ตอนที่ 905 ความเป็นและความตาย

หมอดูยอดอัจฉริยะ

พวกผีดูดเลือดสามารถดูดซับพลังปราณพิฆาตแห่งฟ้าดินได้ ตอนนั้นวิชาของเยี่ยเทียนโจมตีเคิร์ดไม่ได้ผลทั้งหมด ร่างกายที่เหมือนจะไม่มีวันตาย ก็คือความกังวลที่สุดของเยี่ยเทียน สมองถูกเตะจนมองเห็นด้านหลังแต่ก็ยังไม่เป็นอะไร ตอนนั้นจึงส่งผลกระทบต่อเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก

ถึงแม้เคิร์ดจะไม่สามารถตอบโต้ติงหงได้เลย จนเกือบจะถูกฆ่าทุกวินาที แต่วรยุทธของเยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ลึกล้ำมากกว่าติงหงไปไกลแล้ว เขาก็ไม่กล้าประมาท ถึงอย่างไรก็ยังไม่เคยได้ต่อสู้กับผีดูดเลือดอย่างแท้จริง เยี่ยเทียนจึงไม่รู้ว่าท่านดยุคที่เป็นแดรกคิวลาที่เคิร์ดพูดถึงนั้น มีความสามารถเป็นอย่างไรกันแน่

“คิดมากไปทำไม อย่างมากสุดมาวิธีแบบไหนก็รับมือไปแบบนั้น หรือว่ายังต้องกลัวพวกผีดูดเลือดอีกเหรอ?”

เยี่ยเทียนพูดหัวเราะตัวเองพลางยิ้ม ถึงแม้จะไม่สามารถทำนายผลของการประชุมใหญ่ครั้งนี้ได้ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เป็นอันตราย ไม่อย่างนั้นจิตของเขาต้องเกิดลางบอกเหตุอะไรไปนานแล้ว ซึ่งก็แสดงว่าการประชุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีอันตรายอะไร

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน จากนั้นก็ยังยกถ้วยน้ำชาของโจวเซี่ยวเทียนขึ้นแล้วเทลงไป กู้ต้าจวินจึงคิดว่าเขาทำการไล่แขก จึงรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า

“คุณเยี่ย ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว คุณก็พักผ่อนก่อนเถอะครับ ผมจะไปดูว่าท่านฑูตกลับมาหรือยัง?”

“ถ้าหากท่านฑูตกลับมาแล้ว คุณก็ช่วยบอกให้ยกเลิกงานเลี้ยงเย็นนี้ด้วยนะครับ ผมไม่ค่อยชอบงานแบบนี้สักเท่าไร”

เยี่ยเทียนตะโกนเรียกกู้ต้าจวินเอาไว้ หลังจากสั่งงานไปแล้วจึงเอ่ยถามว่า

“เหล่ากู้ ธนาคารแห่งชาติสวิสน่าจะอยู่ที่ซูริกใช่ไหม? ถ้าหากคุณมีเวลา ช่วยพาผมไปหน่อย ผมมีของที่บางอย่างที่ต้องการถอนออกมา”

ตอนนั้นคนของตระกูลคิตะมิยะถูกฝังอยู่ในภูเขาปีศาจทั้งหมดขณะที่อยู่ในพม่า เยี่ยเทียนเคยแย่งกุญแจดอกหนึ่งมาจากตระกูลคิตะมิยะ หลังจากถูกแม่พูดเตือน เยี่ยเทียนถึงได้รู้ว่ากุญแจดอกนี้เป็นหลักฐานในการเปิดตู้เซฟของธนา คารแห่งชาติสวิส ซึ่งตู้เซฟลักษณะนี้มีน้อยมาก แม้แต่ซ่งเวยหลันก็แค่ได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน

และกุญแจดอกนี้ก็อยู่ในมือของเยี่ยเทียนมาหลายปีแล้ว ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสงสัยมากว่าตระกูลคิตะมิยะซ่อนอะไรเอาไว้ในตู้เซฟกันแน่ แต่ก็ยังไม่เคยมีเวลามาตรวจสอบสักที จึงได้อาศัยโอกาสในครั้งนี้ เพื่อคลี่คลายต้นเหตุความเสื่อมโทรมของตระกูลคิตะมิยะมานานกว่าครึ่งศตวรรษ

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว กู้ต้าจวินจึงดูนาฬิกา แล้วพูดอย่างลำบากใจว่า

“คุณเยี่ยครับ สำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งชาติสวิสอยู่ที่ซูริกก็จริงครับ แต่…ตอนนี้คนอื่นเขาเลิกงานกันหมดแล้ว!”

