ฉีเฉินแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
ตอนนี้ยิ่งได้ฟังคำของฉีเจิ้นเขาก็ยิ่งใจหาย
คำพูดนี้ของฉีเจิ้นมันหมายความว่าอย่างไร?
เขาถึงขั้นยกมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลและบรรพบุรุษซื่อเฉินขึ้นมา ตัวตนของคนเหล่านั้นคือสิ่งใด? ฉีเจิ้นนั้นกลับเอาพวกเขามาเทียบเคียงกับเย่หยวน
เช่นนั้นหากฉีเจิ้นขึ้นไปประลองแล้วตัวเขาก็คงมิอาจจะชนะได้มิใช่หรือ?
ฉีเจิ้นนั้นเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าจะเป็นผู้สืบทอดของบรรพบุรุษซื่อเฉินในเผ่ากิเลน ตำแหน่งของตัวเขานั้นสูงส่งปานใด?
หากมิใช่เพราะเรื่องนี้มีหรือที่ฉีเฉินจะกล้าไปใช้ขวดหยกสุทธิเพลิงแท้ออกมาวางเดิมพัน?
“ฉีเจิ้น เช่นนั้นหากเจ้าต้องไปประลองแล้ว เจ้าจะมีโอกาสชนะสักเท่าใด?” ฉีเฉินถามขึ้น
ฉีเจิ้นได้แต่ส่ายหัวออกมา “ย่อมไม่มีแน่นอน!”
นั่นทำให้หัวใจของคนเผ่ากิเลนสั่นสะท้าน!
เพราะฉีเจิ้นผู้นี้กลับบอกว่าตนเองไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเลย!
ด้วยฝีมือของฉีเจิ้นนั้น อีกฝ่ายจะต้องเก่งกาจปานใดถึงทำให้เขากล่าวพูดเช่นนี้ออกมา?
ทุกผู้คนในที่นี้ต่างเข้าใจความเก่งกาจของฉีเจิ้นดี ความมั่นใจในวิชาโอสถของเขานั้นมันหนักแน่นอย่างไม่อาจถูกใครทำลายลงได้
แต่ตอนนี้ฉีเจิ้นผู้นี้กลับไม่กล้าบอกว่าตนจะมีโอกาสชนะแม้สักเสี้ยวหนึ่ง
มันเป็นเรื่องบ้าบออะไรกัน?
“นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร? พี่ใหญ่ ท่านเองก็เป็นถึงยอดคนที่จะสานต่อตำนานของบรรพบุรุษซื่อเฉิน มีหรือที่ท่านจะไปพ่ายให้แก่นักบวชหกดาวได้?” ฉีหยุนร้องขัดขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ
ฉีเจิ้นส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “ก่อนหน้านี้ต่อให้ข้าจะรู้ว่าเขาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรบรรพกาลข้าเองก็คงไม่คิดว่าเขาจะเป็นภัยใด ๆ แก่ตัวข้าได้ แต่หลังจากได้เห็นวิชาโอสถของเขาแล้ว ข้าก็ไม่มีทางเลือกใดนอกจากต้องยอมแพ้ นามรองมหาปราชญ์นี้ เขาเหมาะสมแล้วจริง ๆ!”
เก่งกาจสมชื่อ!
นั่นคือบทสรุปที่ฉีเจิ้นมีหลังได้เห็นเย่หยวน!
ทุกผู้คนที่ได้ยินต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ตอนที่พวกเขาทั้งหลายรู้ว่าเย่หยวนเป็นรองมหาปราชญ์นั้นพวกเขาต่างไม่คิดเกรงกลัวใด ๆ และกลับดูถูกเสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ตัวฉีเจิ้นกลับประเมินเด็กหนุ่มคนนี้ไว้สูงลิ่ว!
