บนหอสูงนั้นมันเป็นจุดที่เหมาะสมกับการดูชมเรื่องราวอย่างมาก และทางเผ่ากิเลนเองก็ได้ครอบครองหอสังเกตการณ์นี้ไว้หอหนึ่งพร้อมด้วยยอดฝีมือเผ่ากิเลนที่อยู่ครบสิ้น
ฉีเฉินมองดูที่สังเวียนประลองไกลออกไปนั้นพร้อมกล่าวขึ้น “ฉีเจิ้น เจ้าต้องดูการประลองนี้ไว้ให้ดี แม้ว่าข้าจะไม่อาจคิดว่ามทันจะเอาชนะเจ้าได้ แต่เรื่องราวในครั้งนี้มันสำคัญต่อเราอย่างมาก เจ้าห้ามประมาทเป็นอันขาด”
ที่ด้านข้างฉีเฉินนั้นมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วยใบหน้าเย่อหยิ่ง แน่นอนว่าเขาคนนี้คือฉีเจิ้นที่ถูกกล่าวถึง
ฉีเจิ้นนั้นเป็นยอดนักหลอมโอสถรุ่นใหม่ของเผ่ากิเลนมีวิชาฝีมือเหนือล้ำผู้คนรุ่นเดียวกันไปมาก
แม้จะบอกว่าเป็นคนรุ่นใหม่ แต่แท้จริงฉีเจิ้นเองก็มีอายุถึงสามหมื่นปีเข้าไปแล้ว
“หากจะพูดถึงแค่กระดูกจักรพรรดิกิเลน ของที่บรรพบุรุษเผ่ากิเลนเราทิ้งไว้ให้มันก็มีไม่น้อย หรือว่าเจ้ากระดูกที่ว่านี้มันจะพิเศษกว่ากระดูกจักรพรรดิอื่น ๆ หรือ?” ฉีเจิ้นถามขึ้นด้วยความสงสัย
ฉีเฉินนั้นพยักหน้ารับ “ข้าสัมผัสได้ถึงความโบราณจากกระดูกจักรพรรดิกิเลนนี้ เทียบกับของเหล่าท่านทั้งหลายที่ทิ้งไว้ในเผ่ากิเลนเราแล้วมันดูจะสูงส่งและลึกลับมากกว่านัก! ข้ารู้สึกได้ว่ากระดูกจักรพรรดิกิเลนนี้มันจะช่วยให้เราได้ค้นพบความลับของเผ่าเราอีกมากทีเดียว เพราะฉะนั้นเราต้องเอามันมาให้ได้!”
ฉีเจิ้นที่ได้ยินก็ตื่นตะลึงไปไม่น้อยเพราะไม่นึกไม่ฝันว่าฉีเฉินจะจริงจังกับเรื่องนี้ถึงปานนี้
“ลุงเฉินโปรดวางใจ ข้าไม่แพ้หรอก!” ฉีเจิ้นกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้ามั่นใจอย่างสุดตัว
…
การประลองนี้มันได้รับความสนใจจากทุกผู้คน
ในวันนั้นที่พวกเขาได้รับรู้ว่าเย่หยวนนั้นเป็นรองมหาปราชญ์ เทพถ่องแท้คนหนึ่งกลับเป็นรองมหาปราชญ์มันจึงทำให้คนทั้งเมืองต้องตื่นตะลึง
แน่นอนว่าคนทั้งหลายย่อมจะไม่มีใครเห็นด้วย เสียงการตั้งคำถามนั้นเกิดขึ้นในทุกหนแห่ง
และในวันนี้ ที่สุดแล้ววันนี้มันก็จะเป็นการพิสูจน์ว่ารองมหาปราชญ์นั้นเก่งกาจสมชื่อนั้นหรือไม่ มันเป็นเวลาที่จะพิสูจน์กัน
ศิษย์รักของมหานักบวชขนแดง ยอดฝีมืออาณาจักรบรรพกาล นี่มันย่อมจะเป็นด่านทดสอบที่เหมาะสมที่สุดเท่าที่จะหาได้
“ท่านรองมหาปราชญ์ ท่านดูดี ๆ เถอะนะ นี่คือวิชาที่ข้าได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์ขนแดง ศาสตร์รวมนิพพานก้าวสวรรค์! วันนี้ข้าจะใช้มันออกมาให้ท่านได้รู้เองว่าตนเองไม่ควรค่าแก่นามรองมหาปราชญ์ใด ๆ!”
