ตอนที่ 908 ความมั่งคั่งของตระกูลคิตะมิยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หลังจากเปิดประตูบานสุดท้ายแล้ว เบิร์นไซด์จึงมองเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า

“คุณเยี่ย คุณเข้าไปข้างในได้เพียงคนเดียวเท่านั้น และอยู่ในนั้นได้เพียงครึ่งชั่วโมง ขอให้คุณควบคุมเวลาให้ดีด้วยนะครับ!”

ถือว่าการทำงานของธนาคารยูบีเอสทำได้อย่างเต็มที่สุดๆ ซึ่งต่างจากธนาคารทั่วไปที่ต้องมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกรรมด้านตู้เซฟเข้าไปด้วย สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการรักษาความลับของลูกค้า ก็คือแม้แต่ตัวเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าลูกค้าเก็บอะไรไว้ในตู้เซฟกันแน่

แน่นอนว่านี่เป็นงานสำหรับลูกค้าระดับชั้นสูงบางรายเท่านั้น และจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อลูกค้ามีการเซ็นชื่อในสัญญารักษาความลับด้วยความสมัครใจ ไม่อย่างนั้นหากเจอลูกค้าขี้โกง บอกว่าของล้ำค่าที่เก็บไว้ในตู้เซฟของตัวเองหายไป อย่างนั้นทางธนาคารก็ยากที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้

แต่สำหรับตู้เซฟโค้ดเทียนจื้อจะไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้เลย เนื่องจากการสร้างที่ซับซ้อน ทำให้กุญแจของตู้เซฟแต่ละดอกไม่เหมือนใครในโลกใบนี้ แม้แต่ช่างที่ทำพวกมันขึ้นมาก็ไม่สามารถทำซ้ำได้ ดังนั้นของที่เก็บสะสมไว้ภายในนอก จากผู้ที่มีกุญแจแล้ว ใครก็ไม่สามารถแอบดูได้

ตอนที่พูดนั้น เบิร์นไซด์ได้ยื่นกระเป๋าเดินทางให้เยี่ยเทียนหนึ่งใบ ตอนนี้กระเป๋าเดินทางยังว่างอยู่ แต่ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะใส่อะไรเข้าไปในกระเป๋าเดินทางนี้ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ในการตรวจดู นี่จึงเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะของลูกค้าที่มีตู้เซฟโค้ดเทียนจื้อ

หลังจากลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงเห็นโถงทางเดินที่ทอดยาวยี่สิบเมตรเห็นจะได้ และจากการเดินเข้าไปของเขา ไฟเซ็นเซอร์อัตโนมัติที่อยู่บนทางเดินก็สว่างขึ้นมา ตามด้วยเสียงที่หนักอึ้งตามมาจากด้านหลัง นั่นก็คือประตูเหล็กหนาประมาณสองเมตรกว่าถูกปิดแล้ว

ถึงแม้มันจะอยู่ใต้ดิน แต่การติดตั้งการระบายอากาศของที่นี่กลับเหมาะสมเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนไม่รู้สึกหายใจอึดอัดเลยสักนิด นอกจากนี้ยังมีภาพวาดสีน้ำมันสีสันสดใสแขวนอยู่สองข้างของโถงทางเดิน จึงทำให้ความรู้สึกหดหู่ยามที่อยู่ในพื้นที่ปิดของคนเราลดลงไปมากพอสมควร

“ตึกๆ…”

เสียงฝีเท้าของเยี่ยเทียนดังสะท้อนไปมาในโถงทางเดิน หลังจากเดินเข้าไปข้างในได้สองสามก้าว เยี่ยเทียนก็พบ ว่า ระยะห่างทุกๆ สองเมตร จะมีประตูของตู้เซฟประมาณหนึ่งตารางเมตร หลายเลขบนประตูเริ่มจากสิบลดหลั่นลงไป และในระยะยี่สิบเมตรนี้ วางตู้เซฟได้เพียงแปดใบเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความล้ำค่าและหายากของตู้เซฟลักษณะนี้นั่นเอง

แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนแปลกใจก็คือ ตู้เซฟเหล่านี้ไม่มีที่เสียบกุญแจเลย นอกจากหน้าจอแสกนขนาดเท่าฝ่ามือที่เหมือนแผ่นเหล็กชิ้นหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดปล่อยพลังจิตเพื่อเข้าไปสำรวจไม่ได้

“ตู้เซฟพวกนี้ทำมาจากวัสดุอะไรกัน?”