ชีวิตของชาวสวิสนั้นเป็นความมั่งคั่งสำหรับคนทั่วยุโรปเป็นอย่างมาก สภาพแวดล้อมในการทำงานก็ยืดหยุ่นผ่อนคลาย พอถึงเวลาเลิกงาน ก็ไม่มีใครยอมทำงานล่วงเวลาเพื่อเงิน นอกจากนี้ธนาคารสวิสก็มีระบบคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมาก สามารถทำธุรกรรมการชำระเงินทุกประเภทได้ทั้งหมด ตอนนี้ธนาคารก็หยุดทำการแล้ว

“ฮิๆ จริงด้วย ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย”

เมื่อดูนาฬิกาแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง วันนี้เขาก็ตะลอนเดินทางจากอังกฤษมาถึงสวิตเซอร์แลนด์หนึ่งวันเต็มๆ ตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว เยี่ยเทียนจึงโบกมือแล้วพูดว่า

“เหล่ากู้ อย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ไปกันแต่เช้า ผมกับเซี่ยวเทียนขอพักผ่อนก่อน”

กู้ต้าจวินพยักหน้า เขารู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ชอบถูกคนรบกวน จึงรีบพูดว่า

“ได้ครับ คุณเยี่ย เดี๋ยวผมจะให้คนเอาอาหารเย็นมาส่งให้คุณนะครับ”

“อาจารย์ พรุ่งนี้ผมไปกับอาจารย์ด้วย ไม่รู้ว่าไอ้พวกญี่ปุ่นนั่นซ่อนอะไรเอาไว้ในธนาคารกันแน่?”

ตอนนั้นโจวเซี่ยวเทียนก็เดินทางไปพม่ากับเยี่ยเทียน ดังนั้นจึงสงสัยมากเป็นธรรมดา เพราะตระกูลคิตะมิยะเกือบ จะสูญสิ้น ก็เพราะกุญแจดอกนี้กับตู้เซฟ เชื่อว่าของที่เก็บซ่อนอยู่ในธนาคารมากว่าครึ่งศตวรรษนั้น จะต้องมีมูลค่าไม่ธรรมดาแน่นอน

“ฉันมีลางสังหรณ์ว่า ของที่อยู่ในนั้น บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘ทุยเป้ยถู’ ก็เป็นได้!”

เยี่ยเทียนพูดพร้อมกับหยิบคัมภีร์ที่ไม่สมประกอบที่เขาเก็บติดตัวตลอดออกมา แต่เขากลับไม่กล้าใช้พลังจิตตรวจ สอบคำว่า “ตาย”ของทุยเป้ยถูอีก เพราะก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่บนเครื่องบินเขารู้สึกเหมือนถูกคำว่า “ตาย” กลืนกินพลังจิตเข้าไป ทำให้เยี่ยเทียนยังคงหวาดกลัวจนถึงตอนนี้

“อาจารย์ นี่ยังเป็น ‘ทุยเป้ยถู’ อยู่ใช่ไหมครับ? ทำไมถึงกลายเป็นแบนี้ไปได้?”

วรยุทธของโจวเซี่ยวเทียนยังห่างจากเยี่ยเทียนมากนัก ตอนที่อยู่บนเครื่องบินเขามัวแต่ต้านอากาศที่อยู่ท่ามกลางอากาศสูง จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของ “ทุยเป้ยถู” เพียงแต่ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังเก็บมันเขาจึงมองมันไปครั้งหนึ่ง เวลานี้สายตาของเขาอดมองไปยังคัมภีร์ที่ไม่สมประกอบที่มีเพียงสามส่วนที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนอย่างช่วยไม่ได้

ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนที่เกือบจะถูกของสิ่งนี้ดูดกลืนพลังจิต ดังนั้นโจวเซี่ยวเทียนที่จิตแห่งหยางยังไม่ก่อตัวนั้น เกรงว่าจะไม่สามารถต้านทานได้ เมื่อเห็นสายตาของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนจึงรีบพูดเตือนทันที

“ระวัง อย่าใช้พลังจิตตรวจสอบเด็ดขาด!”

“อะไรนะครับ?”

โจวเซี่ยวเทียนได้ยินคำพูดที่ฉับไวของเยี่ยเทียน จึงรีบเรียกพลังจิตที่ปล่อยออกไปเพียงเล็กน้อยกลับมาทันที เพราะเขาก็เคยเสียท่าให้กับคัมภีร์ที่ไม่สมประกอบของ “ทุยเป้ยถู” มาก่อน ดังนั้นจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ และไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

หลังจากเรียกพลังจิตกลับมาแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย แล้วพูดว่า “

อาจารย์ ตอนนี้พลังจิตของผมสัมผัสของสิ่งนี้แล้ว ดูเหมือนจะสบายมากเลยนะครับ!”

“สบาย?”

เยี่ยเทียนตกตะลึง

“พลังจิตของแกสัมผัสโดนตรงไหน?”