ฉือเซียวร้องลั่นก่อนจะปล่อยคลื่นพลังลึกลับหนักหน่วงออกมาภายนอก จนทำให้ราวกับว่าพลังของทั้งโลกหล้านี้มันเป็นของเขาเพียงคนเดียว
คลื่นพลังลึกลับซับซ้อนพุ่งทะยานเข้าใส่หม้อหลอมพร้อม ๆ กับหมุนวนรอบตัวซือเซียว
นี่มันคือคลื่นพลังเต๋า!
เมื่อทุกผู้คนได้เห็นภาพนี้พวกเขาต่างก็ต้องร่ำร้องออกมาพร้อม ๆ กัน
อาณาจักรเทพอสูรนั้นมันสุดแสนกว้างใหญ่ไพศาล แต่ยอดฝีมือที่ก้าวขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลได้นั้นมันมีน้อยจนนับหัวได้
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียแม้แต่ยอดคนที่อยู่ในระดับต้น ๆ ของดินแดนอย่างซินหลัวก็ยังเป็นแค่ได้อาณาจักรบรรพกาลครึ่งก้าว
“นี่หรือคือพลังของอาณาจักรบรรพกาล? สมชื่ออันยิ่งใหญ่จริง ๆ! ท่านฉือเซียวสมแล้วที่เป็นศิษย์อันภาคภูมิของท่านขนแดง!”
“นี่คือคลื่นเต๋าอย่างแท้จริง! ท่านฉือเซียวนั้นดึงเอาพลังของแนวคิดต่าง ๆ ในโลกหล้ามาใช้กับสมุนไพรในหม้อหลอม!”
“เก่งกาจเกินไป! นี่คือการหลอมโอสถอย่างแท้จริง! เทียบกับท่านฉือเซียวแล้วพวกเราเป็นได้แค่ขยะจริง ๆ!”
“ไม่ว่ารองมหาปราชญ์ใด ๆ มันก็ย่อมอ่อนแอไม่อาจเทียบเคียงท่านฉือเซียวได้แน่!”
…
ในลานกว้างผู้คนต่างร้องชื่นชมออกมารอบด้านราวกับว่านี่เป็นการพบปะแฟน ๆ ของฉือเซียวไป
คนทั้งหลายนี้มันมีใครบ้างที่จะเคยเห็นยอดฝีมืออาณาจักรบรรพกาลลงมือ? เมื่อฉือเซียวแสดงพลังออกมามันย่อมจะให้พวกเขาแทบก้มลงกราบ
ที่ด้านบนหอสังเกตการณ์ซินหลัวเองก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ “นี่คืออาณาจักรบรรพกาลอย่างนั้นหรือ? ท่านฉือเซียวดูท่าจะได้รับการสืบทอดวิชาจากท่านมหานักบวชขนแดงแล้ว หากให้เวลาอีกหน่อย เขาคงผ่านอย่าถามไปได้แน่ ๆ การประลองนี้มันรู้ผลแล้ว!”
ตัวเขาที่เป็นอาณาจักรบรรพกาลครึ่งก้าวนั้นย่อมจะชื่นชมและใฝ่หาอาณาจักรบรรพกาลอย่างมาก
เพียงแค่ว่าการจะก้าวขึ้นไปนั้นมันสุดแสนยากเย็น!
