ตอนที่ 904 ข่าวกรอง

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“คุณเยี่ยครับ ได้เจอพวกคุณสองคนแล้ว ผมเพิ่งรู้อะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนครับ!”

โจวเซี่ยวเทียนแสดงวิชานี้ออกมา ทำให้กู้ต้าจวินอ้าปากค้าง หลังจากที่เขามีพลังพิเศษ “ควบคุมสิ่งของ” ได้ เขาก็ได้เลื่อนยศทหารถึงสองขั้น ได้เข้าร่วมสถาบันวิจัยผู้มีพลังพิเศษของประเทศจีน และยังได้เห็นบุคคลสำคัญที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนอีกมากมาย

ทำให้ความคิดและจิตใจของกู้ต้าจวินเปลี่ยนไป คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง มีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นใหญ่ในใต้หล้า แต่วันนี้ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกของเยี่ยเทียนทั้งสองคนขณะที่อยู่บนเครื่องบินก็ตาม หรือวิชาที่อยู่ในมือของโจวเซี่ยวเทียนนั้น ล้วนทำให้กู้ต้าจวินละอายใจและแทบอยากจะหาช่องมุดหลบเข้าไปเสียให้ได้

เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วพูดว่า

“เหล่ากู้ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว คุณช่วยเล่าสถานการณ์ ของการจัดงานประชุมใหญ่ครั้งนี้อย่างคร่าวๆ ให้ผมฟังที”

ดังสำนวนที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเชื่อมั่นใจตัวเองมาก แต่ก็ยังต้องป้องกันความผิดพลาดเช่นกัน ถึงอย่างไรบนโลกที่กว้างใหญ่นี้ก็มีเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจอีกมากนัก และในต่างประเทศก็มีคนเก่าคนแก่ที่มีอายุนับร้อยปีไม่น้อย ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไร

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว กู้ต้าจวินจึงรีบดึงสติกลับมาจากความตื่นตะลึง แล้วพูดว่า

“คุณเยี่ยครับ การประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นโดยประเทศอเมริกากับประเทศอังกฤษครับ ถึงแม้จะใช้ในนามของสมาคมผู้มีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติของโลก และถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมพื้นบ้าน แต่แท้จริงแล้วก็คือการส่งผู้ที่มีพลังพิเศษที่รับราชการทหารในกองทัพมาเสียส่วนใหญ่…”

เรื่องที่กองทัพบุกเบิกพัฒนาผู้มีพลังพิเศษ ล้วนเป็นการดำเนินงานโดยความลับสุดยอด ถึงแม้ชาวบ้านจะมีการคาดเดาต่างๆ นานา แต่ก็ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเมื่อสิบปีก่อน สมาคมวิจัยพลังพิเศษของโลก ได้รับเจตนารมณ์และก่อตั้งจากบางประเทศนานแล้ว

ช่วงแรกเริ่มเลย มีการร่วมมือกันระหว่างประเทศเหล่านี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยามากมายมาเข้าร่วม โดยใช้มุมมองของการกระตุ้นศักยภาพของร่างกายมนุษย์เพื่อปลดล็อกพลังพิเศษบางอย่าง

แต่หลังจากที่ประเทศเหล่านั้นตระหนักถึงบทบาทและคุณประโยชน์ในด้านการทหาร จึงเริ่มทำการปิดบัง ไม่มีใครรู้ว่าประเทศอื่นได้พัฒนาด้านนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว ทำให้สมาคมผู้มีพลังพิเศษของโลกไม่สามารถทำให้เป็นความจริงขึ้นมาได้

ถึงครั้งนี้จะใช้ชื่อของสมาคมผู้มีพลังพิเศษของโลกก็ตาม แต่ทุกประเทศต่างก็ส่งทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศของตัวเองมาทั้งหมด

เหล่าประเทศมหาอำนาจสองสามประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าใครต่างก็ไม่กล้าปลุกปั่นให้เกิดสง ครามอย่างง่ายดาย เหมือนอย่างเช่นประเทศอเมริกาที่มีชื่อเสียงเรื่องไม่ฟังเหตุผล ก็กล้าสอดแทรกเข้าไปในประเทศเล็กๆ อย่างอิรักและยูโกสลาเวียเท่านั้น ส่วนประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาก็ปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวังเช่นกัน

ดังนั้นการจัดงานประชุมใหญ่เพื่อแลกเปลี่ยนผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้ ความจริงแล้วก็คือการปะทะกันของทหารที่พร้อมรบแต่ละคน เพื่อเป็นการตัดสินความแข็งแกร่งโดยรวมของแต่ละประเทศ เพื่อให้แต่ละประเทศมีสิทธิ์มีเสียงในระดับสากล หรือจริงๆ แล้วก็คือการจัดสรรใหม่อีกครั้ง ดังนั้นทุกประเทศจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

“ไม่แปลกใจเลยที่คนคนนั้นจะตื่นเต้นขนาดนี้ ที่แท้ก็คือการแย่งถิ่นเหรอ?”

