ตอนที่ 1191 เรียนรู้ชั่วคราว

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ตำหนักเซียวอวิ๋นเป็นสำนักหลอมอาวุธวิญญาณอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก หากไม่ตอบรับคำท้านี้ เกรงว่าทุกคนล้วนแต่คิดว่าพวกเขากลัวสำนักต้าเหยี่ยนเป็นแน่

เซียวโม่กล่าว “ประลองหลอมอาวุธก็ประลองสิ พวกเจ้าคิดว่าข้ากลัวพวกเจ้าอย่างนั้นเหรอห๊ะ?”

วิชามารที่ได้ฝึกฝนมาหลายเดือนไม่ได้ฝึกเสียเปล่าเลย!

นายน้อยเซียวอวิ๋นมีพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธที่น่าทึ่งตั้งแต่เด็ก แม้ว่าเขาจะเชื่อในอัจฉริยะของสำนักพวกเขามาก แต่ว่า…

ผู้อาวุโสจ้าวกล่าว “ในเมื่อเป็นการแลกเปลี่ยนก็ไม่ต้องลงประลองแค่คนสองคนหรอก ตัดสินกันสองในสามการประลองเหมือนเดิมเป็นเช่นไร?”

ผู้อาวุโสจ้าวคิดได้อย่างรอบคอบถี่ถ้วนจริง ๆ ต่อให้พ่ายแพ้เซียวโม่ไป แต่ก็ยังมีอีกสองการประลองที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้

เซียวโม่แอบสบถด่า “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์!”

หัวหน้าตำหนักเซียวหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้น เซียวโม่กล่าว “ท่านพ่อ สามคนก็สามคน ตำหนักเซียวอวิ๋นของพวกเรามีอะไรต้องกลัวพวกมันด้วย เรียกเจ้าเด็กพวกนั้นออกมา”

ตำหนักเซียวอวิ๋นได้ชื่อว่าเป็นสำนักหลอมอาวุธวิญญาณอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออกนั้นไม่ใช่มีดีเพียงแค่ชื่อเสียงเท่านั้น ฝีมือการหลอมอาวุธก็ไม่ได้อ่อนแอเลย ถึงแม้ว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์เหล่านั้นจะสู้เขาไม่ได้ แต่ในแดนตะวันออกฝีมือของพวกเขาก็อยู่ในขั้นสูงสุด

หัวหน้าตำหนักเซียวกล่าว “ข้าส่งพวกเขาไปแล้ว”

เซียวโม่ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจขึ้น “อะไรนะ?”

“ครั้งนี้ข้ากลัวว่าจะมีอันตราย พวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ข้าก็เลยส่งพวกเขาไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว”

สีหน้าของเซียวโม่ซีดเผือดลง “แย่แล้ว!”

เซียวโม่ก็ร้อนอกร้อนใจดุจดั่งไฟสุมแล้ว แต่ตอนนี้ได้ตอบตกลงไปแล้ว และไม่สามารถกลับคำได้!

จากนั้น เขาก็มองไปที่มู่เฉียนซี

“เฉียนซี เกรงว่าต้องให้เจ้าลงมือแล้ว คนของตำหนักเซียวอวิ๋นของพวกข้าไม่อยู่ ชนะสองในสาม เกรงว่าจะมีเพียงแค่เราสองคนแล้วล่ะ ส่วนคนอื่นนั้นไม่ใช่ปัญหา”

มู่เฉียนซีกล่าว “เซียวโม่ ข้าเป็นนักปรุงยานะ!”

“แต่เจ้าก็เป็นนักหลอมอาวุธด้วยไม่ใช่เหรอ?”

“ฝีมือการหลอมอาวุธของข้าไม่ได้แข็งแกร่ง ไม่รู้ว่าจะเอาชนะได้หรือไม่”

“แต่ถึงกระนั้นเราก็ต้องสู้อย่างสุดชีวิตแล้ว คนที่เหลือเหล่านั้นเกรงว่าไม่มีผู้ใดสู้เจ้าได้”

มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นก็คงต้องเอาตามนี้แล้วล่ะ”

นางได้เรียนรู้การหลอมอาวุธในตอนนั้นก็เพื่อกระบี่มังกรเพลิง ตลอดเวลาที่ผ่านมานางเอาแต่ใจจดใจจ่อกับการปรุงยามาโดยตลอด ไม่ได้หลอมอาวุธมานานมากแล้ว

จื่อโยวกล่าว “คนงาม เจ้าไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไป หากแพ้แล้วพวกมันกล้าลงมือทำอะไรผลีผลาม ก็แค่ส่งพวกมันลงนรกก็เท่านั้น”

“อย่างไรเสีย หากพวกมันตายไปแล้ว ทำลายสัญญาก็ไม่เป็นไร!”

