี้ยังสามารถสานสัมพันธ์ในอนาคตได้อีกด้วย”

“ไม่ต้องหรอก หลายปีมานี้พี่ใหญ่หานก็มองข้าเป็นน้องสาวมาโดยตลอด ในเมื่อที่นั่นมีพวกพี่สาวกงหวั่นอยู่แล้ว ข้าจะเข้าไปวอแวอีกทำไม ขอเพียงข้าได้เห็นพี่หานเลื่อนขั้นตรงนี้อย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว” เด็กสาวชุดดำพูดอย่างใจเย็น

เมื่อหญิงสาวสวมชุดนางในสีม่วงได้ยินดังนั้น จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร

ใจกลางเกาะร้างมีเขตอาคมขนาดใหญ่วางเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว หานลี่และนักพรตเซี่ย หั่วซวีจือ หมัว

กวงและคนอื่นๆ ก็ยืนอยู่ที่นี่พร้อมแล้ว จากนั้นพวกเขาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน

ในตอนนั้นเองน่านฟ้าเหนือเกาะร้าง มีเมฆห้าสีก้อนหนึ่งที่มีไอปราณควบแน่น ค่อยๆ ปกคลุมทั่วพื้นที่เกาะอย่างช้าๆ แม้ว่าความเร็วมันจะช้ามาก แต่มันก็มีขนาดใหญ่ขึ้นมากจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“ดูเหมือนว่าจะอีกไม่นานแล้ว สหายหานก็จะไม่สามารถหยุดยั้งด่านเคราะห์นี้ได้แล้ว ข้าเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของสหาย จะสามารถผ่านด่านเคราะห์นี้ได้อย่างง่ายดาย” หมัวกวงก้มหน้าลงมา พร้อมยิ้มให้กับหานลี่เบาๆ

“พี่หมัวกวงล้อข้าเล่นแล้ว ระหว่างการผ่านด่านเคราะห์มีมหาเมธีตั้งไม่รู้กี่มากน้อย ที่ต้องตายเพราะมัน ข้าเองก็ไม่กล้าดูถูกมันหรอก” หลังจากที่หานลี่ก้มหน้าลง เขาก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“หึๆ หากเป็นคนอื่นพูด ข้าหั่วซวีจือก็จะเชื่อ แต่เป็นสหายหาน ที่สามารถฝึกเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณระดับสามและวิชารวมห้าวรยุทธ์ลึกลับ หากเจ้าในตอนนี้เจอกับหม่าเหลียงในตอนแรก ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องถูกฆ่าตายภายในไม่กี่กระบวนท่าแน่นอน หึๆ ข้าล่ะแปลกใจจริงๆ เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติของเจ้าไม่โดดเด่น แต่กลับสามารถฝึกวิชาได้ระดับนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอตัวประหลาดเช่นนี้” หั่วซวีจือยังกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“บางทีข้าอาจจะเกิดมาเพื่อฝึกวิชาแดนเซียนเช่นนี้ก็ได้” หานลี่หัวเราะเล็กน้อย

“หลังจากนายท่านไปที่แดนเซียนแล้ว อย่าลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับข้านะ” ทันใดนั้นเองนักพรตเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้น

“ในเมื่อหลังจากที่เจ้าฟื้นความทรงจำได้แล้ว ยังยอมรับข้าเป็นนาย เรื่องที่ข้าสัญญาเอาไว้ ข้าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน” หลังจากหานลี่มองไปที่นักพรตเซี่ย เขาก็ตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งครึม