หลังจากได้ยินกู้ต้าจวินอธิบายแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เพราะเขากับติงหงที่ก่อเหตุการเข่นฆ่าในไซบีเรีย ได้ทำให้แต่ละประเทศเกิดความตื่นตระหนกตกใจ ถึงได้ทำการวิจัยผู้มีพลังพิเศษอย่างมุ่งมั่น จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเขาเช่นกัน

“คุณเยี่ยครับ มีคุณทั้งสองอยู่ด้วย ครั้งนี้จะต้องทำให้พวกชาวต่างชาติได้เห็นดีแน่นอนครับ!”

กู้ต้าจวินตื่นเต้นดีใจขึ้นมาขณะที่พูด ก่อนหน้านั้นแค่การตัดสินใจให้เขาเข้าร่วมงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ ในใจของกู้ต้าจวินก็ไม่มั่นใจเลยสักนิด ไม่ว่าอย่างไรเวลาการตื่นตัวของพลังพิเศษของเขามันสั้นมาก เพราะพลังพิเศษในการ “ควบคุมสิ่งของ” นั้นยังพอที่จะเอาไปใช้ในการแสดงได้ แต่ถ้าเป็นการต่อสู้จริงๆ กลับไม่มีค่าอะไรเลย

ดังนั้นการเข้าร่วมของเยี่ยเทียนอาจารย์กับลูกศิษย์ทั้งสองคนนี้ ทำให้กู้ต้าจวินมั่นใจมากขึ้น เพราะคนที่สามารถทำให้กระจกแตกกลางอากาศที่สูงนับหมื่นเมตรได้โดยที่ไม่ตายนั้น แสดงว่าพลังชีวิตยังมีมากกว่าจำนวนของแมลงสาบเสียอีก เมื่อมียอดฝีมือคอยบัญชาการด้วยตัวเอง เขาเชื่อว่าภารกิจจะสามารถสำเร็จได้อย่างราบรื่นแน่นอน

“เหล่ากู้ ที่ต่างประเทศก็มีเสือซ่อนเล็บอยู่ ดังนั้นจะประมาทไม่ได้”

เมื่อเห็นท่าทางของกู้ต้าจวินแล้ว เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า แล้วถามว่า

“อ้อใช่ คุณรู้ไหมว่าทำไมครั้งนี้ถึงเลือกจัดงานประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษที่ซูริก?”

“คุณเยี่ยไม่รู้เหรอครับ?” กู้ต้าจวินมองเยี่ยเทียนด้วยความประหลาดใจ

“ถ้ารู้แล้วผมจะถามคุณทำไมครับ?”

เยี่ยเทียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ตามหลักแล้วการจัดงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้เกิดขึ้นมาจากประเทศอเมริกากับประ เทศอังกฤษ พวกเขาน่าจะจัดที่ประเทศของตัวเองหรือประเทศที่อยู่ใกล้เคียง แต่ไม่น่าจะจัดขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นประ เทศที่มีชื่อเสียงด้านระบบธนาคารกับนาฬิกา

“คุณเยี่ยครับ คุณน่าจะทราบว่า สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีสถานะเป็นกลางใช่ไหมครับ?”

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่ทราบสาเหตุจริงๆ กู้ต้าจวินจึงอธิบายว่า

“เนื่องจากเป็นประทศที่มีสถานะเป็นกลาง ดังนั้นปัญหาหรือข้อพิพาทที่ยากจะแก้ไขระหว่างประเทศจำนวนมาก จะถูกจัดอภิปรายที่สวิตเซอร์แลนด์ และงานประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้ ก็เป็นประเทศของพวกเรากับรัสเซียร่วมกันเสนอให้จัดที่สวิตเซอร์แลนด์ครับ…”

“สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นกลาง? ก็แค่เรื่องย้อมแมวขายเท่านั้น”

คำพูดของกู้ต้าจวินทำให้เยี่ยเทียนแค่นเสียงขึ้นจมูก สาเหตุที่เขาไม่คิดว่าสวิตเซอร์แลนด์ไม่มีสถานะเป็นกลางนั้น ก็เพราะว่าก่อนหน้านั้น ก็ไม่มีใครคิดว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นกลางได้ด้วยซ้ำ เนื่องจากตอนที่เขาพูดคุยกับโก่วซินเจีย เยี่ยเทียนก็ได้ยินเรื่องที่ไม่น่าพิศมัยของสวิตเซอร์แลนด์มากมาย

สถานะความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์ มาจากการประชุมที่เวียนนาในปี 1815 ตอนนั้นทำไปเพื่อกำจัดนโปเลียนคนบ้าสงคราม และเคยแถลงการณ์แสดงความเป็นกลางอย่างถาวรของสวิตเซอร์แลนด์ผ่านแนวร่วมต่อต้านฝรั่งเศส ทำให้สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นประเทศที่มีสถานะเป็นกลางตลอดไป

หลังจากนั้นอีกหนึ่งร้อยปี สวิตเซอร์แลนด์ก็รักษาชื่อเสียงของประเทศที่มีสถานะเป็นกลางมาตลอด แต่หลังจากที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง สวิตเซอร์แลนด์ก็สวมบทบาทที่น่าเกลียดอีกมากมาย

อย่างแรกช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สวิตเซอร์แลนด์ยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีทางด้านเศรษฐกิจและการเงินกับเยอรมนีมาโดยตลอด โรงงานผลิตนาฬิการายใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ได้จัดหาชิ้นส่วนและอะไหล่ที่มีความแม่นยำและดีเยี่ยมให้เยอรมนี และโรงงานทหารของซูริกก็จัดหาปืนใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดสี่สิบมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธป้องกันตัวที่สำคัญมากสำหรับเยอรมนีในการรับมือกับการโจมตีทางอากาศของพันธมิตร

นอกจากนี้สวิตเซอร์แลนด์ยังปฏิเสธที่จะช่วยเหลือชาวยิวที่ถูกข่มเหง โดยให้ข้อกำหนดที่ชัดเจนว่า “ชาวยิวไม่ควรถูกมองว่าเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง” เมื่อสงครามเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ สวิตเซอร์แลนด์ก็ได้สกัดกั้นชาวยิวนับแสนคนไม่ให้เข้าเมือง กระทั่งบางครั้งก็ส่งพวกเขาให้กับหน่วยเอสเอส (SS) ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่โดยตรง

และสวิตเซอร์แลนด์ก็ยังทำการยักยอกทรัพย์สินของชาวยิว และทำหน้าที่เป็นตู้เซฟทองคำให้กับนาซี และในยุค 90 ก็เคยเกิดเรื่องโกลาหลครั้งหนึ่ง ทำให้มีผลกระทบด้านลบต่อชื่อเสียงของธนาคารสวิสเป็นอย่างมาก

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวในเยอรมันที่ถูกพวกนาซีข่มเหงจนตายนั้นได้เปิดบัญชีในธนาคารสวิสมากกว่าห้าหมื่นบัญชีและฝากเงินมูลค่าหกพันล้านดอลลาร์

แต่จนถึงทุกวันนี้รัฐบาลสวิสก็คืนเงินเพียงหกล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรชาวยิวหรือบริจาคให้กับองค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศเท่านั้นเอง และธนาคารสวิสบางแห่งก็ปฏิเสธที่จะชดเชยค่าเสียหายด้วยเหตุผลที่ว่าค่ายกักกันนาซีไม่ออกใบรับรองการตาย ทำให้เงินทั้งหมดนี้ถูกยักยอกโดยธนาคารสวิส

โชคดีที่รัฐบาลสวิสไม่ทำตัวน่ารังเกียจเหมือนประเทศเกาะอย่างญี่ปุ่น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองรัฐบาลสวิสได้ไตร่ตรองและสำนึกผิด ในปี 1995 คุณโคตี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เป็นตัวแทนในการกล่าวขอโทษสำหรับการแสดงออกของสวิตเซอร์แลนด์ในสงครามโลกครั้งที่สอง ถึงเรียกตำแหน่งสถานะเป็นกลางระหว่างประเทศของสวิตเซอร์แลนด์กลับมาได้สำเร็จ

“โอเค พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้วดีกว่า”

สำหรับรัฐบาลแบบนี้ เยี่ยเทียนไม่สามารถให้ความเคารพได้ แล้วจึงโบกมือพูดว่า

“เหล่ากู้ คุณรู้ไหมว่าแต่ละประเทศส่งใครมาร่วมงานครั้งนี้บ้าง?”

