บทที่ 1259 นอกประตู!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ความว่างเปล่าคืออะไร

คนมากมายล้วนรับรู้ แต่ผู้ที่มองเห็นและสัมผัสได้อย่างแท้จริงนั้นกลับมีไม่มาก

ความว่างเปล่าไม่ใช่ไม่มีอะไร แต่ก็ไม่ใช่ความพร่าเลือน ยิ่งไม่ใช่ภาพมายา

ความว่างเปล่าคือชั้นล่างสุดของอวกาศ ในแง่หนึ่งกล่าวได้ว่าเป็นชั้นกำแพงกั้น เพียงแต่กำแพงกั้นนี้ใหญ่ยิ่งนัก ถึงขนาดที่หลังจากก้าวเข้าไปแล้วล้วนมองไม่เห็นสิ่งใด

แต่มองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่าไม่มี

สิ่งที่อยู่ที่นี่คือความทรงจำของสรรพสิ่ง สามารถเปรียบเทียบได้กับมหาสมุทรที่รวบรวมสติสัมปชัญญะ ที่แห่งนี้…ในทางหลักการแล้ว สามารถมองเห็นชีวิตของวิญญาณที่เคยมีอยู่ทุกตนได้ เพียงแต่จำกัดให้แค่คนตาย ส่วนคนเป็นนั้น ยามอยู่ที่นี่จะมองไม่เห็น เว้นแต่ตัวเองมองตัวเองเท่านั้น

แต่ก็เป็นเพียงแค่หลักการ เพราะความทรงจำในที่แห่งนี้มีมากมายเหลือเกิน แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถทนรับการหลอมรวมของความทรงจำกันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ได้ ดังนั้นย่อมผลักไสมันไปตามสัญชาตญาณเป็นธรรมดา เพราะอย่างนั้น…จึงมองเห็นและรับรู้ว่าภายในความว่างเปล่าไม่มีอะไร

นี่คือการป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ

แต่เฉินชิงจื่อนั้นแตกต่าง เขาไม่รู้ว่าพลังฝึกปรือของตนเองตอนนี้อยู่ระดับไหนกันแน่ แต่เขารู้ว่า…ในความว่างเปล่าแห่งนี้ ถ้าหากตนต้องการ ก็สามารถมองดูความทรงจำของสรรพสิ่งได้

เหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะเขาไม่อยากจะสิ้นเปลืองความคิดจิตใจ ไม่อยากจะไปดูชีวิตของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ที่นี่ไม่มีร่องรอยของเว่ยยางจื่อ

และเรื่องนี้…ได้พิสูจน์การคาดเดาของเขาแล้ว

เว่ยยางจื่อ ความจริงนั้น…ยังไม่ตาย

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกเช่นกัน เพราะเฉินชิงจื่อรับรู้แผนการของเว่ยยางจื่อแล้ว นี่คืออุบาย ถึงแม้เขาจะรู้ แต่ก็ยังจะเดินไป

หากไม่เดินแล้วอยู่ในโลกแห่งศิลาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่พฤติกรรมหลบเลี่ยงเช่นนี้ นอกจากไม่ช่วยอะไรในอนาคต ก็ยังทำให้ตนสูญเสียจิตใจแสวงหาเต๋าด้วย

สุดท้ายแล้ว…ที่ควรมาก็ต้องมา ที่ควรเกิดก็ต้องเกิด

“ศิษย์น้องเล็ก…เจ้าเป็นแสงสว่าง ข้าเป็นความมืด ถ้าหากข้าสำเร็จ ความลับเกี่ยวกับความอมตะก็จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เหตุต้นผลกรรมทั้งหมด ข้าจะแบกรับไว้คนเดียว ถ้าหากข้าล้มเหลวและสิ้นชีพ…” เฉินชิงพึมพำ ส่ายหน้าเบาๆ

