ตอนที่ 909 ประหลาดใจ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

สำหรับเยี่ยเทียนแล้วของที่สามารถใช้เงินซื้อมาได้ไม่มีแรงดึงดูดใดๆ ต่อเขาเลย ถ้าหากไม่เห็นว่าถุงเพชรพวกนั้นพกพาสะดวก เกรงว่าเขาก็คงทิ้งให้อยู่ในตู้เซฟเหมือนเดิม

นอกจากพระพุทธรูปทองคำกับเพชรแล้ว ภายในยังมีหยกที่หายากจำนวนไม่น้อย บางอันแดงเหมือนเลือด บางอันเขียวบริสุทธิ์น้ำงาม ล้วนเป็นของดีที่หายากมากๆ ดังนั้นเยี่ยเทียนก็ไม่เกรงใจ เก็บทั้งหมดใส่ในกระเป๋า

“ดูสิว่าไอ้สิ่งนี้มันคืออะไรกัน?”

หลังจากจัดการของส่วนใหญ่ในตู้เซฟเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงย้ายสายตามองไปที่กล่องที่ทำจากคริสตัลสีแดง เนื่องจากสีสันอันสวยงามกับปราณวิเศษที่แผ่กระจายออกมาจากในกล่องนั้น แต่เยี่ยเทียนกลับไม่สามารถมองออกว่ามีอะไรอยู่ในนั้นได้ด้วยตาเปล่า

“หืม? ของสิ่งนี้ดูแปลกๆนะ? หรือจะมีของขลังของศาสนาพุทธอยู่ข้างใน?”

พอยื่นมือไปจับกล่องคริสตัลใบนั้น ปราณวิเศษที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ ก็ล้นเอ่อเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียนทันที ปราณวิเศษแบบนี้มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นอย่างมาก เหมือนกับมีพลังแห่งความศรัทธาที่มีผลกระทบต่อจิตใจของ ทำให้เยี่ยเทียนอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

บนโลกใบนี้นอกจากนักพรตเต๋าแล้ว ก็ยังมีผู้ที่ฝึกตนทางด้านพระพุทธศาสนา ลัทธิเต๋าพูดในเรื่องการดับขันธ์เป็นเซียน ส่วนศาสนาพุทธนั้นพูดในเรื่องการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทั้งสองอย่างนี้ถึงแม้จะวิธีการฝึกที่ไม่เหมือนกัน แต่ก็มีเป้า หมายเดียวกัน พวกเขาล้วนแต่ค้นหาขีดจำกัดเหนือมนุษย์ เพื่อสัมผัสกฎเวียนว่ายแห่งสัจธรรมฟ้า

แต่ลัทธิเต๋ากับศาสนาพุทธนั้นก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ นั่นก็คือนักพรตเต๋าไม่หลีกเลี่ยงทางแห่งโลก แต่ฝึกจิตด้วยการเรียนรู้ความทุกข์ยากลำบากในโลกมนุษย์ โดยขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของตัวเองมากกว่า

แต่พระพุทธศาสนานั้นไม่เหมือนกัน ในขณะที่พวกเขาฝึกบำเพ็ญเพียรไปด้วย ก็ยังอาศัยพลังจากปัจจัยภายนอก เผยแพร่พระพุทธศาสนาให้แก่ผู้คนเพื่อรับพุทธศาสนิกชน เนื่องจากการกราบไหว้และเคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนนั้น จะกลายเป็นพลังแห่งความศรัทธาอย่างหนึ่ง พระที่มีสมณศักดิ์สูง ก็จะใช้พลังเช่นนี้ในการฝึกบำเพ็ญเพียรของตัวเอง

เยี่ยเทียนได้รับพลังศรัทธาจากปราณวิเศษที่อยู่ในนี้ ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าของที่อยู่ในกล่องคริสตัลนี้จะเป็นของขลังอย่างหนึ่ง พร้อมกับในใจที่เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ตอนนั้นเขากับอาจารย์หลี่ซั่นหยวนต่างก็เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วยุทธภพ แต่ก็ยังไม่เคยเจอของใช้ของศาสนาพุทธที่มีปราณวิเศษเข้มข้นถึงเพียงนี้

“เอ๊ะ นี่มันคืออะไร?”

