บทที่ 1001 เดินทางกลับบ้าน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,001 เดินทางกลับบ้าน

แล้วพระองค์จะให้บุตรสาวของตนเองแต่งงานกับคนเช่นนี้จริง ๆ หรือ?

ก่อนหน้านี้ที่องค์จักรพรรดิเคยรับสั่งให้หลินเป่ยเฉินเลือกแต่งงานกับบุตรสาวของพระองค์คนใดก็ได้นั้น นับเป็นการกล่าวทีเล่นทีจริง

เพราะหากหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นราชบุตรเขยขึ้นมา เขาก็จะต้องรับผิดชอบประเทศชาติ และอนาคตของจักรวรรดิเป่ยไห่ก็จะต้องมั่นคงขึ้นอย่างแน่นอน

แต่ที่สำคัญก็คือ เด็กหนุ่มคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลาชนิดที่ชายหนุ่มทุกคนคิดอิจฉา ดังนั้น ต่อให้บุตรสาวของพระองค์ทรงแต่งงานเป็นเพียงภรรยาน้อย ก็ไม่มีอะไรเสียหายด้วยซ้ำ

แต่บัดนี้ เมื่อได้เห็นต่อหน้าต่อตาว่าหลินเป่ยเฉินสามารถมอบกระบี่วิญญาณมรกตให้แก่ผู้อื่นได้โดยไม่ลังเล องค์จักรพรรดิก็ต้องคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง…

นี่หมายความว่าการเอาชนะใจหลินเป่ยเฉินนั้น เพียงให้แต่งงานกับบุตรสาวของท่านคงไม่พอเสียแล้ว

องค์จักรพรรดิทรงเสแสร้งแกล้งเดินไปทำสิ่งอื่น

แต่ในหัวใจกำลังร้อนรุ่มเป็นอย่างยิ่ง

องค์จักรพรรดิทรงตัดสินพระทัยแล้วว่า หลังจากนี้ คงต้องหาเวลาปรึกษาอัครเสนาบดีจั่วเซียงสักเล็กน้อย บางทีชายชราอาจจะมีคำตอบที่เหมาะสมก็เป็นได้

บ่ายวันต่อมา ครบกำหนดการทดสอบสงครามชิงอาณาจักร

หลินเป่ยเฉินเจ็บปวดหัวใจอีกครั้งเมื่อต้องใช้ศิลาบูชากว่า 3,000 ก้อนซื้อหาปุ๋ยทางการเกษตรจากแอป Taobao เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์เวย์โปรตีนและวิตามินเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เพื่อส่งมอบสิ่งที่ซื้อหามานี้ให้แก่ชาวเผ่าจันทราขาวทั้งหมด

อันที่จริงนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่อยากทำเช่นนี้หรอก

ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นคนเห็นแก่เงินยิ่งกว่าอะไรดี แม้แต่จะใช้จ่ายเงินเพื่อตนเอง คุณชายหลินก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ

แต่ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินถึงกับยอมจ่ายศิลาบูชาถึง 3,000 ก้อน

เพราะอะไรกัน?

บางทีอาจเป็นเพราะว่าไป๋เสี่ยวเซียวยังคงต้องอาศัยอยู่ที่นี่

บัดนี้ อาณาเขตแห่งนี้ตกเป็นของชาวเผ่าจันทราขาวโดยสมบูรณ์

ในดินแดนที่มีเพียงสัตว์อสูรแห่งนี้ หลงเหลือพวกเขาเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่แข็งแกร่งมากที่สุด

เมื่อต้นกวนเจี๋ยสามารถให้ผลผลิตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของชาวเผ่าก็เพิ่มมากขึ้น การรับมือกับสัตว์อสูรที่คอยทำลายพืชผลทางการเกษตรจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาอีกต่อไป

วิถีชีวิตของชาวเผ่าดีขึ้นมาก

บัดนี้ พวกเขาสามารถเอาชนะสัตว์อสูรทุกเผ่าพันธุ์ได้อย่างง่ายดาย และสัตว์อสูรบางส่วนก็ถูกจับตัวมาใช้งานในเมือง นอกจากเป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว พวกมันยังกลายเป็นเพื่อนเล่นของบรรดาเด็ก ๆ อีกด้วย

ภายในตัวเมืองเต็มไปด้วยต้นกวนเจี๋ย

ว่ากันว่าเมื่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้กลับมาออกดอกออกผลอีกครั้ง มันก็จะช่วยปรับปรุงระบบนิเวศโดยรวม ทำให้สภาพแวดล้อมของชาวเผ่าอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

คาดว่าคงใช้เวลาไม่กี่ปี ดินแดนจันทราขาวแห่งนี้ก็จะกลายเป็นสวรรค์บนดิน

มันจะกลายเป็นโลกใบใหม่

และเด็กหนุ่มผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก็กำลังโบกมือลาพวกเขาอยู่ในกองทัพเป่ยไห่