จู่ ๆ คนเหล่านั้นก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นราวกับถูกงูพิษจ้องจะเขมือบก็มิปาน

นี่เป็นแผนการที่ชั่วร้ายที่สุด มู่เฉียนซีคิดว่าหากสามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีการง่าย ๆ ได้ก็จะแก้ด้วยวิธีการง่าย ๆ

ทางฝ่ายสำนักต้าเหยี่ยนได้ส่งคนวัยหนุ่มที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญออกมาสามคน แต่ทางฝ่ายตำหนักเซียวอวิ๋นกลับค่อนข้างแปลกเล็กน้อย

“แม่นางมู่ ส่งแม่นางมู่ออกมาประลองหลอมอาวุธเนี่ยนะ เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่! นางเป็นนักปรุงยาจะไปหมอลอาวุธได้อย่างไรกัน!”

ผู้อาวุโสจ้าวกล่าว “หัวหน้าตำหนักเซียว นี่เป็นการประลองหลอมอาวุธนะ ไม่ใช่ประลองปรุงยา!”

มู่เฉียนซีเป็นอัจฉริยะนักปรุงยาอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก เหล่าผู้อาวุโสที่อายุมากแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่มีพรสวรรค์เทียบนางได้ พวกเขาไม่มีทางโง่เขลาเสนอประลองการปรุงยาออกมาแน่นอน

เซียวโม่กล่าว “ข้าไม่ได้หูหนวก! ข้าย่อมรู้แน่นอน”

“รู้ แต่เหตุใดยัง…” พวกเขามองไปที่มู่เฉียนซีด้วยความตกใจ

“หรือว่าแม่นางมู่ก็เป็นนักหลอมอาวุธด้วยอย่างนั้นเหรอ?”

“เป็นไปไม่ได้! นางฝึกฝนการปรุงยาจนถึงขั้นสูงเช่นนั้น ไม่มีทางมีเวลามาเรียนรู้การหลอมอาวุธแน่นอน!”

“ข้าดูท่าแล้วตำหนักเซียวอวิ๋นคงจะไม่มีคนมากกว่า ดังนั้นจึงส่งแม่นางมู่ออกมาเพื่อให้ครบคน!”

“อีกคนนึงดู ๆ แล้วก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก นี่ก็คงจะส่งออกมาให้ครบคนเหมือนกันสินะ”

มีคนคนหนึ่งเดินมารายงานผู้อาวุโสจ้าวว่า “ท่านผู้อาวุโสจ้าวขอรับ อัจฉริยะของตำหนักเซียวอวิ๋นถูกส่งตัวไปแล้ว การประลองครั้งนี้พวกเราต้องชนะแน่นอนขอรับ!”

ผู้อาวุโสจ้าวยิ้มพลางกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ดูท่าแล้วการประลองครั้งนี้ไม่มีข้อกังขาอะไรเลย เซียวโม่คนเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะด้วยซ้ำ”

แม้แต่ท่านหัวหน้าตำหนักเซียวเองในตอนนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาไม่เชื่อเหมือนกันว่ามู่เฉียนซีจะหลอมอาวุธได้ และต่อให้นางสามารถหลอมได้ ก็เกรงว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้

เซียวโม่กล่าว “จะประลองหลอมอาวุธไม่ใช่เหรอ ก็รีบเริ่มซะทีสิ!”

ผู้อาวุโสจ้าวกล่าว “ได้! เริ่ม!”

ผู้อาวุโสจ้าวส่งชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมา

และในตอนนี้มู่เฉียนซีเดินมาข้างกายหัวหน้าตำหนักเซียว และกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าตำหนักเซียว ไม่ทราบว่าที่นี่มีวัสดุหลอมอาวุธวิญญาณระดับสูงบ้างหรือไม่ ข้าอยากจะดูหน่อย”

นางใจจดใจจ่อกับการปรุงยามาโดยตลอด น้อยมากที่จะสนใจเรื่องการหลอมอาวุธ

ถึงแม้ว่านางจะเคยเรียนรู้ความรู้เข้าสมองมาบ้าง แต่นั่นก็ล้วนแต่เป็นการหลอมอาวุธวิญญาณระดับต่ำทั้งสิ้น

การหลอมอาวุธนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาไม่น้อย นางจึงรีบใช้โอกาสนี้เรียนรู้สักหน่อย หวังว่าสามารถคว้าโอกาสชนะมาได้

หัวหน้าตำหนักเซียวกล่าว “เจ้าหลอมอาวุธเป็นจริง ๆ เหรอ?”