หลังจากเยี่ยเทียนเปิดกล่องคริสตัลที่มีขนาดเท่าฝ่ามือเด็กออกมา เขาพลันนิ่งอึ้งไปทั้งตัว เพราะของที่อยู่ข้างในไม่ใช่สิ่งของเครื่องใช้ในพระพุทธศาสนา แต่เป็นวัตถุสีขาวสว่าง ตรงกลางกลวงเหมือนวงแหวน

สมองของเยี่ยเทียนพลันเกิดประกายแวบหนึ่ง แล้วจึงพูดโพล่งออกมาว่า

“พระบรมสารีริกธาตุ?!”

สิ่งที่เรียกว่าพระธาตุนั้น หมายถึงโบราณวัตถุที่ได้หลังจากการเผาศพของพระศากยมุนีของพระพุทธศาสนา พระธาตุกระดูกมีสีขาว พระธาตุเกศามีสำดำ พระธาตุเนื้อเป็นสีแดง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของ “ความเป็นอมตะของพระ พุทธศาสนา” ซึ่งเต็มไปด้วยมนต์ขลัง ทำให้พระบรมสารีริกธาตุกลายเป็นวัตถุมงคลที่ตกทอดในทางพระพุทธศาสนา

พระบรมสารีริกธาตุถูกนำเข้าสู่ประเทศจีนในรัชสมัยราชวงศ์ถัง โดยจักรพรรดิทั้งหกแห่งราชวงศ์ถังเคยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ โดยจะจัดทหารรักษาพระองค์พร้อมคทาอาวุธเพื่อนำไปสักการะบูชาที่พระอุโบสถ นอกจากนี้ยังไม่ใช้ในพิธีทางศาสนาแบบทั่วไป แต่ใช้ในพิธีใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาของราชวงศ์ถัง

แม้ว่าในยุคปัจจุบัน พระบรมสารีริกธาตุก็ยังมีพุทธสาวกนับพันอยู่ และตอนนี้มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธ เจ้าทั้งหมดสี่ชิ้นที่ปรากฏอยู่ในโลกใบนี้ และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบจาก “วัดฝ่าเหมิน”

วันที่ 10 เดือนพฤษภาคม ปีคริสต์ศักราช 1987 เจ้าหน้าที่โบราณคดีได้เปิดกล่องเหล็กที่อยู่ในเจดีย์หินอ่อนสีขาวซึ่งอยู่ห้องใต้ดินของวัดฝ่าเหมิน

หลังจากเปิดฝาหนาๆ ออกมาแล้ว ในกล่องเหล็กก็มีกล่องไม้อยู่หนึ่งอัน ซึ่งผุพังถูกดินโคลนสีเหลืองและแดงเกาะแน่นอยู่ในกล่องเหล็ก มีวัตถุทรงกลมอยู่ด้านล่างของกล่อง ไม่สามารถตรวจสอบได้ชัดเจน เมื่อเปิดกล่องไม้ หยิบผ้าสีออก มาจากในกล่อง มีทั้งหมดเก้าชั้นซึ่งแต่ละชั้นจะมีสีสันที่ไม่เหมือนกัน หลังจากดึงผ้าสีชั้นสุดท้ายออกแล้ว จึงพบโลงชุบเงินใบหนึ่ง

โลงชุบเงินเหมือนกับโลงไม้ ด้านหน้าสุดคือการแกะสลักมงกุฎดอกไม้หลากสี ตรงกลางมีหงส์หางยาวทั้งสองตัว กำลังบินเคียงข้างกัน และส่วนท้ายสุดคือลายก้อนเมฆที่ลอยอยู่ด้านบน

