ตอนที่ 1000 ด้วยความยินดี
นี่เท่ากับว่าคุณชายหลินยอมพลีกายเพื่อช่วยชาติจริง ๆ หรือ?
สิ่งที่ทุกคนเคยพูดกันด้วยอารมณ์ขัน กลายเป็นสิ่งที่ตลกไม่ออกไปเสียแล้ว
เพราะมันจำเป็นต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่ง
เพียงเพื่อต้องการให้จักรวรรดิเป่ยไห่ทำภารกิจสำเร็จ คุณชายหลินถึงกับต้องจำยอมตกเป็นทาสรักของเด็กสาวชาวป่านางนี้… เพียงแค่คิด ทุกคนก็รู้สึกสงสารจับใจ
นายทหารในกองทัพเป่ยไห่ยิ่งเทิดทูนบูชาเด็กหนุ่มมากขึ้น
“นายท่าน”
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินมีน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า
นายท่านช่างน่าสงสารเหลือเกิน
คุณชายหลินเคยข้องเกี่ยวแต่กับเยว่เว่ยหยางและคุณหนูตระกูลสูงส่ง แต่ละนางล้วนมีความงามหาตัวจับยาก เมื่อนำมาเทียบกับเด็กสาวชาวป่าจากเผ่าจันทราขาวที่มีผิวสีดำเข้มแล้ว คงนับว่านายท่านต้องลำบากใจแล้วจริง ๆ
“คุณชายหลินสามารถทนรับความสกปรกเช่นนี้ได้อย่างไร”
โหลวซานกวนและผู้ใต้บังคับบัญชากระซิบกระซาบกันด้วยความสงสาร
เพียงนึกภาพคุณชายหลินต้องถูกเด็กสาวชาวป่าขย่มบนเตียงนอนด้วยความป่าเถื่อนทุกค่ำคืน… หืม? เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว นั่นก็ไม่ได้ฟังดูเลวร้ายสักเท่าไหร่นี่นา?
อีกอย่าง เด็กสาวนางนี้ต่อให้มีผิวคล้ำเกินไปสักหน่อย แต่รูปร่างหน้าตาและทรวดทรงองค์เอวก็ถือว่ามีความโดดเด่นไม่เป็นรองใครไม่ใช่หรือ?
แทบไม่ได้เป็นรองเหล่าหญิงสาวผิวขาวในนครหลวงด้วยซ้ำ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความสงสารเวทนาคุณชายหลินก็เปลี่ยนเป็นความอิจฉาริษยาขึ้นมาทันที
คุณชายหลินน่าจะยกหน้าที่พลีกายถวายสวาทเด็กสาวคนนั้นมาให้พวกเขา
นายทหารจำนวนมากยินดี ‘ตาย’ เพื่อประเทศชาติ
หลินเป่ยเฉินผู้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะโอบแขนกอดรัดไป๋เสี่ยวเซียวเข้ามาในอ้อมอก จัดการบีบก้นเน้น ๆ ไปทีหนึ่งแล้วพูดว่า “เสือดาวน้อย เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าคืนนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าจนต้องร้องขอชีวิต?”
“อิอิ…”
ไป๋เสี่ยวเซียวยิ้มแย้มอย่างมีเสน่ห์
ถึงนางจะเป็นสาวชาวป่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีมารยาท
หากเป็นเหตุการณ์ปกติทั่วไป ไป๋เสี่ยวเซียวคงไม่มีทางประพฤติตนเช่นนี้ต่อหน้าสายตาคนจำนวนมาก แต่วันนี้เมื่อได้เห็นเฉียนเหมยกับเฉียนเจินวิ่งเข้ามาสวมกอดหลินเป่ยเฉินด้วยความสนิทสนม ไป๋เสี่ยวเซียวก็รู้สึกว่าตนเองสมควรต้องทําอะไรสักอย่าง…
และการที่หลินเป่ยเฉินไม่ได้รีบร้อนผลักไสนางออกมาก็ทำให้ไป๋เสี่ยวเซียวมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นางร้องขอเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินสามารถทำให้นางพอใจได้เป็นอย่างดี