ก่อนหน้านั้นตอนที่เทพสวรรค์เปียวหยูติดอยู่ที่อาณาจักรบรรพกาลครึ่งก้าวเอง เขาก็ไม่อาจจะก้าวขึ้นผ่านไปถึงอาณาจักรบรรพกาลได้เสียที ติดอยู่นานแสนนานจนได้มาเจอกับเย่หยวนเข้า
เพราะอาณาจักรบรรพกาลนั้นมันคือการเรียนรู้ถึงจุดกำเนิดอย่างแท้จริง มันคือการเปิดเข้าไปดูในยอดเต๋าตรง ๆ และใช้พลังของมันออกมาช่วยในการหลอมโอสถต่าง ๆ
เพราะฉะนั้นเมื่อฉือเซียวลงมือออกมามันจึงได้มีคลื่นเต๋าพุ่งกระจายไปทั่วทิศและดึงเอาพลังแนวคิดในสมุนไพรใด ๆ ออกมาได้สิ้น ทำการจัดเรียงหลอมวางใหม่จนทำให้เกิดเป็นโอสถที่ดีกว่าขึ้นได้ง่ายดาย
กงหยางเลี่ยเองก็ยกมือขึ้นมาลูบหนวดเคราของตนก่อนจะกล่าวขึ้น “หึ ๆ แม้ว่าฉือเซียวจะอวดดีวางตนเหนือท่าน แต่ตัวเขาก็มีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ ขนาดนายท่านเองก็ยังกล่าวชมเขาไม่หยุดปาก! หลังจากได้เห็นเรื่องราววันนี้แล้วข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าเจ้าเด็กเย่หยวนนั่นมันจะยังกล้าเรียกตัวเองว่ารองมหาปราชญ์หรือไม่!”
แต่ทางตัวเย่หยวนนั้นกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่แสดงท่าทีใด ๆ เขานั้นไม่ได้คิดรีบร้อนจะไปหลอมและมองดูการหลอมของฉือเซียวไปสักพักใหญ่ ๆ ก่อนที่จะส่ายหัวออกมาในที่สุด
“ฮา การประลองหลอมโอสถนั้นมันมิใช่การทะเลาะวิวาท แข่งกันพูดว่าใครเสียงดังกว่าจะชนะ วันนี้ปราชญ์ผู้นี้จะสั่งสอนเจ้าให้เองว่าการหลอมโอสถนั้นมันควรจะทำอย่างไร”
จากนั้นเย่หยวนก็ได้ยกมือขึ้นมาประกบกันส่งคลื่นพลังทำให้ท้องฟ้ามืดลงจนเกิดเป็นภาพของดวงดาวรายล้อมลานประลองไว้
เคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศ!
เมื่อเปิดใช้ศาสตร์หลอมอสูรขึ้นตาม ร่างกายของเย่หยวนก็เปลี่ยนกลายเป็นแค่เงาเลือน
พลังแนวคิดใด ๆ ในสมุนไพรนั้นมันต่างไหลวนเขามาหายังดวงดาวที่รายล้อมรอบทิศ
ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าทุกผู้คนนี้มันสวยงามจนได้แต่ต้องเหม่อมอง
เหล่าผู้คนที่ยังโห่ร้องชื่อ ‘ท่านฉือเซียว’ เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนนี้ต่างต้องหุบปากเงียบลงทันที
เพราะตอนนี้พวกเขาต่างตกตะลึงกับการหลอมโอสถของเย่หยวน!
เมื่อซินหลัวได้เห็นภาพตรงหน้าตัวเขาก็ถึงกับต้องอ้าปากค้าง ไม่อาจจะพูดกล่าวคำใด ๆ ออกมาได้
เดิมทีฉือเซียวนั้นคิดว่าตนมีความได้เปรียบจะกดดันเย่หยวนจนตัวเขาไม่อาจโงหัวขึ้น
แต่ไม่นานนักเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังรุนแรงตรงหน้าจนถูกคลื่นเต๋าโอสถนี้ผลักออกโดยไม่อาจขัดขืนได้
ต่อหน้าพลังเช่นนี้ เขารู้สึกได้ทันทีว่าตนเองช่างเล็กน้อยจิ๊บจ๊อยเสียเหลือเกิน
ฉือเซียวสั่นสะท้านไปทั้งใจ แต่ก็ไม่อาจจะละสายตาจากภาพตรงหน้าได้
ต่อให้จะเป็นตอนที่เขาประลองกับศิษย์พี่ทั้งหลายเอง ตัวเขาก็ยังไม่เคยจะสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังระดับนี้มาก่อน
เขานั้นรู้สึกได้ราวกับว่าเย่หยวนที่ตรงหน้านี้เป็นท้องฟ้ากว้างบนหัว เป็นผืนดินไพศาลใต้เท้า เป็นโลกทั้งใบ!