โจวเซี่ยวเทียนชี้นิ้วออกไปอย่างระมัดระวัง แล้วจึงสัมผัสกับกระดาษสีขาวใบนั้นพลางพูดว่า

“ก็คือตรงนี้ครับ…”

“ตรงนี้? แปลกจัง?”

เยี่ยเทียนใช้มือไปสัมผัสกระดาษสีขาวที่มีพื้นผิวเหมือนกับหยก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงแบ่งพลังจิตออกไปจำนวนหนึ่ง เอ่อล้นเข้าไปยังกระดาษสีขาวนั่น เขาระมัดระวังเป็นอย่างมาก เตรียมพร้อมที่จะตัดการเชื่อมต่อของพลังจิตตลอดเวลา แม้ว่าพลังจิตกลุ่มนี้จะถูกกลืนกิน แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายให้บาดเจ็บมากนัก

“เอ๊ะ เหมือนจะมีลมหายใจของชีวิตจริงๆ!”

หลังจากที่ใช้พลังจิตไปสัมผัสกระดาษสีขาวแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏสีหน้าแปลกประหลาดออกมาทัน ที ดูเหมือนในกระดาษสีขาวนี้จะสะสมพลังชีวิตจำนวนมาก หล่อเลี้ยงพลังจิตเหล่านั้น แค่การหายใจสั้นๆ สองสามที เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกถึงพลังจิตที่ขยายใหญ่ไม่น้อย

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

หลังจากเก็บพลังจิตแล้ว เยี่ยเทียนจึงพลิกคัมภีร์ไม่สมประกอบนี้ แล้วมองตัวหนังสือสีแดงคำว่า “ตาย” จากนั้นก็ปล่อยพลังจิตกลุ่มหนึ่งออกไปเหมือนกัน แต่ตอนที่พลังจิตสัมผัสกับคำว่า “ตาย” นั้น เยี่ยเทียนก็มีเสียงอึดอัดออกมาจากในปากทันที พร้อมกับใบหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อย

เหมือนกับตอนที่ตรวจสถานการณ์อยู่บนเครื่องบินไม่ผิดเพี้ยน นอกจากนี้พลังกลืนกินนั่นดูเหมือนจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น เพราะมันไม่รอให้เยี่ยเทียนมีการตอบสนองใดๆ พลังจิตกลุ่มนั้นก็ถูกคำว่า “ตาย” ดูดกลืนเข้าไปแล้ว แม้แต่จิตแห่งหยางของเยี่ยเทียนก็ยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

“บ้าเอ้ย น่ากลัวเกินไปแล้ว ของสิ่งนี้ไม่เพียงแต่ดูดกลืนพลังจิต แต่ยังมีผลกระทบต่อจิตใจคนอีกด้วย!”

พลังจิตที่ถูกกลืนกินไปนั้นมีพลังปราณชีวิตแห่งความตายส่งออกมา ภายในชั่วพริบตาเดียว ทำให้เยี่ยเทียนเหมือนกับตัวเองตกอยู่ในสถานที่อันรกร้างว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิตโดยรอบ ราวกับระหว่างฟ้าดินล้วนปกคลุมไปด้วยเงามรณะก็ไม่ปาน

เยี่ยเทียนพลิกข้อมือขึ้นมา เก็บคัมภีร์ที่ไม่สมประกอบ พลางเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากแล้วพูดว่า

“เซี่ยวเทียน ของสิ่งนี้แกห้ามดูเด็ดขาด มันอัปมงคลสิ้นดี เหมือนกับความเป็นและความตายมากระทบกัน!”

สีขาวแสดงถึงความเป็น สีดำแสดงถึงความตาย เยี่ยเทียนก็เดาไม่ออกว่าของชิ้นนี้คืออะไรกันแน่ แต่เขามั่นใจว่า เจ้าของสิ่งนี้ไม่ใช่ “ทุยเป้ยถู” ของการทำนายโชคชะตาเหมือนในตำนานแน่นอน หลังจากที่คนรุ่นหลังจับมันแยกกันแล้ว จึงได้วาดภาพอีกอย่างลงไป เหมือนกำลังอำพรางอะไรบางอย่าง

เมื่อต้องเสียท่าไปไม่น้อย เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าดูคัมภีร์นั่นอีก หนำซ้ำพลังจิตของเขาก็ยังได้รับความเสียหาย เขาจำเป็นต้องนั่งสมาธิเพื่อทำให้ฟื้นฟูกลับมา จากนั้นจึงหาห้องนอนแล้วเข้าไปนั่งสมาธิ ส่วนท่านฑูตที่มาเยี่ยมตอนหลัง ก็ให้โจวเซี่ยวเทียนเป็นคนรับแขกไป

“ในตอนท้ายของการฝึกวรยุทธ ที่แท้ก็ต้องฝึกพลังจิตเช่นกัน”