…
หลังจากนั้นการหลอมของเย่หยวนเริ่มลงลึกถึงรายละเอียด แสงหนึ่งพุ่งทะยานผ่านลงมายังหม้อหลอมเกิดเป็นกลุ่มก้อนดวงดาวสั่นสะท้านไปทั้งบริเวณ
แสงหนึ่งที่พุ่งออกมานั้นมันดูเหมือนแสงเหนือที่สวยงามเกินกว่าจะละสายตา
ในลานกว้างเวลานี้เหล่าอสูรทั้งหลายต่างรู้สึกราวกับได้ตกสู่ห้วงลึกของท้องฟ้ามากหมู่ดาว เดินทางท้องไปทั่วฟ้าดิน
ความรู้สึกเช่นนั้นมันทำให้ผู้คนหลงใหลอิ่มเอม
ไม่มีคลื่นพลังรุนแรงให้สั่นสะท้านกาย ไม่มีแสงสว่างวาบไหวทำให้ตื่นตาตื่นใจ ทุกสิ่งอย่างมันราบรื่นเป็นธรรมชาติและสวยงาม
ภายใต้คลื่นพลังที่เย่หยวนปล่อยออกมานี้ เหล่าผู้คนต่างลืมเลือนตัวตนของฉือเซียวใด ๆ ไปสิ้น ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่านี่เป็นการประลองโอสถ
เพราะเวลานี้จิตใจของผู้คนทั้งหลายมันมีแต่ความชื่นชมหลงใหลในภาพตรงหน้า
การหลอมโอสถของเย่หยวนนี้มันคืองานแสดงศิลปะอันงดงามอย่างแท้จริง
ตอนนี้เต๋าโอสถของฉือเซียวได้ค่อย ๆ หดหายลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็แทบไม่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีก
สิ่งใดที่ฉีเจิ้นกล่าวว่าไว้ตัวฉือเซียวย่อมจะเข้าใจมันดี และที่สำคัญคือภาพตรงหน้าของเขานี้มันแจ่มชัดกว่าที่ฉีเจิ้นเห็นมาก
นี่มันคือแบบอย่างโลกหล้า เย่หยวนนั้นกำลังสั่งสอนวิธีการหลอมโอสถให้แก่ตัวเขา ไม่ได้ทำการประลองโอสถใด ๆ ทั้งสิ้น
ประลอง?
มันยังจะมีอะไรสู้กันอีก!
ฉือเซียวนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มดูถูกตัวเองออกมา นี่มันคือฝีมือที่แท้จริงของรองมหาปราชญ์
ฉือเซียวนั้นรู้สึกได้ว่าอาณาจักรเต๋าโอสถของเย่หยวนนั้นมันเหนือกว่าเขาไปไม่มาก
แต่การหลอมโอสถนั้นจะมาวัดกันที่อาณาจักรอย่างเดียวก็มิได้
การหลอมโอสถมันเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน รายละเอียดเล็ก ๆ น้อยมันย่อมจะเปลี่ยนแปลงคุณภาพของโอสถไปได้
แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรการหลอมของเย่หยวนนี้มันก็เหนือล้ำมากกว่าที่พลังของอาณาจักรเต๋าโอสถนั้น ๆ จะทำได้!
ตราบเท่าที่เขาพัฒนาเต๋าโอสถของตนขึ้นไปได้ถึงอาณาจักรนั้น ต่อให้จะเป็นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลลงมาเองตัวเขาก็คงไม่อาจจะประลองใด ๆ กับเย่หยวนคนนี้ได้!
เป็นเวลานี้เองที่ฉือเซียวได้รับรู้ว่าเหตุใดมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงได้ตั้งให้เย่หยวนเป็นรองมหาปราชญ์
พลังฝีมือเช่นนี้มันไม่อาจจะหาจุดอ่อนใด ๆ ตำหนิได้!
เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะมีอาณาจักรสูงล้ำกว่าเขาไปมาก ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คงไม่อาจเอาชนะรองมหาปราชญ์คนนี้ลงได้
แต่สิ่งที่น่าเกรงกลัวที่สุดก็คือตัวเย่หยวนที่มีอายุยังไม่ถึงสองพันปี!