นี่มันคือยอดพลังอย่างแท้จริง!
“นี่… นี่คือพลังที่แท้ของเย่หยวน?” ซินหลัวมองดูเย่หยวนในลานกว้างอย่างตกตะลึง
กงหยางเลี่ยที่ไม่เข้าใจศาสตร์การหลอมโอสถนั้นย่อมจะไม่เข้าใจความเหนือล้ำ แต่ตัวเขาก็เข้าใจถึงความผิดปกติได้จากคำพูดของซินหลัว
ที่สำคัญด้วยพลังจักรพรรดิเทพสวรรค์ของเขานั้น เขาย่อมจะสัมผัสได้ถึงยอดเต๋าอย่างชัดแจ้ง
และคลื่นพลังตรงหน้านี้ มันทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว
มันมิใช่เพราะว่าคลื่นพลังตรงหน้านี้รุนแรงใด ๆ แต่มันเป็นเพราะว่าคลื่นพลังตรงหน้านี้มันน่าหลงใหลจนเกินห้ามใจ
เมื่อได้เกิดมาบนโลกนี้ คงทั้งหลายย่อมจะมีสิ่งที่กลัวเกรง
ผู้คนบูชาพระเจ้า นักยุทธบูชาฟ้าดิน
และสภาพของกงหยางเลี่ยในเวลานี้มันก็เหมือนดั่งเขาได้เผชิญกับฟ้าดินอยู่ตรงหน้า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? หรือว่า…ฉือเซียวจะหยุดมือลง?” กงหยางเลี่ยถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ
ซินหลัวที่ได้ยินต้องยิ้มขึ้นมาอย่างขื่นขม “การประลองนี้มันจบสิ้นแล้ว! โอสถผนึกจิตทำนองสวรรค์นั้นมันคือหนึ่งในโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์หกดาวที่ยากที่สุด ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ในสมุนไพรนั้นมันยุ่งยากซับซ้อน การจะดึงพลังแนวคิดนั้นออกมามันจะวัดความสามารถของนักบวชได้อย่างดี สำหรับเหล่าผู้ก้าวขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลแล้วมันก็ย่อมจะสามารถทำเช่นนั้นได้ไม่ยาก เพียงแค่ว่า…เย่หยวนผู้นี้ทำมันออกมาได้สมบูรณ์แบบ!”
อีกด้านทางฉีเจิ้นก็ต้องเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ตัวเขานั้นก็ได้ค่อย ๆ อธิบายความเก่งกาจเหนือล้ำของเย่หยวนนี้ให้สมาชิกเผ่าฟัง
“ความซับซ้อนของธาตุสมุนไพรนั้นมันเหมือนดั่งดาวบนฟ้า คนทั่วไปย่อมไม่อาจจะรับมือมันได้แม้แต่น้อย ต่อให้จะเป็นยอดฝีมืออาณาจักรบรรพกาลเองก็คงไม่อาจจะบอกว่าตนทำได้สมบูรณ์ ต่อให้เป็นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลหรือท่านบรรพบุรุษซื่อเฉินมาเองพวกเขาก็คงทำได้ไม่เหนือไปกว่าระดับของเย่หยวนนี้! หากเราจะบอกว่าฉือเซียวมีวิชาฝีมือที่เหนือล้ำแล้ว เช่นนั้นวิชาของเย่หยวนมันคงจะเป็นแบบอย่าง…แบบอย่างที่เราควรทำตาม!”
ที่ด้านหลังฉีเจิ้น สีหน้าของพวกฉีเฉินทั้งหลายต่างตึงเครียดขึ้นทันที
ฉีเจิ้นชื่นชมเย่หยวนอย่างมากจนเกินปกติ!
……………..