“ท่านอาจารย์ ฉือเซียวผู้นั้นมาโวยวายหน้าที่พักเราได้หลายวันแล้ว บอกว่าอยากจะท้าทายท่านต่อหน้าผู้คนทั้งเมือง”
เมื่อเย่หยวนออกจากการเก็บตัวกู้หงก็รีบเข้ามาทักทายและรายงานเรื่องราว
เย่หยวนได้แต่เลิกคิ้วสูง “โอ้? ออกไปดูกันเสียหน่อย”
คนทั้งสองเดินออกมาจนถึงประตูหน้าและได้พบว่าที่หน้าประตูมันมีคนยืนมุ่งอยู่มากมายจริง ๆ
การท้าทายรองมหาปราชญ์นั้นมันย่อมจะเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนคิดสนใจ แน่นอนว่ามันย่อมเกิดชาวมุงขึ้นไม่ยาก
ที่สำคัญไปกว่านั้นผู้คนทั้งหลายนั้นย่อมรู้ดีว่าฉือเซียวนี้เป็นศิษย์ของมหานักบวชขนแดง แน่นอนว่าวิชาฝีมือของเขามันย่อมเหนือล้ำ
การประลองของคนทั้งสองนี้มันย่อมจะกลายเป็นเรื่องน่าสนใจ ควรค่าที่จะมามุงดู
“ท่านรองมหาปราชญ์ ผู้น้อยฉือเซียวมาขอท้าทายท่าน!”
“ท่านรองมหาปราชญ์ ท่านเห็นหรือไม่? ทุกผู้คนต่างอยากจะเห็นท่านลงมือทั้งสิ้น!”
“ท่านรองมหาปราชญ์ ทำการหดหัวอยู่แต่ในกระดองเช่นนี้ท่านไม่กลัวจะทำให้ชื่อมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแปดเปื้อนหรือ?”
…
ที่ด้านนอกประตูฉือเซียวได้ร้องกล่าวอย่างสุดเสียงจนทำให้มีคนหันมาสนใจรอบด้าน
คนทั้งหลายนี้ย่อมจะถูกเสียงดัง ๆ ของเขาเรียกมาสิ้น
แต่ครั้งนี้เขามาอย่างฉลาดด้วยการเรียก ‘ท่านรองมหาปราชญ์’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่คิดกล้าวางท่าอวดดีใด ๆ
เมื่อได้เห็นเย่หยวนเดินออกมาทางฉือเซียวก็ต้องเบิกตากว้างก่อนจะก้มหัวลงให้แก่เย่หยวน “ท่านรองมหาปราชญ์ ฉือเซียวรอท่านมาแสนนานแล้ว!”
เย่หยวนจึงตอบกลับไป “เจ้าคิดท้าทายข้า?”
ฉือเซียวพยักหน้ารับ “เวลานี้ทุกผู้คนในเมืองต่างสงสัยว่าท่านรองมหาปราชญ์นั้นไม่มีคุณสมบัติพอจะครองนามนั้น ด้วยความที่เป็นแค่นักบวชหกดาว พลังบ่มเพาะเทพถ่องแท้ มีหรือที่มันจะควรค่าแก่นามรองมหาปราชญ์? เพราะฉะนั้นฉือเซียวจึงได้อาสาออกมาขอให้ท่านรองมหาปราชญ์ช่วยสั่งสอนข้าต่อหน้าอสูรทั้งเมืองนี้ เพื่อที่จะได้ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจและยอมรับว่าท่านเป็นรองมหาปราชญ์จริง ๆ”
“ใช่แล้ว ท่านรองมหาปราชญ์! หากท่านอยากให้ผู้คนยอมรับท่านก็ต้องแสดงฝีมือออกมา!”
“เราคิดอยากจะรู้แค่ว่าท่านนั้นเก่งกาจปานใดถึงได้รับนามรองมหาปราชญ์ไป!”
“ไม่ให้เราได้เห็นฝีมือของท่านแล้วเราคงยอมรับท่านเป็นรองมหาปราชญ์เสียไม่ได้!”