“ก็จะทำให้เจ้าสมบูรณ์ด้วย!” แววตาของเฉินชิงจื่อแน่วแน่ เผยให้เห็นความคาดหวังในอนาคต เงาร่างอยู่ในความว่างเปล่า ก้าวต่อก้าว ค่อยๆ เดินไปไกล เหยียบผ่านความทรงจำอยู่ในชั้นล่างของอวกาศแห่งนี้

นี่คือหนทางการแสวงหาเต๋า

และเป็นกระบวนการแสวงหาจิตใจเช่นกัน

เมื่อก้าวลงก้าวแรก ความว่างเปล่าก็เกิดระลอกคลื่นกระเพื่อม ในระลอกคลื่นนี้ เฉินชิงจื่อมองเห็นภาพภาพหนึ่ง

ในภาพนั้น เป็นหมู่บ้านของปุถุชนที่อยู่ท่ามกลางกองไฟลุกโชน ในนั้นมีเด็กผู้ชายวัยเจ็ดแปดขวบอยู่คนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าขาดๆ ร่างกายผอมโซยิ่งนัก เขานั่งยองๆ อยู่หน้าเปลวเพลิง ส่งเสียงร้องไห้น่าอนาถใจออกมา

เสียงร้องไห้มาพร้อมกับความหมดหนทางและความสับสน ยิ่งกว่านั้นยังระเบิดความเกลียดชังที่ถึงแม้เพิ่งแตกหน่อแต่กลับเติบโตอย่างรวดเร็ว

จากที่ไกลๆ จะมองเห็นกองทหารมนุษย์กลุ่มหนึ่งมาพร้อมกับความโหดเหี้ยม กำลังหายเข้าไปจากปลายภูเขา กองทหารกองนี้อันธพาลอย่างยิ่ง มองเห็นรูปสลักของงูดำตัวหนึ่งบนเสาธงเอียงๆ ได้รางๆ

ภาพหายไป เฉินชิงจื่อหลับตาลง เดินก้าวที่สอง ก้าวที่สาม…ภาพปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขาภาพแล้วภาพเล่า

ภาพที่สองคือเมืองหลวงของปุถุชน ภายในพระราชวังมีซากศพเกลื่อนพื้น ทหารทั้งหมดที่เหลืออยู่ล้อมรอบร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง เพียงแต่…เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนที่ถูกล้อมนั้นเป็นคนหนุ่ม แต่ผู้ที่ตัวสั่นกลับเป็นทหารรอบๆ

เมื่อชายหนุ่มก้าวทีละก้าว ทุกคนล้วนถอยหลัง จนกระทั่งถอยจนถอยไม่ได้แล้ว ที่ด้านหน้าของชายหนุ่ม เขาก็มองเห็นตำหนักใหญ่ของพระราชวัง มองเห็นชายวัยกลางคนนั่งหน้าเขียวอยู่บนบัลลังก์

ด้านหลังของชายผู้นี้มีรูปสลักประจำอาณาจักร นั่นก็คืองูดำตัวหนึ่ง

พริบตาต่อมา รูปสลักก็พังทลาย ทหารล้มตาย ราชาสิ้นพระชนม์!

ภาพที่สามคือสำนักอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ชายชราสวมชุดคลุมสีม่วงคนหนึ่งก้มหน้ามองชายหนุ่มที่คุกเข่าคำนับอยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

“เจ้ามีนามว่าอะไร”

“เฉินชิง”

“ต่อไป เจ้าชื่อว่าเฉินชิงจื่อ ส่วนข้า…ก็คืออาจารย์ของเจ้า” ชายชราเอ่ยอย่างสงบนิ่ง เสียงนั้นดังเข้าสู่หูของชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองไปยังชายชราตรงหน้า และมองเห็นด้านหน้าของสำนักแห่งนี้ที่อยู่หลังชายชรา มีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ เขียนตัวอักษรมหึมาสีดำเอาไว้ว่า

สำนักแห่งความมืด

“อาจารย์…” เฉินชิงจื่อก้าวลงไปก้าวที่สาม ลืมตาขึ้น ก้มหน้ามองภาพใต้ฝ่าเท้าของเขา ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ก้าวเดินเป็นก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า ก้าวที่หก