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่น
และเนื่องจากมีคุณชายหลินเป็นคนกลาง ทั้งสองฝ่ายจึงกินดื่มกันด้วยความรื่นเริง
โดยเฉพาะชาวเผ่าจันทราขาวผู้ไม่เคยร่ำสุรามาก่อน พวกเขาดื่มด่ำไปกับความเมามาย คนหนุ่มคนสาวลุกขึ้นมาเต้นระบำ บางคนก็ฉุดดึงนายทหารจากกองทัพเป่ยไห่ให้ไปเต้นด้วยกันรอบกองไฟ…
องค์จักรพรรดิพยายามโน้มน้าวใจให้ชาวเผ่าจันทราขาวติดตามตนเองกลับออกไปสู่โลกภายนอก แต่ผลลัพธ์กลับล้มเหลว
งานเลี้ยงเลิกราตอนเที่ยงคืน
ชาวเผ่าผู้เมามายตั้งค่ายพักแรมชั่วคราวนอกกำแพงเมือง
และหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้กลับไปเข้าพักในตัวเมือง แต่เขาเลือกที่จะพักอยู่ในค่ายพักแรมชั่วคราวพร้อมกับชาวเผ่าจันทราขาว
ไป๋เสี่ยวเซียวรุกรักอย่างเร่าร้อนตลอดคืน
การโรมรันพันตูเป็นไปอย่างดุเดือดครั้งแล้วครั้งเล่า
ร่างกายร้อนผ่าว รสสวาทถูกปลดปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่งและป่าเถื่อน
ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่สวยงาม
ความสวยงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความร้อนแรง
ความร้อนแรงที่จะประทับลงลึกในจิตใจของผู้คนไปชั่วชีวิต
ราตรีที่ยาวนาน แต่อย่างไรก็ต้องมีจุดจบ
รุ่งเช้า หลินเป่ยเฉินเผลอหลับไปโดยที่มีไป๋เสี่ยวเซียวอยู่ในอ้อมแขน
เมื่อถึงตอนเที่ยง เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมา ไป๋เสี่ยวเซียวก็ไม่ได้อยู่ในกระโจมของเขาอีกต่อไป
เขาลุกขึ้นมานั่งโคจรพลัง รู้สึกอย่างชัดเจนว่าร่างกายของตนเองช่างสดชื่น
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินสวมใส่เสื้อผ้าและเดินออกมานอกกระโจม
เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่ท้องฟ้าภายนอกดูจะแจ่มใสมากขึ้น และสภาพแวดล้อมรอบกายก็ดูสวยงามมากขึ้นเช่นกัน
ยังคงมีผลกวนเจี๋ยจากในเมืองจันทราขาวส่งมาให้หลินเป่ยเฉินไม่ขาดสาย
คุณชายหลินรับส่วนแบ่งของตนเองโดยไม่ปฏิเสธ
ปัญหาก็คือเมื่อเขากลับไปจักรวรรดิเป่ยไห่แล้ว หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจเลยว่าตนจะสามารถเดินทางกลับมาที่นี่ได้อีกหรือไม่ และมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะไม่ได้มายังดินแดนนี้อีกแล้ว
องค์จักรพรรดิเสด็จมายังค่ายที่พักของชาวเผ่าเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสิ่งของ เช่น สุรา อาหาร ผลไม้ เครื่องปรุง เมล็ดพืชพันธุ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
“เอ๊ะ? ไป๋เสี่ยวเซียวหายไปไหนนะ?”
วันนี้ หลินเป่ยเฉินยังไม่พบหน้าไป๋เสี่ยวเซียวเลยสักครั้ง
หรือว่าเด็กสาวยังคงเหนื่อยล้าจากการทำศึกหนักเมื่อคืน จึงหาที่นอนหลับพักผ่อน?