หลังจากเข้ามาในธนาคารยูบีเอสแล้ว เยี่ยเทียนเพิ่งจะแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเป็นครั้งแรก เพราะเขาพบว่าพลังจิตของตัวเองไม่สามารถตรวจสอบตู้เซฟเหล่านั้นได้ และดูเหมือนว่าในตู้เซฟพวกนี้ จะมีวัสดุบางอย่างที่สามารถสกัดกั้นการตรวจสอบของพลังจิตได้

นี่จึงทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ เพราะหลังจากที่ตัวเองเกิดพลังจิตแล้ว ไม่ว่าวัตถุโลหะที่มีความหนาและละเอียดสูงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานจากพลังจิตของเขาได้ นอกจากสถานที่ที่ถูกปราณวิเศษปกคลุมแล้ว เหตุการณ์ที่พลังจิตไม่สามารถตรวจสอบได้ เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

“หรือว่าตู้เซฟพวกนี้จะหลอมจากอุกาบาตนอกโลก?”

เมื่อเอามือไปแตะที่ประตูของตู้เซฟ เยี่ยเทียนจึงใช้พลังสัมผัสอย่างละเอียด หลังจากสองสามนาทีผ่านไป เขาจึงเอามือออกพลางครุ่นคิด

จากการตรวจสอบเมื่อครู่เยี่ยเทียนพบว่า มีโลหะชนิดพิเศษที่ผสมอยู่ในตู้เซฟนี้ และโลหะชนิดนี้ดูเหมือนจะมีส่วนผสมของปราณวิเศษที่ไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้ ถึงแม้จะมีปริมาณที่น้อย แต่ด้านคุณภาพนั้นสูงมาก เมื่อพลังจิตของเยี่ยเทียนไปสัมผัส ก็สลายลงเหมือนหิมะที่ละลายในฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางแสงแดดจ้า

“ตัวเองเป็นเหมือนกบในกะลาจริงๆ เพราะบนโลกนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ตัวเองยังไม่รู้”

พลางนึกถึงเรื่องที่พูดกับโจวเซี่ยวเทียนว่าจะปล้นอย่างไรก่อนหน้านั้น แล้วเยี่ยเทียนก็อดหัวเราะเยาะตัวเองขึ้น มาไม่ได้ ปีที่แล้วเขาเห็นอุกาบาตขนาดเท่าฝ่ามือที่พ่อเก็บสะสมเอาไว้ ไม่คิดว่าในตู้เซฟของที่นี่ ล้วนใส่ลูกอุกาบาตลงไปทั้งหมด

จากนั้นจึงส่ายหน้าเดินมาถึงหน้าตู้เซฟหมายเลขสาม เยี่ยเทียนหยิบกุญแจดอกนั้นออกมา วัสดุของกุญแจดอกนี้มีความพิเศษเป็นอย่างมาก มีแม่เหล็กติดอยู่บนนั้น แม้ว่าจะผ่านไปนานกว่าครึ่งศตวรรษแล้วก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม

ตอนที่กุญแจสแกนผ่านตู้เซฟ เสียง “ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” ก็ดังขึ้นมา พอสแกนผ่านหน้าจอแล้ว แผ่นเหล็กที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งรอยต่อใดๆ ก็เลื่อนขึ้นมาข้างบนแล้วแยกออกประมาณสามนิ้ว จากนั้นรูเสียบกุญแจช่องเล็กๆ ก็ปรากฏออกมา

“เมื่อครึ่งศตวรรษก่อนก็มีเทคโนโลยีแบบนี้ด้วยเหรอ?”

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า เยี่ยเทียนถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง ตอนที่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนั้น ก็ยังคิดว่าเทคโนโลยีแบบนี้เป็นเทคโนลยีที่ก้าวหน้าทันสมัยมากๆ ไม่คิดว่าการเซ็นเซอร์ผ่านแม่เหล็ก ได้ถูกธนาคารยูบีเอสใช้เมื่อครึ่งศตวรรษก่อนแล้ว

หลังจากนำกุญแจเสียบเข้าไปในรูที่สมบูรณ์แบบพอดีแล้ว เยี่ยเทียนไม่จำเป็นต้องออกแรงบิดกุญแจดอกนั้นเลยด้วยซ้ำ ทันใดนั้นมันก็หมุนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

หลังจากหมุนไปได้ประมาณสามสี่รอบ ก็ได้ยินเสียง “กรึก” เบาๆ แล้วประตูตู้เซฟที่ถูกปิดมานานกว่าครึ่งศต วรรษก็เปิดออก ไม่มีเสียงตะกุกตะกักเลยสักนิด ราวกับว่าเพิ่งจะถูกปิดไปเมื่อวาน

“ช่างเป็นงานฝีมือที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

เยี่ยเทียนอดถอนหายใจไม่ได้ เนื่องจากธนาคารยูบีเอสมีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือชั้นกว่าอุตสาหกรรมธนาคารของโลก ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะนอกจากอุปกรณ์การติดตั้งพวกซอฟต์แวร์และบริการต่างๆ แล้ว จุดแข็งของพวกเขาก็ยากที่ธนาคารอื่นๆ จะเทียบได้

“ไม่รู้ว่าตระกูลคิตะมิยะของญี่ปุ่นจะเก็บของอะไรไว้?”