ในระหว่างทั้งสามก้าวนี้ เขามองเห็นตนกำลังดูแลดวงวิญญาณคนตายในอวกาศภายในสำนักแห่งความมืด มองเห็นว่าศิษย์น้องหนึ่งที่จู่ๆ ก็ถูกอาจารย์พากลับสำนักในวันหนึ่ง

บนร่างของศิษย์น้องเล็ก เขาในตอนนั้นสัมผัสได้ถึงความผันผวนพิเศษมากๆ บางอย่าง ความผันผวนนี้…ตนคุ้นเคยดีเหลือเกิน ราวกับว่า…ได้เห็นตัวเองอีกคน

“เขาคือแสงสว่าง ข้าคือความมืด…อาจารย์ ภารกิจของสำนักแห่งความมืดคือหยุดไม่ให้ผู้เป็นอมตะออกไป แต่ท่านกลับ…เปลี่ยนเป็นขวางไม่ให้สิ่งมีชีวิตใดๆ ออกไป”

“การขยายขอบเขตเช่นนี้ความจริงแล้วเป็นการคุ้มครองแบบหนึ่ง และก็เป็น…ความรู้เห็นเป็นใจอย่างหนึ่ง”

“รู้เห็นเป็นใจให้ข้า…และรู้เห็นเป็นใจให้ศิษย์น้องเล็ก…”

“เพราะว่า…เขาสืบทอดอมตะ ส่วนข้า…ก็สืบทอดความอมตะเช่นกัน การสืบทอดความอมตะเดิมทีก็ไม่ใช่สถานะหนึ่งอยู่แล้ว!”

“ท่านกับข้าเหมือนกัน ล้วนเบื่อหน่ายภารกิจนี้…ดังนั้นในการสำเร็จสมบูรณ์สุดท้ายของท่าน ความจริงแล้ว…เป็นความรู้สึกนึกคิดสองอย่างของตัวท่านเอง พวกมันทำลายกันและกัน ศิษย์น้องเล็กไม่รู้ ข้าก็ไม่อยากให้เขาแบกรับมากเกินไป…” เฉินชิงพึมพำ ก้มหน้าลง เดินต่อไป

ทีละก้าวๆ จนกระทั่งเขารู้สึกได้รางๆ ท่ามกลางวิญญาณคนตายนับไม่ถ้วน จากนั้นก็จ้องมองไปยังดวงวิญญาณดวงหนึ่ง มองเห็นประกายแสงในดวงตาของเงาร่างของตนเองที่ทั้งมือเต็มไปด้วยการสังหารในชั่วขณะที่สำนักแห่งความมืดล่มสลาย

แปลกตายิ่งนัก แต่ก็คุ้นเคยมากเช่นกัน

ยังมีภาพอีกมากมาย สังหารจักรพรรดิสวรรค์ สังหารไม่รู้สิ้น สังหารหมื่นตระกูล ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชีวิตของเขาปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าขณะที่เฉินชิงก้าวเดินไป จนกระทั่งภาพสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นกลับเป็นภาพเฉินชิงเงยหน้าร้องตะโกนเสียงดังออกมา…

“ศิษย์พี่ รอดชีวิตกลับมา”

“ข้ารับปาก” เฉินชิงจื่อพึมพำเสียงเบา เขาเดินมาจนถึงปลายสุดของความว่างเปล่า ก้าวออกมาก้าวสุดท้าย เมื่อก้าวลงไป ทั่วทั้งความว่างเปล่าก็สั่นไหว อานุภาพกดดันไม่อาจบรรยายได้ตกลงมากะทันหันแล้วกลายเป็นฝ่ามือมหึมาข้างหนึ่ง ตกลงมาขวางกั้นอยู่ข้างหน้าเฉินชิงจื่อ

ฝ่ามือนี้มาจากดวงจิตของทั่วทั้งโลกแห่งศิลา สิ่งนี้…แปลงมาจากมือของหลัวเทียน!