ไม่น่าเป็นไปได้
เมื่อคืนนี้ เขาใช้เคล็ดวิชาร่วมรักเสริมพลังของบัณฑิตใบหน้าขาวดำ และนั่นหมายความว่าไป๋เสี่ยวเซียวสมควรตื่นมาพร้อมกับความสดชื่นเช่นตนเอง
หลินเป่ยเฉินจึงเดินไปสอบถามข้อมูลจากไป๋หลิงเอ๋อร์
แววตาของเด็กสาวดูแปลกประหลาดไปเล็กน้อย นางมีท่าทีลังเล แต่แล้วก็หยิบแผ่นไม้ขนาดเล็ก ๆ ออกมาแผ่นหนึ่งยื่นส่งให้แก่หลินเป่ยเฉิน
มันเป็นแผ่นไม้ที่เพิ่งจะถูกขัดเกลาได้ไม่นานนัก กลิ่นหอมของเนื้อไม้ตามธรรมชาติยังคงอยู่
บนแผ่นไม้เขียนข้อความว่า…
‘ไม่ใช่ท่านที่ทิ้งข้าไป แต่เป็นข้าที่ไม่ต้องการท่านอีกแล้ว’
นี่เป็นลายมือของไป๋เสี่ยวเซียว
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ไป๋หลิงเอ๋อร์ผู้มีความสนิทสนมกับไป๋เสี่ยวเซียวนำกิ่งไม้มาเขียนข้อความบนพื้นดินว่า ‘เสี่ยวเซียวบอกไม่ให้ท่านตามหานาง นางจะออกจากเผ่าจันทราขาวไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อตามหาท่านพี่ชินหยุน และนางก็อยากจะเป็นนักบวชประจำดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ได้…’
หลินเป่ยเฉินได้แต่นิ่งเงียบ
ระหว่างเขากับไป๋เสี่ยวเซียวไม่มีสิ่งใดให้เสียใจ
นี่สมควรเป็นโชคชะตาที่ไม่มีอนาคตและไม่มีอดีต
นี่เป็นเพียงการพบกันอย่างไม่คาดฝันในชีวิตของคนสองคน ซึ่งมีจุดจบชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า สุดท้ายพวกเขาก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี
แต่นี่เป็นจุดจบที่ต่างจากการคาดคิดของหลินเป่ยเฉิน
เขาเชื่อว่าถึงตนเองจะเป็นเด็กหนุ่มเสเพล แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานอีกสักกี่ปี ภาพของไป๋เสี่ยวเซียวก็ไม่มีทางเลือนหายไปจากหัวใจของเขาเด็ดขาด
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ยังคงเงียบขรึม
ไป๋หลิงเอ๋อร์เฝ้ามองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความเคารพเทิดทูนและออกจะวิตกกังวลสักเล็กน้อย
รีบไปตามหานางสิ
เวลาที่สตรีบอกไม่ให้ท่านไปตามหานาง นั่นคือเวลาที่ท่านสมควรไปตามหานางที่สุด
เหตุไฉนท่านถึงยังยืนอยู่ตรงนี้อีก?
หลินเป่ยเฉินไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจสายตาของไป๋หลิงเอ๋อร์
แต่เขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิม
แทนที่จะออกตามหาไป๋เสี่ยวเซียว เขากลับนำกระบี่วิญญาณมรกตมาถือในมือ
เด็กหนุ่มใช้นิ้วมือลูบไปบนกระบี่อย่างแผ่วเบา ก่อนจะส่งกระบี่เล่มนั้นให้แก่เด็กสาว แล้วเขียนข้อความว่า ‘ได้โปรดส่งมอบกระบี่เล่มนี้ให้แก่ไป๋เสี่ยวเซียวและฝากบอกนางด้วยว่าเราจะต้องได้พบกันอีก’
ไป๋หลิงเอ๋อร์รับกระบี่มาถือด้วยสองมือ
นางทราบดีว่านี่เป็นกระบี่คู่กายของหลินเป่ยเฉิน
มีความสำคัญสำหรับเขาเทียบเท่ากับไม้เท้าประจำกายหัวหน้าเผ่า
นับว่าเขายังเห็นความสำคัญของไป๋เสี่ยวเซียวอยู่บ้าง
เด็กสาวเดินถือกระบี่จากไปอย่างมีความสุข
องค์จักรพรรดิยืนมองเหตุการณ์นี้อยู่ห่าง ๆ ในใจของพระองค์ทรงเกิดคำถามขึ้นมามากมาย
ท่านทรงแกล้งทำเป็นเดินผ่านมาโดยบังเอิญและเปรยถามว่า “กระบี่วิญญาณมรกต…”
“กระหม่อมให้ผู้อื่นไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับมาเสียงเรียบ
“อ้อ”
องค์จักรพรรดิพยักหน้าหงึกหงัก
ทั้งที่ในหัวใจแทบระเบิดด้วยความกลัดกลุ้ม
ให้ตายสิ!
เด็กหนุ่มต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ
นั่นมันอาวุธประจำชาติเชียวนะ
แต่หลินเป่ยเฉินกลับยินดีมอบให้แก่ผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย… เพียงเพื่อเด็กสาวนางหนึ่ง… หลินเป่ยเฉินไม่ได้ลังเลเลยสักนิด…
มิน่าเล่า เด็กหนุ่มจอมเสเพลผู้นี้จึงมีสตรีหลงใหลมากมายนัก!!