เมื่อดูประตูตู้เซฟเด้งออกมาแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนจึงเต็มไปด้วยการรอคอยอย่างเปี่ยมล้น ในปีนั้นคิตะมิยะ มาซาทาเกะที่มีอำนาจในตระกูลคิตะมิยะได้เป็นผู้บังคับบัญชาระดับกองทหารในพม่า ตอนนั้นทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่ถูกปล้นขโมยไปจากพม่า ก็ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของตระกูลคิตะมิยะ

แต่หลังจากที่ตะมิยะ มาซาทาเกะเสียชีวิตลง ก็เหลือเพียงทองคำบางส่วนที่อยู่ในตระกูล และเพชรนิลจินดาที่มีค่ากว่านั้นรวมทั้งโฉนดที่ดินที่อยู่ในญี่ปุ่นก็หายไป จึงทำให้ตระกูลคิตะมิยะต้องหยุดการทำสงครามลง หลังจากครึ่งศตวรรษผ่านไป ก็ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลญี่ปุ่นเหมือนในตอนนั้นอีกเลย

ตอนนั้นคิตะมิยะ ฮิเดโอะเข้ามาที่พม่าหลายครั้ง กระทั่งลงทุนเงินก้อนยักษ์สร้างโรงแรมห้าดาวที่นั่น ก็เพื่อตามหากุญแจและหลักฐานที่คิตะมิยะ มาซาทาเกะทิ้งเอาไว้ เพื่อที่จะสามารถเปิดตู้เซฟที่มาซาทาเกะหลงเหลือเอาไว้ และกอบกู้ตระกูลให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง

เพียงแต่สวรรค์นั้นชอบล้อเล่นกับโชคชะตาของมนุษย์ ตู้เซฟที่ถูกปิดมานานกว่าครึ่งศตวรรษนี้ได้เปิดออกแล้ว แต่คนที่ได้รับผลประโยชน์ กลับเป็นเยี่ยเทียนที่คนเก่งฝีมือดีมากมายของตระกูลคิตะมิยะก็ไม่สามารถต่อสู้ได้ ถ้าหากฮิเดโอะที่อยู่ในปรโลกรู้เข้า ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร?

พลางส่ายหน้า จากนั้นเยี่ยเทียนก็ยื่นมือไปเปิดตู้เซฟออก สิ่งของที่ผู้บัญชากองทหารที่อยู่ในพม่าเก็บสะสมเอาไว้ตอนนั้นคืออะไร เขาเองก็สงสัยมากเช่นกัน

“หืม? นี่คืออะไร?”

หลังจากที่เปิดตู้เซฟออกและยังไม่ทันได้ปล่อยพลังจิตเข้าไปตรวจสอบ ปราณวิเศษกลุ่มหนึ่งก็ลอยมาปะทะใบ หน้าของเขา ต่อให้ไม่มีการสัมผัสของพลังปราณชีวิต เยี่ยเทียนก็รู้ว่าของที่อยู่ในนั้นจะต้องเป็นสิ่งของของผู้บำเพ็ญเพียรแน่นอน

“แปลกจัง วันนี้เจอสิ่งของที่ไม่สามารถใช้พลังจิตตรวจสอบได้อีกแล้ว?”

เยี่ยเทียนไม่ได้รีบร้อนตรวจดูของที่มีปราณวิเศษเอ่อล้นออกมาข้างนอกไม่ขาดสาย แต่กลับใช้พลังจิตตรวจสอบตู้เซฟที่มีขนาดหนึ่งตารางเมตรทั้งหมดก่อน และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ ตรงมุมหนึ่งที่อยู่ในตู้เซฟนั้น มีกล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง ที่สามารถสกัดกั้นการตรวจสอบจากพลังจิตของเขา

“คิตะมิยะ มาซาทาเกะน่าจะนับถือศาสนาพุทธใช่ไหม?”

เยี่ยเทียนมองดูสิ่งของที่อยู่ในตู้เซฟ แล้วจึงอดสบถด่าไม่ได้

“บัดซบเอ้ย ไอ้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังไปฆ่าปล้นชิงทรัพย์คนมากมาย หลังจากตายไปไม่กลัวตกนรกขุมที่สิบแปดหรือไง!”