พอถึงเวลาแปดโมงกว่าๆ ของวันที่สอง เยี่ยเทียนจึงตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาน ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะเมื่อวานไม่เพียงแต่ต้องสูญเสียพลังจิต แถมยังต้องมานั่งฟื้นฟูวรยุทธอีกทั้งคืน ถึงแม้จะมีพลังแห่งฟ้าดินคอยสกัดไว้ แต่เมื่อวรยุทธถึงระดับเยี่ยเทียนแล้ว การก้าวขึ้นไปอีกขั้นล้วนมีแต่ความยากลำบาก

“คุณเยี่ย ผมชื่อโจวจี้หวา เดิมทีเมื่อวานผมอยากจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณ แต่ได้ยินว่าคุณพักผ่อนแล้ว จึงไม่กล้ารบกวนครับ!”

ตอนที่เยี่ยเทียนเดินออกมาจากตึกเล็ก ก็มีผู้ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบแปดสี่สิบเก้าปีเดินมาต้อนรับ เมื่อวานเยี่ยเทียนไม่ได้เจอหน้าเขา ทำให้เอกอัครราชฑูตโจวรู้สึกไม่สบายใจ เขาคิดว่าตัวเองไม่ได้ต้อนรับขับสู้เยี่ยเทียนเป็นอย่างดี คงจะทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ไม่พอใจแน่นอน

“ที่แท้ก็คือท่านฑูตโจว?”

เยี่ยเทียนดูท่าทางของโจวจี้หวาแล้ว จึงยิ้มพูดว่า

“เมื่อวานเหนื่อยมากครับ จึงขอตัวพักผ่อนก่อน ทำให้ท่านฑูตต้องเสียน้ำใจ เป็นผมที่ไม่ดีเองครับ!”

“ไม่หรอกครับ เป็นเพราะจี้หวาต้อนรับไม่ดีต่างหากครับ คุณเยี่ย ได้ยินว่าวันนี้คุณจะไปธนาคารใช่ไหมครับ เอาเป็นว่า…ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณดีไหม?”

โจวจี้หวาเป็นคนที่ถูกฟูมฟักมาจากประธานอู๋ ในอนาคตเมื่อกลับประเทศจีนมีความเป็นไปได้สูงที่จะก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ได้เลื่อนขั้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้นประธานอู๋จึงกำชับให้ดูแลต้อนรับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างดี และเขาก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องดีกว่าครับ ให้เหล่ากู้ไปเป็นเพื่อนพวกเราก็พอแล้ว”

เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ ต่างก็มองออกถึงความเกรงกลัวที่อยู่ในใจของโจวจี้หวา เขาจึงเอ่ยพูดว่า

“คุณโจวไม่ต้องเกรงใจครับ ผมเห็นแก้มทั้งสองข้างของคุณอวบอิ่ม ผิวหนังฉ่ำวาว ตี้เก๋อก็มีเนื้ออวบอิ่ม สงสัยกลับประเทศไปแล้วจะได้รับตำแหน่งต่อเลย ผมขอแสดงความยินดีที่ท่านจะได้เลื่อนขั้นด้วยนะครับ!”

“ตี้เก๋อ” คือชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของคางส่วนล่างในวิชาการดูโหงวเฮ้ง คางของโจวจี้หวากลมและหนา ปากเป็นสี่เหลี่ยม คนประเภทนี้มีพรสวรรค์ด้านการสื่อสารอยู่แล้ว และยังถนัดในการสื่อการกับผู้คนเป็นอย่างมาก ริมฝีปากบนและล่างของเขาเป็นสีแดงระเรื่อ นี่คือสัญลักษณ์ของคนที่จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง

ทว่าโจวจี้หวาอยู่ในวงการข้าราชการมานาน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรกับประโยคของเยี่ยเทียน เมื่อได้ยินว่า เยี่ยเทียนไม่อยากให้เขาไปเป็นเพื่อน จึงรีบตะโกนเรียกกู้ต้าจวินที่เดินมาทางนี้พอดี แล้วพูดว่า

“ขอบคุณคำพูดมงคลของคุณเยี่ยนะครับ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็จะให้ต้าจวินไปเป็นเพื่อนคุณครับ!”

กู้ต้าจวินเดินเข้ามา แล้วพูดว่า

“คุณเยี่ย รถเตรียมพร้อมแล้วครับ พวกเราจะไปตอนนี้เลยไหม?”

“ไปตอนนี้เลย!”

เมื่อเห็นรถยนต์ที่ไม่ได้ติดป้ายทางการฑูตคันหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงพยักหน้า ถึงแม้รถยนต์ที่มีป้ายทางการทูตจะทำให้มีอภิสิทธิ์ไม่น้อย แต่ก็เป็นที่จับตามองมากเกินไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น

……………………..