ส่วนตัวเขาเล่า?
เขานั้นถูกเรียกว่ายอดอัจฉริยะ เป็นศิษย์อัจฉริยะหนุ่มภายใต้การสั่งสอนของมหานักบวชขนแดง
แต่เทียบกับเย่หยวนแล้ว เขานั้นเป็นได้แค่ชายชราคนหนึ่ง!
นั่นมันจะหมายความว่าเย่หยวนนี้ยังมีอนาคตจะพัฒนาไปได้อีกไกลแสนไกล
เมื่อเรื่องราวเริ่มสงบลงทะเลแห่งดวงดาวนั้นมันก็ได้เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นแผ่นไหลพุ่งลงไปยังหม้อหลอมโอสถนั้น
โอสถหลอมสำเร็จ!
นั่นทำให้ผู้คนทั้งหลายเริ่มตื่นขึ้นจากภวังค์ โดยมีสายตาจับจ้องที่ไปเด็กหนุ่มบนสังเวียนนั้น
“ช่างเป็นงานศิลปะโดยแท้! ที่แท้นี่คือฝีมือของท่านรองมหาปราชญ์! สมชื่อแล้วจริง ๆ ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นรองมหาปราชญ์!”
“ข้าได้เข้าใจเสียทีว่าทำไมท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงได้แต่งตั้งท่านเป็นรองมหาปราชญ์”
“แม้ว่าข้าจะไม่อาจจะเข้าใจการหลอมของท่านรองมหาปราชญ์ได้แม้แต่น้อย แต่มันช่าง…เหนือล้ำนัก!”
…
ในเวลานี้มันไม่มีใครคิดสงสัยในนามรองมหาปราชญ์อีกต่อไป
เย่หยวนเอาชนะฉือเซียวอย่างที่ไม่อาจมีใครทำได้
ภายในคนรุ่นเดียวกันแล้ว เขาย่อมจะไม่พ่ายให้แพ้ใครแน่!
หากคนเช่นนี้ไม่สมควรจะถูกเรียกว่ารองมหาปราชญ์แล้ว นามนั้นมันก็คงไม่มีใครได้รับไป
ในเวลานี้มีเหล่านักบวชมองดูการประลองอยู่มากมาย บ้างก็เป็นนักบวชหกดาวเหมือน ๆ เย่หยวน
แต่การหลอมโอสถนี้ของเย่หยวน พวกเขาทั้งหลายไม่อาจจะเข้าใจได้แม้แต่เสี้ยวหนึ่ง
นั่นมันหมายความว่าอาณาจักรของเย่หยวนสูงล้ำกว่าพวกเขาไปมาก
แต่ทว่าเรื่องนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาสงสัยในความเก่งกาจของเย่หยวนแต่อย่างใด เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้มันไม่อาจจะปลอมแปลงได้ แค่มองก็สัมผัสได้ทันที
ฉือเซียวในเวลานี้ได้ยอมแพ้ไปอย่างราบคาบ ตอนนี้ต่อให้จะหลอมต่อไปมันก็ไร้ค่าใด ๆ และแม้ว่าสมุนไพรทั้งหลายมันจะทรงค่าแต่ตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะทำการหลอมต่อไปแล้ว
เขานั้นค่อย ๆ เดินมาหยุดตรงหน้าเย่หยวนก่อนจะก้มหัวลงต่ำ “ฉือเซียวไม่คิดประเมินตนจนไปท้าทายท่านรองมหาปราชญ์ ท่านรองมหาปราชญ์โปรดลงโทษข้าด้วยเถิด”
ไม่มีใครคิดตื่นตกใจกับท่าทางนั้นของฉือเซียวใด ๆ กลับกัน คนทั้งหลายกลับคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติที่เหมาะสมจะเกิดขึ้นแล้ว