ด้านหน้าสุดของแผ่นเงินมีประตูเล็กสวยวิจิตรตระการตาสองบานเปิดอยู่ตรงกลาง มีกุญแจทองเล็กน่ารักแขวนอยู่ บานประตูทั้งสองข้างมีตะปูทองขนาดเล็กเก้าชิ้นเรียงกันเป็นสามแถว ด้านบนของประตูแกะสลักรูปเด็กถือธง โดยมีก้อนเมฆหลากสีอยู่เหนือศีรษะของเด็กน้อย

ด้านหลังของแผ่นเหล็กแกะสลักรูปสิงโตขนทองหนึ่งคู่ แผ่นโลงด้านซ้ายขวาของตัวโลงสีเงิน มีรูปแกะสลักของเทพอะอุนหรือเทพทวารบาลที่คอยปกปักษ์รักษาโลงสีเงิน มือซ้ายถือดาบ มือขวาถือขวาน ซึ่งโลงศพเล็กๆ สีเงินนี้วางอยู่เหนือเตียงทองคำลายสลักอันหนึ่ง

และพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นที่ตื่นตาของคนทั่วโลก ก็ถูกซ่อนอยู่ในโลงศพเงินอันนี้

ไม่เพียงเท่านี้ ภายหลังจากการขุดค้น ทำให้พบพระบรมสารีริกธาตุอีกสามองค์ เมื่อผ่านการตรวจสอบจากพุทธสมาคมโลกแล้ว พระบรมสารีริกธาตุทั้งสามองค์นี้ล้วนเป็นของจริง และด้วยเหตุนี้วัดฝ่าเหมินจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการสักการะบูชาของโลก

“นี่น่าจะเป็นนิ้วของพระบรมสารีริกธาตุ ไม่คิดว่าหลังจากที่พระศากยะมุนีจะเสียไปแล้ว ยังหลงเหลือกระดูกที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ได้อีก…”

เยี่ยเทียนไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในสายตาของพุทธศาสนิกชนอยู่แล้ว

ในสายตาของเขา พระศากยมุนีน่าจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรคนหนึ่ง และเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาขึ้นมาด้วยตัวเอง ส่วนวิธีการฝึกนั้น เยี่ยเทียนก็เดาไม่ออก ทว่าแค่อาศัยการมรณภาพของของพระศากยมุนี้เพียงอย่างเดียวและหลงเหลือกระดูกนิ้วมือได้แบบนี้ คาดว่าวรยุทธน่าจะอยู่ในระดับจินตันขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ไม่แน่จะมีพลังระดับอาณาจักรก่อตั้งวิญญาณก็เป็นได้

“เต๋าแตกต่างมิอาจร่วมทาง เพราะพลังแห่งความศรัทธามาจากปัจจัยภายนอก อีกทั้งตัวเองก็ไม่ได้เชื่อในพระ พุทธเจ้า ต่อไปเกรงว่าคงไม่มีใครมาจุดธูปบูชาให้ตัวเองหรอก!”

พลางส่ายหน้า จากนั้นเยี่ยเทียนจึงเก็บพระบรมสารีริกธาตุข้อนิ้วกลับเข้าไปในกล่องคริสตัล พระบรมสารีริกธาตุสำหรับชาวพุทธ ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และล้ำค่ามาก ถ้าหากผู้ที่ร่ำเรียนและฝึกตนด้านพระพุทธศาสนาได้กราบไหว้ทุกวัน ก็จะได้ดูดซับปราณวิเศษที่อยู่ในนั้น ไม่แน่อาจจะสำเร็จเป็นอรหันต์ก็เป็นได้

แต่สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว ของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ถึงแม้พลังแห่งความศรัทธานั้นจะดี แต่สุดท้ายก็ต้องเกิดจากการกราบไหว้ด้วยความจริงใจของมนุษย์ถึงจะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งก็เหมือนกับสำนวนที่ว่าหากทุกบ้านทำความดีมากก็จะได้บุญมากเช่นกัน ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อเยี่ยเทียนเลย และเขาก็ไม่อยากละทิ้งเต๋าเพื่อเข้าหาพุทธ ดังนั้นเจ้าสิ่งนี้จึงไม่มีค่าอะไรเลย