ในตู้เซฟนี้มีพระพุทธรูปทองคำขนาดต่างๆ เรียงกันสิบแปดองค์ องค์ใหญ่สุดมีขนาดประมาณยี่สิบเซ็นติเมตร องค์เล็กสุดมีขนาดประมาณเท่าฝ่ามือ ซึ่งทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด

พระเกตุมาลาที่อยู่บนนั้นยังฝังด้วยเพชรพลอยหลากสี ภายใต้การส่องของแสงไฟ สะท้อนให้เห็นแสงแวววาวระยิบระยับ ขับให้พระพุทธรูปเหล่านั้นดูเคร่งขรึมและมีปริศนาซ่อนเร้นขึ้นมา

“เพชรหรือ? เจ้านี่มีราคาสูงไม่ธรรมดา!”

เยี่ยเทียนนับถือลัทธิเต๋า เขาไม่เชื่อในพระพุทธศาสนา หลังจากกวาดพระพุทธรูปพวกนั้นไปกองรวมกันอีกฝั่งแล้ว ถุงเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือเจ็ดแปดถุงที่ห่อด้วยผ้าแพรไหมอยางดี ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา พอเปิดออกดู เพชรที่แพรวพราวมากกว่าพระพุทธรูป ก็ได้ปรากฏต่อหน้าเยี่ยเทียน

“เชอะ ผู้บัญชากองทหารของพม่ายังเป็นผู้บัญชากองทหารของแอฟริกาใต้ด้วยเหรอ?”

แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีทรัพย์สินมั่งคั่ง แต่เมื่อเห็นเพชรเหล่านี้แล้วก็ยังต้องอ้าปากค้าง เพชรที่อยู่ในถุงทั้งแปดถุงนั้น มีเพชรร่วงอยู่ในนั้นสี่ถุง ขนาดเม็ดเล็กที่สุดก็ยังมีน้ำหนักสามสิบกะรัตขึ้นไป และถึงแม้จะไม่ได้ผ่านการเจียระไน มันก็ยังคงส่องแสงประกายแวววาวออกมา

เพชรที่ผ่านการเจียระไนพวกนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งสวย ประกายแสงก็เล่นไฟกำลังดี นอกจากนี้ฝีมือการเจียระไนก็ยังสูงมาก แม้แต่เยี่ยเทียนที่เป็นคนนอกวงการ มองแล้วก็ยังอึ้ง

“แค่เพชรพวกนี้น่าจะมีราคามากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์แล้ว” เยี่ยเทียนลองคาดคะเนราคาของเพชรคร่าวๆ ถ้าหากเอาไปให้พ่อค้าเพชรพลอยเจียระไนเพิ่มอีกหน่อย บางทีราคาอาจจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าก็เป็นไปได้

และยังมีพระพุทธรูปเหล่านั้น ที่ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่สูงเกือบครึ่งหนึ่งของคน ก็ต้องใช้ทองคำหนึ่งร้อยชั่งเป็นอย่างน้อยถึงจะทำออกมาได้ และพระพุทธรูปสิบแปดองค์ก็น่าจะมีน้ำหนักไม่เกินหนึ่งตัน แต่ก็มีมูลค่าหลายร้อยล้านหยวน

ส่วนโฉนดที่ดินที่อยู่ในตู้เซฟ ไม่สามารถใช้ราคามาประเมินได้ เพราะโฉนดที่ดินเหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันที่ดินที่อยู่ในญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในเมืองโตเกียวและโอซาก้าเสียส่วนใหญ่ ในแง่ของราคาที่ดินที่อยู่โซนนั้น ถือว่าเป็นราคาสวรรค์ชั้นฟ้าเลยทีเดียว

เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าโฉนดที่ดินเหล่านี้จะมีผลทางกฎหมายอยู่หรือไม่ ถ้าหากรัฐบาลท้องถิ่นของญี่ปุ่นไม่ยอมรับ อย่างนั้นพวกมันก็เป็นแค่เศษกระดาษกองหนึ่งเท่านั้น

หลังจากครุ่นคิดแล้ว เยี่ยเทียนจึงนำโฉนดที่ดินกับเพชรทั้งแปดถุงใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง ส่วนพระพุทธรูปทอง คำนั้น เยี่ยเทียนไม่ค่อยสนใจ เพราะเล็กไปก็ไม่มีมูลค่าเท่าไร อันที่ใหญ่ไปเขาก็ย้ายไม่ไหว สู้เก็บไว้ที่นี่เหมือนเดิมดีกว่า

……………………..