ยิ่งกว่านั้นยังมีคลื่นปราณมืดผันผวนเข้มข้นสายหนึ่งแผ่ออกมาจากในฝ่ามือข้างนี้ด้วย

“ข้าคือเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืด จักรพรรดิแห่งความมืดคนปัจจุบัน ภายในโลกแห่งศิลา ภารกิจคือเจตจำนงที่สูงสุด!” เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือข้างนี้ เฉินชิงก็พลันเอ่ยปากบอก เมื่อเอ่ยคำพูดออกมา ปราณมืดบนร่างของเขาก็ระเบิดทันใด ปลาดำที่หว่างคิ้วสว่างสดใส จ้องมองไปยังฝ่ามือ

กลิ่นอายของทั้งสองฝ่ายมาจากแหล่งเดียวกันอย่างเลือนราง ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฝ่ามือนั้นก็ค่อยๆ สลายหายไป และเมื่อมันสลายไปแล้ว ประตูหินเก่าแก่บานหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเฉินชิงจื่อ

เขายืนอยู่หน้าประตู เฉินชิงจื่อเงียบงันอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นประตูหินบานนี้ก็ค่อยๆ เปิดออกไปข้างนอกกะทันหัน เมื่อมันเปิดออกมา เฉินชิงจื่อก็มองเห็นด้านนอกประตูหิน มันกลับมีความว่างเปล่าอีกผืนหนึ่ง

จุดที่ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุดและไกลออกไป มีรอยร้าวขนาดใหญ่เส้นหนึ่งอยู่ รอยร้าวนี้…ราวกับมีคนอยู่ข้างนอกและพยายามกระแทกออก

“โลกแห่งศิลาแบ่งออกเป็นสามระดับชั้น ชั้นแรก…คือโลกใจกลางและเป็นจักรวาล ชั้นที่สอง…ก็คือกำแพงด้านในของแผ่นศิลา และเป็นความว่างเปล่าด้านหลังประตูเต๋าบานนี้เช่นกัน ส่วนที่ที่ข้าอยู่ก็คือจุดที่อยู่ระหว่างใจกลางและกำแพงด้านใน ส่วนชั้นที่สาม… ”

“รอยแยกนั้นคือกำแพงด้านนอก และเป็นชั้นที่สามด้วย!”

เฉินชิงจื่อหรี่ตาลง ยืนอยู่ภายในประตู พริบตาที่กวาดมองไปด้านนอก ทันใดนั้น…ก็มีเงาโลหิตมหึมาร่างหนึ่งวาบผ่านนอกประตู ยิ่งกว่านั้นภายในชั่วพริบตา เงาโลหิตมากมายยิ่งกว่านั้นก็วาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมองดีๆ เงาโลหิตเหล่านั้นคล้ายกับหนวดเคราบนร่างกายของสิ่งมีชีวิต

เพียงแต่เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตนี้ตัวใหญ่ยิ่ง ดังนั้นเพียงแค่หนวดเคราก็มีขนาดมหึมาน่าตะลึงแล้ว!

ขณะเดียวใน เมื่อเงาโลหิตเหล่านั้นวาบผ่าน ก็ยังมีเสียงร้องคำรามแหลมสูงดังออกมาด้วย

เสียงนี้เพียงพอจะทะลุทะลวงดวงวิญญาณเทพแล้วฉีกกระชากทุกสิ่งทุกอย่าง สั่นคลอนสรรพสิ่งทั้งหมด ถึงขั้นที่เมื่อระดับจักรวาลได้ยินแล้ว ก็คงจะเลือดเนื้อแตกสลาย วิญญาณเทพพังทลายทันทีเป็นแน่!

“ผู้ที่เว่ยยางจื่อรอคอยก็คือเจ้าหรือ…”

“เป็นท่าน…ที่พยายามครอบงำศิษย์น้องเล็กของข้าอย่างนั้นหรือ”

“มหาเทพผู้แท้จริง!”

…………………