ด้วยฝีมือของฉือเซียวนั้นการไปท้าทายเย่หยวนมันคือการไม่ประเมินตัวเองอย่างแท้จริง
แม้ว่าจะมีวิชาอาณาจักรบรรพกาลเช่นกัน แต่ฝีมือการหลอมโอสถของคนทั้งสองนี้มันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
สภาพของฉือเซียวในเวลานี้ไม่เหลือความองอาจโอหังใด ๆ เขาได้แต่ก้มหัวลงให้เย่หยวนอย่างกับตนเป็นแค่เด็กน้อยต่อหน้าผู้ใหญ่
กับเย่หยวนคนนี้แล้ว ตัวเขานั้นไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากก้มกราบ
เขานั้นไม่เคยนึกเคยฝันว่าในหมู่คนหนุ่มสาวทั้งหลายมันจะมียอดคนระดับนี้อยู่
แท้จริงคนทั้งหลายเองก็ไม่ได้คิดว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจะทำเรื่องอะไรมั่ว ๆ เพียงแค่ว่าอายุของเย่หยวนนี้มันยังเด็กจนเกินกว่าที่จะทำใจยอมรับได้ จึงไม่อาจจะยอมรับให้เขาเป็นรองมหาปราชญ์ได้
ฉือเซียวเองก็เป็นหนึ่งในคนเช่นนั้น รวมกับการที่เขาเป็นถึงศิษย์ของมหานักบวชขนแดง เขาจึงยิ่งไม่พอใจที่เย่หยวนมานั่งอยู่บนหัวของอาจารย์และได้ทำให้เขาตัดสินใจออกมาท้าทายหาเรื่องเย่หยวนนี้
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกลึก ๆ ในใจว่าแม้แต่อาจารย์ของตัวก็ไม่อาจจะทำได้ขนาดนี้
เย่หยวนนั้นมีอายุแค่พันกว่าปี หากเวลาผ่านไปอีกสักหมื่นปีเล่า? ถึงเวลานั้นอาจารย์ของเขาจะเทียบเคียงเย่หยวนได้หรือ?
ฉือเซียวนั้นไม่รู้เลย แต่สิ่งที่เขามั่นใจแน่ ๆ ก็คือหมื่นปีจากนี้เย่หยวนคงทิ้งห่างเขาไปอย่างไม่เห็นฝุ่นแน่นอน
เย่หยวนหัวเราะตอบกลับมา “ช่างเถอะ ข้านั้นมีพลังบ่มเพาะเท่านี้ ไม่แปลกที่เจ้าทั้งหลายจะไม่คิดเชื่อ ตอนนี้หากยังมีใครคิดว่าข้าไม่เหมาะสมกับนามรองมหาปราชญ์ก็ขึ้นมาท้าทายข้าได้เลย”
แน่นอนว่าคำพูดนี้มันจะทำให้คนทั้งหลายรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ เพราะคนทั้งหลายนี้มีหลายคนที่พูดจาว่ากล่าวเย่หยวนไปก่อนหน้า บอกว่าเย่หยวนไม่ควรค่าแก่นามรองมหาปราชญ์ บ้างถึงขั้นว่ากล่าวหยาบคาย แน่นอนว่าถึงเวลานี้แล้วพวกเขาย่อมจะอับอายอย่างสุดใจ
ฉือเซียวนั้นรีบกล่าวขึ้นมาขัดไว้ “มิกล้า ๆ! ฝีมือของท่านรองมหาปราชญ์นั้นต่อให้จะเป็นศิษย์พี่ทั้งหลายของข้าก็คงไม่อาจเทียบเคียง พวกเขานั้นแค่มีอาณาจักรเหนือกว่าท่านรองมหาปราชญ์ไปหน่อย หากถึงเวลาที่ท่านรองมหาปราชญ์ก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรพวกเขาได้แล้ว มันก็คงไม่มีใครเทียบเคียงท่านได้”
………………