เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังลงมือกันอย่างสุดความสามารถ หลิงว่านถิงก็เริ่มโคจรพลังของนางเองและปล่อยตัวอักษรเต๋าทั้งเก้าขึ้นไปบนท้องฟ้า
ตัวอักษรเต๋าทั้งเก้าเกื้อหนุนดวงดาวของหลิงยี่เทียนให้สำแดงอำนาจได้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ประกายแสงของดวงดาวที่ส่องไปทั่วสนามรบ ขณะนี้กลับมีอำนาจในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกองทัพพันธมิตร รวมไปถึงทัณฑ์สวรรค์ที่หลิงยี่เทียนปลดปล่อยใส่เหล่าอสูรก็รุนแรงขึ้นด้วย
สีหน้าของคุนเป๋งเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดกว่าเดิมเมื่อมันเห็นภาพเช่นนี้
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิง ซึ่งกำลังเฝ้าดูการรบอย่างตั้งใจก็หยิบง้าวพินาศเทวะขึ้นมา จากนั้นเขาโยนง้าวไปให้กับหลิงเทียนหยุน “น้องสี่ของเจ้าในตอนนี้ขาดอำนาจทะลวงฟันค่ายกลรบของศัตรู เจ้าจงเอาง้าวของพ่อไปทำหน้าที่เป็นแนวหน้าทำลายค่ายกลรบของพวกอสูรซะ แต่เจ้าจงระวังอาวุธเต๋าของพวกอสูรเอาไว้ด้วย พ่อเดาว่าอีกไม่นานพวกมันต้องนำออกมาใช้แน่”
หลิงเทียนหยุนหัวเราะ “ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้พอเอาตัวรอดได้แน่นอน!”
เมื่อพูดจบ หลิงเทียนหยุนใช้เต๋าแห่งความว่องไวสร้างร่างแยกขอบเขตมหาจักรพรรดิขึ้นมาพร้อมกับส่งง้าวเทวะพินาศให้ร่างแยกของเขา จากนั้นควบคุมให้ร่างแยกบุกทะลวงแนวหน้าของกองทัพอสูรทันที
ด้วยอำนาจของง้าวเทวะพินาศที่รวมกับความแข็งแกร่งของร่างแยกหลิงเทียนหยุน ค่ายกลรบแนวหน้าของกองทัพอสูรถูกเจาะทะลวงภายในพริบตาทันที
หลิงว่านจุน เมื่อเห็นว่าพี่ชายของเขาสามารถเปิดช่องว่างในแนวหน้าของทัพอสูรได้แล้ว เขารีบตะโกนสั่งอย่างเร่งร้อน “เกาหยู หลูหลิง พวกเจ้ารีบทะลวงเข้าไปในช่องว่างและทำลายแนวรบของพวกอสูรจากด้านในซะ!”