…
คนที่มาทั้งหลายในหมู่ชนนั้นส่วนมากจะเป็นนักบวชที่คิดประเมินนามของรองมหาปราชญ์ไว้อย่างสูงส่ง
ด้วยฉือเซียวที่พูดนำออกไป คนทั้งหลายก็เริ่มแสดงความเห็นตาม
เย่หยวนหรี่ตาลงมองคนทั้งหลายตรงหน้าด้วยท่าทางสบายใจ
ฉือเซียวนั้นเป็นคนที่วางตัวเหนือหัวผู้คน แน่นอนว่าย่อมจะไม่อาจคิดเรื่องราวใด ๆ ที่มากเล่ห์เช่นนี้ได้ เรื่องราวนี้มันต้องมีใครวางแผนอยู่เบื้องหลัง
แต่ในเมื่อเย่หยวนกล้าจะมายังอาณาจักรวิญญาณประจิมแล้ว ตัวเขาก็ย่อมจะไม่เกรงกลัวคำท้าทายใด ๆ
เย่หยวนนั้นได้แสดงสีหน้าเย้ยหยันออกมาก่อนจะยิ้มตอบ “แค่ชนะเจ้าได้ก็ควรค่าเป็นรองมหาปราชญ์ได้? ฉือเซียว เจ้าจะไม่ประเมินตนสูงเกินไปหน่อยหรือ?”
ฉือเซียวที่ได้ยินถึงขั้นแทบสำลักลงตรงนั้น คนอื่น ๆ ทั้งหลายเองก็ได้แต่เงียบปากลงทันที
ใช่แล้ว ตัวตนของรองมหาปราชญ์นั้นมันคือใคร?
นั่นมันคือยอดฝีมือในวิชาการโอสถที่เป็นรองแค่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล มีหรือที่ฉือเซียวน้อย ๆ นี้จะไปเปรียบเทียบเขาได้?
ฉือเซียวนั้นได้รับรู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวนแล้ว ตัวเขาไม่อาจจะสู้เถียงใด ๆ ได้เลย
เขานั้นเป็นแค่เด็กน้อยที่เย่หยวนจะทำอย่างไรด้วยก็ได้
ช่างน่าคับแค้นใจนัก!
“ท่านรองมหาปราชญ์ ท่านคิดจะเลี่ยงการประลองกับข้า?” ฉือเซียวกัดฟันร้องถาม
ต่อให้เย่หยวนจะหลบเลี่ยงการต่อสู้กับเขาด้วยเหตุผลนี้ เวลานี้มันก็คงไม่มีใครกล้าจะมาว่ากล่าวใด ๆ
เจ้าคิดอยากท้าทายข้า แต่ตัวเจ้านั้นมันไม่มีค่าพอ!
“หึ ๆ ทำไมปราชญ์ผู้นี้จะต้องหลบเลี่ยงการประลองกับเจ้าด้วย? ที่ข้าบอกเจ้าไปนั้นก็เพื่อจะให้เจ้าได้รู้ถึงสถานะของตนเอง! เจ้าคิดว่าแค่ก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรบรรพกาลแล้วตนเองจะเก่งกาจมีค่าพอมาท้าทายปราชญ์ผู้นี้? เช่นนั้นปราชญ์ผู้นี้ก็จะแสดงให้เจ้าได้เห็นความแตกต่างระหว่างเราทั้งสองคนเอง!”
ฉือเซียวที่ได้ยินจึงเบิกตากว้างขึ้นพร้อมหัวเราะร่า “นี่ท่านพูดเองนะ!”