พลางถอนหายใจ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้นำกล่องคริสตัลใส่ไปในตู้ แต่กลับเก็บไว้กับตัว เพราะหากเทียบกับของที่อยู่ในตู้แล้ว พระบรมสารีริกธาตุนี้มีมูลค่ามากกว่า และเกรงว่าหากนำของทั้งหมดมารวมกันแล้ว ก็ยังมีคุณค่าไม่เท่ามันเลย

“ยังมีของอีกหนึ่งอย่าง วัสดุไม้อันนี้ดูพิเศษมากนะ สงสัยตัวที่สกัดกั้นปราณวิเศษของฉันก็น่าจะเป็นมัน!”

หลังจากเก็บพระบรมสารีริกธาตุแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบกล่องที่อยู่ด้านในสุดของตู้เซฟออกมา พอเอามือจับเข้าไปก็อดตกตะลึงไม่ได้ เพราะว่ากล่องนี้มีความเบามาก เหมือนไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด แต่เยี่ยเทียนลองใช้แรงบีบ กล่องที่ดูเหมือนจะทำจากไม้กลับไม่ขยับเลยสักนิด กระทั่งไม่ปรากฏแม้แต่รอยนิ้วมือ

เยี่ยเทียนมีวรยุทธระดับไหนกัน แค่เขาขยำ แม้แต่เหล็กกล้าก็ยังกลายเป็นผุยผง แต่กล่องใบนี้กลับไม่ได้รับความเสียหายเลยสักนิด และจากจุดนี้จึงถือว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ

“หืม? นี่…นี่คือ ‘ทุยเป้ยถู’ หน้าสุดท้ายที่ขาดไป!”

ตอนที่เยี่ยเทียนเปิดกล่องไม้นั่น ดวงตาของเขาพลันมองเห็นของที่อยู่ด้านใน ทำให้เขายืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่เหมือนหุ่น

สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้นี้ มีพียงกระดาษที่จะเหมือนทองก็ไม่ใช่หยกก็ไม่เชิงใบหนึ่ง บนนั้นเขียนคำว่า “ทุยเป้ยถู” สามคำนี้อย่างชัดเจน และจากพลังปราณชีวิตที่ปล่อยออกมาจากกระดาษใบนั้นทำให้เยี่ยเทียนเชื่อมั่นว่า นี่คือส่วนสุดท้ายของ “ทุยเป้ยถู” ที่เขาได้มา ซึ่งก็เป็นหน้าปกของทุยเป้ยถูด้วย

แน่นอนว่า หลังจากที่ภาพทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว สิ่งที่เรียกว่า “ทุยเป้ยถู” จึงทำให้เกิดการเบี่ยงเบนของบันทึกทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้ โดยเฉพาะหน้าสุดท้ายที่มีคำว่า “ตาย” ตอน นี้เยี่ยเทียนนึกๆ ดูแล้วก็ยังหวาดผวาอยู่ดี

“ถ้าตัวเองนำหน้าปกนี้กลับไป ก็เท่ากับรวบรวมทุยเป้ยถูครบแล้ว จากนั้นก็สามารถค้นพบความลับที่อยู่ในนั้นได้ใหม่อีกครั้งใช่ไหม?”

เมื่อคิดได้ดังนี้ เยี่ยเทียนจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความลับที่ปรากฏออกมาจากส่วนที่ขาดตอนของ “ทุยเป้ยถู” หรือว่าความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนก็ตาม ล้วนแต่ทำให้เยี่ยเทียนหัวใจเต้นเร็วขึ้น เพราะเขารอคอยเป็นอย่างมากที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ส่วนที่ขาดหายไปมารวมตัวกัน

“กลับไป ต้องรีบกลับไป!”