มู่เฉียนซีกล่าว “เคยหลอมมาบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ท่านหัวหน้าตำหนักเซียวก็รู้ว่าข้าเป็นนักปรุงยา”

และนี่ก็ทำให้ผู้คนต่างก็ตกตะลึงมาก หัวหน้าตำหนักเซียวเอาตำราการหลอมอาวุธส่วนหนึ่งออกมาจากมิติ อีกทั้งยังบันทึกด้วยลายมือของเขาอีกด้วย

จนกระทั่งตอนนี้ สิ่งที่เขาเอาออกมาล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่อยู่ด้านล่างกล่อง เขาไม่ได้แอบซ่อนแต่อย่างใด

การประลองครั้งนี้เป็นการตัดสินชะตาของตำหนักเซียวอวิ๋นของพวกเขา เขาไม่มีทางอยากพ่ายแพ้แน่นอน

มู่อีจัดเตรียมที่นั่งนุ่ม ๆ ให้มู่เฉียนซี และมู่เฉียนซีก็เอนกายอ่านตำราการหลอมอาวุธเหล่านั้น

เซียวโม่กำลังอยู่ในการประลองที่ตึงเครียด ส่วนมู่เฉียนซีก็อ่านตำราอยู่เพียงผู้เดียวอย่างเงียบ ๆ

เมื่อคนอื่นเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น “เวลานี้แล้วนึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางมู่ยังมีจิตใจมานั่งเอนกายนั่งอ่านตำราเช่นนี้อีก”

ผู้ที่สายตาดีล้วนแต่มองเห็นว่ามู่เฉียนซีกำลังอ่านสิ่งใดอยู่

“นึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางมู่จะมานั่งอ่านตำราการหลอมอาวุธ นี่นางคงจะไม่มาเรียนรู้การหลอมอาวุธเอาตอนนี้หรอกกระมัง!”

“เวลาอันสั้นเช่นนี้จะเรียนรู้การหลอมอาวุธได้อย่างไรกัน! นางก็แค่ทำเรื่องที่มันไร้ประโยชน์ก็เท่านั้น”

“นั่นน่ะสิ คน ๆ เดียวมีพรสวรรค์ในการปรุงยาได้อย่างวิปริตเช่นนั้น การหลอมอาวุธไม่มีทางวิปริตไปได้แน่นอน”

ของล้ำค่าในกล่องของตำหนักเซียวอวิ๋น สำหรับมู่เฉียนซีแล้วช่วยเพิ่มฝีมือในการหลอมอาวุธให้นางได้เป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่า ทุกอย่างยังต้องดูสถานการณ์การประลองจริงด้วย

เซียวโม่สมกับเป็นนายน้อยแห่งตำหนักเซียวอวิ๋น ไม่ทำให้ตำหนักเซียวอวิ๋นผิดหวังเลยจริง ๆ เขาได้หลอมอาวุธวิญญาณระดับแปดขั้นสูงสุดออกมา

ส่วนฝ่ายตรงข้ามได้หลอมกระบี่ระดับแปดขั้นธรรมดาออกมาเท่านั้น และแน่นอนว่าต้องพ่ายแพ้ไป

ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้น ระดับแปดเหรอ เมื่อก่อนเขายังหลอมได้ไม่ถึงระดับนี้เลย

ทุกคนยิ้มพลางกล่าวว่า “พรสวรรค์ในการหลอมอาวุธของนายน้อยเซียวเก่งกาจยิ่งนัก ท่านหัวหน้าตำหนักเซียวอบรมมาได้ดีเยี่ยมจริง ๆ!”

ผู้อาวุโสจ้าวยิ้มเย้ยหยัน พรสวรรค์การหลอมอาวุธของเซียวโม่สูงส่งแล้วอย่างไร รอให้ตำหนักเซียวอวิ๋นไม่มีที่ยืนก่อนเถอะ

“คนต่อไป!”

การประลองสนามถัดมาเป็นศิษย์ธรรมดาผู้หนึ่งของตำหนักเซียวอวิ๋นลงประลอง เขาได้หลอมอาวุธระดับสามออกมา ดังนั้นจึงพ่ายแพ้ให้แก่คู่ตอ่สู้ที่หลอมอาวุธระดับแปด

สุดท้าย ก็มาถึงการลงประลองของมู่เฉียนซี

การประลองสองสนามได้ผ่านไปแล้ว มู่เฉียนซีได้อ่านตำราการหลอมอาวุธที่หัวหน้าตำหนักเซียวมอบให้นางจบพอดี และนางก็เดินไปด้วยท่าทางนิ่งสงบ

เนื่องจากการประลองครั้งนี้มีนักปรุงยาเข้าร่วมประลองด้วย ทุกคนจึงสนใจการประลองนี้เป็นอย่างมาก ทุกคนล้วนแต่รู้สึกว่านักปรุงยาอย่างมู่เฉียนซีผู้นี้นั้นไม่มีทางหลอมอาวุธออกมาได้สำเร็จแน่นอน

.

.