เกาหยูพยักหน้าทันที ตอนนี้เกาหยูได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันยิ่งทำให้วิชาปีศาจศักดิ์สิทธิ์กลืนสวรรค์ของเขายิ่งทรงอานุภาพมากไปกันใหญ่
เกาหยูและหลูหลิงบุกตะลุยผ่านช่องว่างที่หลิงเทียนหยุนเปิดเอาไว้ทันที จากนั้นพวกเขาแยกกันไปคนละด้านซ้ายขวาเพื่อฆ่าล้างเหล่าอสูรที่ตรึงแนวหน้าจากด้านข้าง
เกาหยูขยายร่างจนมีความสูงมากกว่า 100 เมตร จากนั้นเขาอ้าปากดูดกลืนเหล่าอสูรไปตลอดทางที่เขาพาดผ่าน ซึ่งในท้องของเขาตอนนี้มันเป็นเหมือนหลุมดำที่ไม่ว่าจะดูดอสูรเท่าไหร่มันก็ไม่มีวันเต็ม
ทางด้านของหลูหลิงก็ไม่น้อยหน้า ตอนนี้พิษที่อัดแน่นอยู่ในร่างของเขานับได้ว่าเป็นพิษที่มีความรุนแรงอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก เขาปล่อยหมอกพิษเข้าปกคลุมบรรดาอสูรทั้งหลายที่อยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด ซึ่งเหล่าอสูรเมื่อโดนพิษไปแล้วพวกมันก็ชักดิ้นชักงอตายภายในไม่เกิน 2 อึดใจ
ด้วยการร่วมมือกันของหลิงเทียนหยุน เกาหยู หลูหลิง แนวรบของทัพอสูรก็ค่อย ๆ พังทลายลงไปทีละส่วน ๆ
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมรุ่นตอนสมัยเรียนที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองลงมืออย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เจียงซิงเฉิง จูเหยียนและคนอื่น ๆ ก็เริ่มลงมือบ้าง
เวลานับพันปีที่ผ่านมานี้ เจียงซิงเฉิงได้ฝึกฝนเพลงกระบี่ล่องนทีสวรรค์สำเร็จจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบเรียบร้อย ดังนั้นทุกครั้งที่เขาใช้เพลงกระบี่ของตนเองมันจึงเหมือนกับมีคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าหาเหล่าอสูร แต่คลื่นยักษ์ที่ปรากฏขึ้นนั้นแตกต่างจากคลื่นน้ำของจริง เพราะคลื่นยักษ์ที่ปรากฏขึ้นจากเพลงกระบี่ของเจียงซิงเฉิงนั้นคือคลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นจากคมกระบี่!
จูเหยียนโยนผืนผ้าที่นางปักลายเป็นรูปแบบค่ายกลเข้าใส่กองทัพอสูร ค่ายกลที่นางใช้นั้นมีรูปแบบมากมายนับสิบแบบ ไม่ว่าจะเป็นทั้งสร้างภูเขาให้ผุดขึ้นจากพื้นภายในพริบตาเพื่อทำลายแนวรบของพวกมัน หรือเป็นการสร้างอาณาเขตมายาที่ทำให้เหล่าอสูรบางตนเห็นสหายของพวกมันเป็นศัตรู
ทางด้านของลั่วหาวก็โยนภาพวาดของเขาออกไปอย่างไม่ขาดสายสร้างรูปแบบการโจมตีต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นภาพวาดของ ฝนดาวตก ภาพวาดของสายฟ้า หรือภาพวาดกระบี่บินนับหมื่นเล่ม
ตงฟางจุน ในตอนนี้กำลังถือกระบี่ระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือและโคจรวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จนถึงขีดสุด “ในที่สุดข้าก็มีโอกาสได้ทดสอบเพลงกระบี่ที่รุนแรงที่สุดของข้าสักที กระบี่ที่ 10 กระบี่ดาราจักรพรรดิ!”
ในทันทีที่เขาใช้กระบี่ดาราจักรพรรดิ บนท้องฟ้ามีดาวดวงหนึ่งสีแดงม่วงปรากฏขึ้น จากนั้นดวงดาวที่ปรากฏก็เริ่มปลดปล่อยความน่ากลัวของมันออกมา ซึ่งก็คือกระบี่บินนับล้านเล่มที่ถูกควบแน่นขึ้นจากปราณกระบี่ที่อัดแน่นอยู่ในดวงดาวบินกรูกันออกมาและพุ่งลงมาหาเหล่าอสูรที่อยู่ในสนามรบ
ขณะนี้ทุกคนต่างทุ่มสุดกำลังเพื่อต่อสู้กับเหล่าอสูร
ทางด้านของพวกอสูร ในเวลานี้พวกมันได้ประจักษ์แล้วถึงความแข็งแกร่งอันแท้จริงของเหล่ามนุษย์ ซึ่งทำให้พวกมันรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะคุนเป๋งที่รู้สึกตกตะลึงมากกว่าใครเพื่อน เมื่อเห็นง้าวเทวะพินาศในมือของหลิงเทียนหยุน
ทำไมอาวุธนี้ถึงได้มาอยู่ที่นี่!?