“คุณเยี่ย ผมยังไม่ได้รับข่าวกรองจากอีกฝ่ายเลยครับ”

กู้ต้าจวินส่ายหน้าพลางพูดว่า

“การบุกเบิกพัฒนาวิจัยผู้มีพลังพิเศษของแต่ละประเทศดำเนินการเป็นความลับสุดยอด ผมแค่ได้ข่าวว่าหลังจากอเมริกากับรัสเซียได้ของพวกนั้นไป การวิจัยของเขตที่เจ็ดก็ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก บรรลุผลสำเร็จมากมาย ประเทศอังกฤษกับรัสเซียก็เช่นกัน”

พอเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกู้ต้าจวินก็พูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า

“ผมเชื่อว่าคุณเยี่ยก็รู้ว่าพวกเขาได้ของอะไรไปกันแน่ แต่ประเทศจีนของพวกเรากลับตรงข้ามไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด ถึงแม้พวกเราจะได้รับของสิ่งนั้นเหมือนกัน”

หลังจากที่ได้เข้าร่วมการค้นคว้าวิจัยของผู้มีพลังพิเศษของประเทศแล้ว กู้ต้าจวินจึงรู้ข้อมูลลับมากมาย และก็ได้ยินชื่อของเยี่ยเทียนอยู่หลายครั้ง จึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่รัสเซียทั้งหมด ซึ่งมีเงาของเยี่ยเทียนอยู่เบื้องหลัง

“หืม? ที่แท้ก็เป็นแบบนี้?”

เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง อเมริกากับอังกฤษต่างก็ได้รับของพวกนั้นมาจากรัสเซีย และเขาก็รู้ดีกว่าใครๆ นั่นคือซากศพของติงหงที่พ่ายแพ้จากการโดนทัณฑ์อัสนีสวรรค์ ถึงแม้ตอนนั้นศพจะถูกรัฐบาลรัสเซียได้ไป แต่เมื่อเจอแรงกดดันของแต่ละประเทศ รัฐบาลรัสเซียจึงต้องหยิบบางส่วนออกมาเพื่อให้แต่ละประเทศทำการวิจัย

“ผมเข้าใจแล้วครับ พวกคนต่างชาติก็รู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้แหละ…”

หลังจากลองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็เข้าใจขึ้นมาทันที แล้วจึงมีสีหน้าที่ไม่เห็นด้วย

กายเนื้อของติงหงถึงแม้จะถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม แต่โครงสร้างที่อยู่ภายในกลับผิดแผกไปจากคนปกติทั่วไปมาก การฝึกวรยุทธเป็นเวลานานทำให้กลุ่มเซลล์ที่อยู่ในร่างกายของเขาสมบูรณ์ไร้ที่ติ แค่เพียงจุดนี้ ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักพันธุศาสตร์มากมายของแต่ละประเทศแล้ว

เมื่อมีสายโซ่พันธุกรรมที่สำเร็จรูปแล้ว เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็สามารถทำการทดลองในสัตว์และคนได้ โดยใช้ยาเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพันธุกรรม ทำให้ได้รับพลังอันมหาศาล ถ้าหากเยี่ยเทียนเดาไม่ผิดล่ะก็ อเมริกา อังกฤษและรัสเซียและประเทศอื่นๆ ก็ใช้วิธีการเช่นนี้ทำให้ผลการวิจัยบรรลุผลสำเร็จในการวิจัยมนุษย์ที่มีพลังพิเศษ

แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่า สาเหตุที่ติงหงสามารถรักษาให้ร่างกายสมบูรณ์แบบได้เช่นนี้ มาจากการฝึกบำเพ็ญตบะนับร้อยปี ทำให้ยีนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากภายในสู่ภายนอก โดยไม่ได้ฉกฉวยโอกาสจากพลังภายนอกแต่อย่างไร

ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าผู้ที่มีพลังพิเศษนั้น ก็คือคนที่สามารถทำให้สมรรถภาพของร่างกายแข็งแกร่งขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ถึงทำให้มีพลังที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับอายุขัยของพวกเขาแล้วกลับไม่สามารถเพิ่มได้ ตรงกันข้ามจะยิ่งอายุสั้นกว่าคนธรรมดาทั่วไป นี่คือเหตุผลหลักที่เยี่ยเทียนไม่เห็นด้วย

กู้ต้าจวินพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วพูดว่า

“อ้อใช่ คุณเยี่ย นอกจากผู้ที่มีพลังพิเศษแล้ว ผมได้ยินว่าอเมริกายังมีคนบางส่วนของแก๊งค์มาเฟียมาร่วมงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ด้วยครับ ส่วนเป็นใครนั้น พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“คนของแก๊งค์มาเฟีย? คงไม่ใช่ชาวเคิร์ดหรอกใช่ไหม? แต่พวกผีดูดเลือดดูเหมือนจะกำเนิดขึ้นที่อังกฤษ ทำไมถึงได้ใช้นามของอเมริกาในการเข้าร่วม?”

เยี่ยเทียนหรี่นัยน์ตาขึ้นมา เพราะเขายังจดจำชายที่บอกว่าตัวเองคือตระกูลสายเลือดโดยตรงได้อย่างแม่นยำ ตอนนั้นเขาเพิ่งเข้าสู่เซียนเทียนขั้นต้น จนเกือบพลาดท่าให้กับฝีมือของอีกฝ่าย

…………………………..