น่าเสียดายที่เด็กหนุ่มต้องเดินทางไกลแล้ว

บนกำแพงเมือง

เมื่อองค์จักรพรรดิส่งรายงานเรื่องการทำภารกิจเสร็จสิ้น หัวใจของทุกคนก็เต้นด้วยความลุ้นระทึก ดวงตาจ้องมองแผ่นป้ายการประเมินตลอดเวลา

ตราบใดที่แผ่นป้ายนี้แสดงสัญลักษณ์รับรองว่าภารกิจของพวกเขาสำเร็จแล้ว ประตูมิติสำหรับเดินทางกลับสู่จักรวรรดิเป่ยไห่ก็จะเปิดออกอีกครั้งและทุกคนก็จะได้กลับบ้าน

เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

หลายคนตื่นเต้นแทบลืมหายใจ

ในที่สุด…

ครืด!

แผ่นป้ายก็เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

จากนั้น อักขระบนแผ่นป้ายก็เปล่งแสงสว่างเรืองรองเป็นประกายสีฟ้าครามอย่างสวยงาม

การเรืองแสงของอักขระเหล่านี้ไม่ต่างจากการลงนามอนุญาตเปิดประตูมิติ

ทันใดนั้น ประตูมิติขนาดใหญ่ก็เปิดกว้างกลางอากาศ

“เรียบร้อยแล้ว”

“พวกเราทำสำเร็จแล้ว”

“พวกเราผ่านการทดสอบแล้ว!”

กองทัพเป่ยไห่โห่ร้องด้วยความดีใจ

ในที่สุด ช่วงเวลานี้ก็มาถึง

ทุกคนรีบถอนกำลังพลอย่างรวดเร็ว

หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไรสักคำ เขาเพียงโบกมืออำลาชาวเผ่าจันทราขาวที่อยู่ในค่ายพักแรมชั่วคราวนอกกำแพงเมือง จากนั้นจึงเดินหายเข้าไปในประตูมิติพร้อมกับกลุ่มคนที่มาจากจักรวรรดิอันไกลโพ้น

วูบ!

ระหว่างที่เฝ้ามองพวกของหลินเป่ยเฉินเดินหายเข้าไปในประตูมิติ ชาวเผ่าจันทราขาวทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ สตรีหรือบุรุษ ต่างก็มีสีหน้าเศร้าโศกเสียใจอย่างชัดเจน

ทุกคนรู้ดีว่าผู้อาวุโสจูท่านนี้ไม่ทราบจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ หรือบางทีเขาอาจจะไม่กลับมาอีกเลยก็เป็นได้

สำหรับเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่นำพาความหวังมาให้แก่ชาวเผ่า พวกเขาจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้ไปชั่วชีวิต

“เฮ้อ น่าเสียดายจริง ๆ ที่เขาอยู่ต่อไม่ได้”

หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉากล่าวด้วยความเสียใจ

“เจ้าเด็กสารเลว…”

ผู้อาวุโสตาเดียวไป๋ซานเยว่ด่าพร้อมกับยกมือปาดน้ำตา

ผู้อาวุโสจูจากไปแล้ว ทิ้งให้หลานสาวของเขาไป๋เสี่ยวเซียวต้องอยู่เพียงลำพัง และนางก็คงเฝ้าฝันหาเด็กหนุ่มผู้นี้ไปตลอดชีวิต

เด็กสาวชาวเผ่าจันทราขาวมีหัวใจที่บริสุทธิ์

เมื่อรักใครแล้วก็จะรักตลอดไป

ไป๋ซานเยว่รักหลานสาวคนนี้มาก

คนทั้งเผ่ารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่นี้ และพวกเขาก็ทราบดีว่าทั้งสองคนนั้นลึกซึ้งกันถึงระดับใดแล้ว

ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นจากด้านหลัง

เป็นเสียงสะอื้นด้วยความเศร้าของไป๋หลิงเอ๋อร์และเด็กสาวคนอื่น ๆ

ต้องโทษว่าหลินเป่ยเฉินมีความสมบูรณ์แบบมากเกินไป

เขามีเสน่ห์ที่ยากต้านทาน เพียงเวลาไม่นาน เด็กหนุ่มก็แทรกซึมเข้าไปอยู่ในหัวใจของเด็กสาวได้ทุกผู้คน บัดนี้ เมื่อเขาต้องเดินทางจากไป หลินเป่ยเฉินก็จากไปพร้อมกับหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของพวกนาง

ความรักอันบริสุทธิ์ของเด็กสาววัยแรกแย้ม

ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าไป๋เสี่ยวเซียวมาปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินยังทันหันมามองหน้าและส่งยิ้มให้นางเป็นครั้งสุดท้าย