ตอนนี้มันไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสหายอสูรเสือของมันที่ลงมาพร้อมกันถึงไม่กลับมาอีกเลยหลังจากที่เดินทางไปอาณาจักรจันทรา ด้วยอำนาจของง้าวเทวะพินาศ ขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญของพวกเขานั้นมีค่าไม่ต่างอะไรกับมดเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน
“อาวุธเต๋าของพวกเจ้าอยู่ไหนกัน ทำไมพวกเจ้ายังไม่เอาออกมาอีก!?” คุนเป๋งตะโกนลั่นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
เมื่อเผชิญกับง้าวเทวะพินาศ หากไม่มีอาวุธเต๋าพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
“พวกเราได้ส่งคนไปอัญเชิญอาวุธเต๋าแล้วนายท่าน อีกไม่นานพวกเขาน่าจะกลับมา!” อสูรจิ้งจอกระดับสูงตนหนึ่งตอบกลับ “บังเอิญว่าอาวุธเต๋าของพวกเราปกปักษ์รักษาที่นี่มานาน ดังนั้นการอัญเชิญมันออกมาจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่”
“งั้นระหว่างนี้สั่งให้คนของเจ้าถอยเข้ามาเรื่อย ๆ เพื่อรักษาชีวิตพวกเราเอาไว้ให้ได้มากที่สุด รออาวุธเต๋าของพวกเรามาเมื่อไหร่ พวกเราคอยโจมตีโต้กลับเต็มกำลัง” คุนเป๋งตะโกนสั่ง
มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำเช่นนี้ เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธที่สังหารได้แม้แต่จักรพรรดิเทพ การเร่งเร้าให้คนของตัวเองโจมตีโต้กลับอย่างน่ามืดตามัวมันหมายถึงว่าพวกเขาจะยิ่งตายไวขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการดีที่สุดมันจึงต้องพยายามลดอัตราการตายของฝั่งตัวเอาไว้ก่อนเพื่อรอโอกาศที่เหมาะสมโจมตีสวนคืนทีเดียว
ภายใต้คำสั่งของคุนเป๋ง บรรดาอสูรก็ลดการต่อต้านลง พวกมันใช้ยุทธวิธีสู้ไปด้วยและถอยลึกเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูร และใช้ภูมิประเทศที่พวกมันคุ้นเคยหลบหลีกการโจมตีของกองทัพพันธมิตร
เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพพันธมิตรจึงค่อย ๆ เปลี่ยนดินแดนของสันเขาหมื่นอสูรเป็นของพวกเขาไปเรื่อย ๆ ทีละนิด ๆ
หลิงยี่เทียน ซึ่งอยู่บนท้องฟ้าและเหลียงเฟ่ยเอ๋อที่อยู่ใต้พื้นดินสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทันทีว่าพวกอสูรจงใจถอยร่นเหมือนกับมีแผนบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเตือนหลิงว่านจุน
หลิงว่านจุนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาสั่งการออกไปผ่านเจตจำนงของตนเอง “ทุกกองทัพลดความเร็วการรุกลงครึ่งหนึ่ง โจมตีพวกอสูรเมื่อพวกมันเข้ามาใกล้เท่านั้น”
ตอนนี้หลิงว่านจุนก็กังวลกับกับดักที่พวกอสูรวางเอาไว้
จากนั้นเมื่อกองทัพพันธมิตรรุกคืบเข้าไปด้านในสันเขาหมื่นอสูรได้ราว 30,000 ลี้ จู่ ๆ กลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรงก็ปะทุขึ้นจากด้านในสันเขาหมื่นอสูร
“นายท่าน อาวุเต๋าของพวกเรามาแล้ว!” อสูรจิ้งจอกระดับสูงตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบานพร้อมกับพุ่งตัวออกไปรับอาวุธเต๋ากลับมา