เวลานี้ในหัวของเยี่ยเทียนมีความคิดนี้เพียงอย่างเดียว หลังจากที่ตรวจสอบตู้เซฟอย่างลวกๆ อีกหนึ่งรอบแล้ว ก็ไม่เห็นสิ่งของอะไรที่ดึงดูดเขาได้อีก เยี่ยเทียนจึงปิดล็อกกระเป๋าเดินทาง แล้วจึงปิดตู้เซฟ

“กรึบ…กรึบ!”

หลังจากตู้เซฟปิดสนิทแล้ว กุญแจที่เสียบอยู่ในรูก็หมุนเองโดยอัตโนมัติ หลังจากเสียง “กรึบ” ดังขึ้น กุญแจก็เด้งออกมาเอง จากนั้นตู้เซฟก็ปิดสนิทอย่างสมบูรณ์

“ต่อให้เป็นคนในยุคนี้ เกรงว่าคงยากที่จะทำงานฝีมือแบบนี้ออกมาได้?”

เยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบกุญแจออกมา ลากกระเป๋าเดินทางออกไปข้างนอก เมื่อเดินมาถึงด้านหลังประตูใหญ่ที่ตัวเองเดินเข้ามานั้น การเดินออกไปง่ายกว่าการเปิดประตูจากด้านนอกเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนแค่จับลูกบิดกลมๆ หมุนไปทางขวาสามรอบ แล้วประตูใหญ่ที่หนาเกือบสองสามเมตร ก็เปิดออกจากด้านในอย่างไร้สุ้มเสียง

การติดตั้งอุปกรณ์แบบนี้ในธนาคารไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก ถ้าหากไม่มีการช่วยเหลือของฝั่งธนาคาร ประตูบานใหญ่ก็ไม่สามารถถูกเปิดจากด้านนอกได้ ซึ่งก็หมายความว่า คนที่มีกุญแจเท่านั้นถึงจะเข้าไปข้างในได้แน่นอน และในฐานะลูกค้า พวกเขาจึงมีสิทธิ์ออกมาก่อนเป็นธรรมดา

“คุณเยี่ย คุณออกมาแล้ว?”

เบิร์นไซด์ที่รออยู่ด้านนอกตลอดพูดประโยคที่ไม่น่าจะพูดเลย แล้วสายตาก็มองกระเป๋าเดินทางที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนอย่างอดใจไม่ได้ เพราะเขารู้ว่า คนที่สามารถเก็บของไว้ในตู้เซฟเหล่านี้ได้ ไม่ว่าหยิบของชิ้นใดออกมาล้วนแต่เป็นที่น่าตื่นตะลึงไปทั่วโลก

“ครับ ไปกันเถอะ ผมต้องกลับแล้ว!”

เยี่ยเทียนพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ แต่แท้จริงแล้วในใจกลับเบิกบาน เพราะเขาคาดไม่ถึงว่า หน้าที่ขาดหายไปของ “ทุยเป้ยถู”ที่ตัวเองคิดมาตลอดทั้งวันทั้งคืน จะมาอยู่ในมือได้อย่างง่ายดาย ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนไม่เป็นความจริงอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากเดินผ่านประตูใหญ่ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา เยี่ยเทียนกับเบิร์นไซด์จึงกลับมาที่ห้องรับรองแขกของธนาคาร ครั้งนี้เจอโรมประธานกรรมการของธนาคารยูบีเอสก็ไม่อยู่แล้ว

แต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า ชายชราผมขาวคนนั้นกำลังเดินวนไปมาอยู่ในออฟฟิศหลายรอบเพื่อกดทับความปรารถ นาของตัวเอง เพราะเขากลัวว่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง จะถามเยี่ยเทียนเรื่องตู้เซฟขึ้นมา!

“อาจารย์ หาของเจอแล้วเหรอครับ?”

คนอื่นๆ ไม่สามารถมองออกถึงความตื่นเต้นที่อยู่ในใจของเยี่ยเทียน แต่โจวเซี่ยวเทียนนั้นมองปราดเดียวก็รู้แล้ว

…………………………..