เด็กสาวอดมาส่งเขาไม่ได้

ไม่ว่านางจะเศร้าเพียงใด ไป๋เสี่ยวเซียวก็ต้องฝืนยิ้มตอบกลับไป

นางไม่ได้ร้องไห้

เพียงแต่มีน้ำตาคลอเต็มเบ้า

เมื่อกองทัพเป่ยไห่ข้ามผ่านประตูมิติไปครบทุกคนแล้ว ประตูขนาดใหญ่ก็ปิดลงอีกครั้ง ไป๋เสี่ยวเซียวพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนเองว่างเปล่าขึ้นมาอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ คล้ายกับว่าส่วนหนึ่งของตัวนางได้ติดตามเด็กหนุ่มไปด้วย

ช่างเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวด

ความเจ็บปวดที่มากเกินไป

เดิมที ไป๋เสี่ยวเซียวเข้าใจว่าตนเองสามารถตัดใจได้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นเขาจากไป เด็กสาวกลับรู้สึกคล้ายตนเองกำลังจะตายเสียให้ได้

ไป๋เสี่ยวเซียวกำมือเป็นหมัดแน่น เล็บของนางจิกเข้าไปในเนื้อ

“หลานปู่…”

ไป๋ซานเยว่มองหลานสาวด้วยความเป็นห่วง

“ท่านปู่ การคัดเลือกกำลังจะมาถึงแล้ว ข้าอยากจะไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ได้”

แววตาของไป๋เสี่ยวเซียวเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง

โลกภายนอกอาจจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่นางตัดสินใจแล้วว่าจะออกไปผจญภัยดูสักครั้ง

สักวันหนึ่ง เมื่อเขาและนางได้พบกันอีกครั้ง ตัวนางที่เขาได้พบเห็นในตอนนั้น จะต้องไม่เหมือนในตอนนี้อีกแล้ว

แผ่นดินตงเต้า

จักรวรรดิเป่ยไห่ นครหลวง

ควันไฟลอยอยู่ทุกที่

อาคารพังถล่ม เปลวไฟยังคงลุกโชน

บนพื้นที่เต็มไปด้วยก้อนอิฐและดินโคลน ยังคงมีซากศพมากมายที่ไม่ได้รับการกลบฝัง แขนขามนุษย์เกลื่อนกลาด ใบหน้าผู้ตายแสดงออกถึงความหวาดกลัวสุดขีด…

นักรบเกราะแดงจำนวนมากเดินถือหอกลาดตระเวนตามท้องถนน เมื่อไหร่ก็ตามที่พบเห็นผู้ต้องสงสัย พวกเขาก็จะเข้าจับกุมตัวและสังหารเสียตรงนั้นด้วยโทษฐานเป็นกบฏ

อดีตเมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองและสวยงามกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตายอันน่าสยดสยอง

แม้จะเป็นเวลากลางวัน แต่ท้องถนนเงียบสงบราวป่าช้า

บางครั้งก็จะมีเสียงกรีดร้องลอยมาตามสายลม…

นอกจากนี้ก็ยังมีเสียงร้องคำราม เสียงแห่งการฆ่าฟัน เสียงแห่งการต่อสู้ดังออกมาจากตรอกซอกซอยต่าง ๆ

เสียงการต่อสู้ดังขึ้นเป็นระยะ

กองทัพนักรบเกราะเพลิงของมณฑลเฉียนเกาสามารถบุกยึดนครหลวงได้เมื่อสิบวันก่อน และนั่นก็เป็นการประกาศว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ที่ดำรงอยู่มาหลายร้อยปีได้ล่มสลายลงแล้วอย่างเป็นทางการ

เมื่อเมืองหลวงแตกสลาย นักรบเกราะเพลิงจึงออกไล่ล่าฆ่าผู้คนด้วยความโหดเหี้ยม

ชาวเมืองที่หลบหนีออกไปไม่ทัน ต้องถูกไล่ฆ่าติดต่อกันสามวันสามคืน

นครหลวงที่เคยเจริญรุ่งเรืองเปลี่ยนสภาพกลายเป็นนรกบนดิน

เช่นเดียวกับที่วิหารประจำเมือง หัวหน้านักบวชสูงสุดได้ออกมาพร้อมด้วยคฑาในมือ การเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการหน่วยรบเกราะเพลิงเกิดขึ้น มีการประกาศบัญญัติจากองค์เทพีกระบี่ ก่อนที่การต่อสู้อันดุเดือดจะเริ่มต้นขึ้นและจบลงบริเวณเชิงเขา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผลการต่อสู้เป็นอย่างไร แต่การฆ่าฟันก็ได้ยุติลงแล้ว

นักรบเกราะเพลิงแห่งมณฑลเฉียนเกาเลิกไล่ฆ่าชาวเมือง และหันมาไล่ล่าจับกุมคนของทางราชสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง

บรรยากาศแห่งความน่าสะพรึงกลัวยังคงปกคลุมนครหลวงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