“ข้านี่แหละพูด” เย่หยวนตอบกลับไป
…
รองมหาปราชญ์ปะทะฉือเซียว ศิษย์แห่งมหานักบวชขนแดง แน่นอนว่าเรื่องราวมันย่อมจะกระจายไปทั่วทั้งเมืองในเวลาสั้น ๆ
ตอนนี้ในลานกว้างนั้นมันได้มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันจนแทบไม่มีที่ให้หายใจ
เหล่านักบวชทั้งหลายนั้นต่างพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะก้าวเข้าไปใกล้ลานประลองให้ได้มากที่สุด
บนสังเวียนเวลานี้ฉือเซียวได้จ้องมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ท่านรองมหาปราชญ์ ความอับอายที่ท่านมอบให้ข้าไว้เมื่อหลายวันก่อน ข้าจะคืนมันให้จนสิ้น”
เย่หยวนที่ได้ยินจึงหรี่ตาลงมองพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันขึ้น “อับอาย? เจ้าจะบอกว่าการที่เจ้าไม่แสดงความเคารพต่ออาจารย์ปู่และข้าลงโทษเจ้าด้วยการให้นั่งคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นเขานั้นเป็นเรื่องน่าอับอาย?”
เมื่อฉือเซียวได้ยินใบหน้าของเขาก็ซีดขาวลงทันที
น่าคับแค้นใจนัก!
ความประมาทเพียงเล็กน้อยนี้มันกลับส่งตัวเขากลับลงหลุมอีกครั้งแล้ว
การจะให้เขาทำตัวสุภาพต่อหน้าคนที่มีพลังบ่มเพาะด้อยกว่าตัวนั้นมันเป็นเรื่องที่แสนยากจริง ๆ
เมื่อพูดออกมา ความประมาทมันก็ทำให้เขาต้องเผยธาตุแท้
“ป-เปล่า ข้า… ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ที่ข้าบอกคือท่านรองมหาปราชญ์โปรดชี้นำสั่งสอนข้าด้วย” ฉือเซียวร้องตอบด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก
ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ หากเขาถูกเย่หยวนลงโทษไปอีกแล้วมันคงเป็นความอับอายชั่วชีวิต
วันนี้เขาจะทำให้เย่หยวนเสียหน้า มิใช่มาเสียหน้าเสียเอง
ฉือเซียวนั้นเกลียดชังเรื่องตรงหน้าอย่างมาก ได้แต่คิดสาบานในใจว่าจะต้องทำให้เย่หยวนอับอายจนไม่มีหน้าไปพบผู้คน!
ทางเย่หยวนเองแทบจะหลุดหัวเราะออกมา แต่ภายนอกเขาก็ยังรักษาใบหน้านิ่งเฉยไว้ได้ “วางใจเถอะ ปราชญ์ผู้นี้จะสั่งสอนเจ้าเอง”
‘หึ ๆ เมื่อถึงเวลาแล้วใครกันที่จะสั่งสอนใคร! เจ้าได้ใจไปก่อนเถอะ ถึงเวลาแล้วจะร้องไห้!’ ฉือเซียวได้แต่ร้องว่าในใจไม่กล้าส่งเสียงออกมา
เพราะตัวเขานั้นมั่นใจในฝีมือของตนอย่างไม่คิดว่าจะแพ้พ่ายต่อเย่หยวนได้
การประลองนี้มันได้ทำให้ผู้คนมากมายต้องหันมาสนใจ
บนหอคอยสูงไม่ไกลออกไปกงหยางเลี่ยก็กำลังจ้องมองดูลงมาพร้อมด้วยมือไขว้หลัง ที่ด้านหลังของเขานั้นมีซินหลัวอยู่ด้วย
เรื่องราวที่ฉือเซียวถูกอีกฝ่ายปั่นหัวจนแทบคลั่งนั้น ตัวเขาเห็นมันอย่างชัดแจ้ง
กงหยางเลี่ยได้แต่ส่ายหัวออกมาเมื่อเห็น “ฉือเซียวนั้นมีพรสวรรค์สูงล้ำจริง แต่ประสบการณ์ชีวิตของเขานั้นยังมีน้อย ไม่อาจจะไปเทียบเคียงเย่หยวนคนนี้ได้เลย!”
ซินหลัวได้แต่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยิน “หึ ๆ ข้าว่าการประลองนี้เองมันก็คงช่วยให้ท่านฉือเซียวพัฒนาความคิดไปได้มาก เพราะตัวเขานั้นถูกท่านขนแดงหมายตาไว้ตั้งแต่ยังอายุน้อย ๆ จึงได้เดินทางอันสวยหรูมีแต่ชื่นชม ในเรื่องความเจ้าเล่ห์กลแล้ว เขาย่อมจะไม่อาจเทียบเคียงท่านรองมหาปราชญ์ได้แม้แต่ปลายเส้นผม”
กงหยางเลี่ยหรี่ตาลงหันไปมอง “เย่หยวนผู้นี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาเติบโตมาอย่างไร ทั้ง ๆ ที่อายุก็ไม่มากมายแต่กลับเจ้าเล่ห์มากกลเหมือนคนเฒ่ามากประสบการณ์ เขานั้นเย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่ได้จะดูถูกผู้คนไปทั่วทุกทิศทุกแดน เขานั้นโอหังแต่ก็ไม่เคยจะลืมเลือนเป้าหมาย แม้แต่จักรพรรดิผู้นี้ก็ยังไม่อาจประมาทได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา”
ซินหลัวที่ได้ยินจึงตอบกลับมา “นามรองมหาปราชญ์นั้นถูกเขาใช้ออกมาอย่างถึงที่สุด เขานั้นไม่ได้ใช้ชื่อรองมหาปราชญ์นี้ประมาททุกสิ่งอย่าง แต่กลับใช้ชื่อนี้เพื่อกดดันพวกเราจนแทบไม่อาจหายใจหายคอคล่อง ช่างเป็นคนที่มีความคิดเหนือล้ำผู้คนจริง ๆ”
กงหยางเลี่ยจ้องมองดูเย่หยวนที่อยู่ไกลออกไปนั้นก่อนจะกล่าวถามขึ้น “เจ้าคิดว่าโอกาสชนะของฉือเซียวในการประลองนี้มันสูงเท่าใด?”
ซินหลัวยิ้มตอบกลับไป “ศึกนี้ ท่านฉือเซียวชนะแน่นอน!”
กงหยางเลี่ยที่ได้ยินถึงกับต้องเบิกตากว้างถามขึ้น “โอ้? ทำไมคิดเช่นนั้นเล่า?”
เมื่อก้าวไปถึงอาณาจักรบรรพกาลนั้นมันก็เหมือนได้จุติใหม่ในอีกโลกหล้า
ใครที่จะเก่งกาจอ่อนแอกว่ามันย่อมมิใช่สิ่งที่คนระดับต่ำกว่าจะไปวัดได้เลย
กงหยางเลี่ยนั้นได้แต่ต้องยอมรับว่าพรสวรรค์ของเย่หยวนนี้มันเหนือหัวสูงล้ำผู้คนจริง ๆ เหนือล้ำเสียยิ่งกว่าฉือเซียว
ทางซินหลัวที่เข้าใจความคิดของกงหยางเลี่ยจึงได้ตอบกลับมา “พรสวรรค์มันก็เรื่องหนึ่ง แต่ฝีมือมันก็อีกเรื่อง หากเราไม่อาจก้าวขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลได้มันย่อมไม่อาจจะเอาไปเทียบเคียงกับเย่หยวนได้ แต่ท่านฉือเซียวนั้นก้าวขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลได้เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ส่วนตัวเย่หยวนนั้นอย่างมากก็คงแค่ไม่กี่ร้อยปี หรืออาจจะสั้นกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญไปกว่านั้นท่านฉือเซียวยังได้รับการสั่งสอนใกล้ชิดจากท่านขนแดง การที่เขาออกมาท้าทายครั้งนี้ได้มันย่อมจะหมายความว่าท่านขนแดงเองก็คงไม่คิดว่าเขาจะแพ้! หากให้ข้าเลือกแล้วมันย่อมจะเป็นท่านฉือเซียวมากกว่าที่จะชนะ!”
…………….