บทที่ 1748 สี่ทัพเคลื่อนไหว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

คำพูดนี้ช่างเกาถูกที่คันของสวีถังหรานจริงๆ เขายิ้มเผยฟัน กระซิบข้างหูนางว่า “รองหัวหน้าภาค…” เล่าเรื่องที่เหมียวอี้ให้สัญญาให้นางฟังคร่าวๆ

“หา!” เสวี่ยหลิงหลงดีใจจนลุกขึ้นนั่ง ก้อนกลมสองลูกตรงหน้าอกสั่นไหวเย้ายวนใจ เหมือนดีใจจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “จริงเหรอ? เลื่อนจากรองแม่ทัพภาคเป็นรองหัวหน้าภาคเลยเหรอ?ตำหนักนารีสวรรค์จะอนุญาตรึเปล่า?” นางย่อมเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างรองแม่ทัพภาคกับรองหัวหน้าภาค โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานที่นี้ รองแม่ทัพภาคตลาดผีกับรองหัวหน้าภาคทั้งอาณาเขตดาวต่างกันมากเกินไป ดูเผินๆ ห่างกันแค่หนึ่งสองขั้น แต่ความจริงแล้วต่างกันราวฟ้ากับดิน ตำแหน่งรองหัวหน้าภาคเกือบจะได้เป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว

สวีถังหรานหัวเราะหึหึ แล้วอธิบายว่า “คนอื่นพูดอาจจะไม่น่าเชื่อถือ แต่ถ้าเป็นนายท่านก็ไม่ต้องพูดถึงเลย เมื่อได้เอ่ยปากสัญญาแล้ว คาดว่าคงอีกไม่ไกลแล้วล่ะ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ปฏิบัติต่อข้าอย่างไร้ความยุติธรรมอยู่ดี จะต้องมีอะไรชดเชยแน่ เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นแล้ว เฮ้อ นายท่านดูแลสวีไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่เสียแรงที่สวีปรนนิบัติรับใช้ด้วยความจงรักภักดีมาหลายปี ก่อนที่เรื่องนี้จะถูกกำหนดแน่นอนก็อย่าออกไปพูดซี้ซั้วเชียวนะ แล้วอีกอย่าง เจ้าขยันวิ่งไปหาหนิวฮูหยินไวๆ หน่อยนะ นายท่านเชื่อฟังคำพูดหนิวฮูหยินที่สุดแล้ว อย่าให้เกิดอะไรผิดพลาดตอนสุดท้าย เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกใช่มั้ย?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ดวงตาทั้งคู่ของเสวี่ยหลิงหลงก็เป็นประกายจนแทบจะมีดาวลอยออกมา ฮูหยินรองแม่ทัพภาคจะเทียบกับฮูหยินรองหัวหน้าภาคได้อย่างไร? เกือบจะได้เป็นฮูหยินของเจ้าอาณาเขตแล้วนะ เรียกได้ว่าพยักหน้ารับคซ้ำๆ “เจ้าวางใจเถอะ ข้าเข้าใจ รู้ว่าต้องทำยังไง”

สวีถังหรานยื่นมือไปลูบหน้าอกนาง แล้วตอบอย่างลำพองใจ “ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร โดนคนนอกเอาตำแหน่งแม่ทัพภาคมาตบตาเข้าหน่อยก็หัวปั่นแล้ว ตอนนี้เห็นหรือยังล่ะ? ตำแหน่งแม่ทัพภาคสำคัญอะไรล่ะ ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี พ่อคนนี้ก็กำลังจะได้เป็นรองหัวหน้าภาคแล้ว”

“เชอะ!” เสวี่ยหลิงหลงค่อนขอด แต่พอนึกว่าตัวเองกำลังจะได้กลายเป็นฮูหยินรองหัวหน้าภาค ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นมื่นราวกับหัวใจมีดอกไม้บาน นางค่อยๆ กัดริมฝีปากอย่างเย้ายวน แล้วสุดท้ายก็ทำเสียงครางออดอ้อน ล้มนอนลงไปตามมือของเขา กอดสวีถังหรานเอาไว้แล้วเป็นฝ่ายหาความสำหรับเอง ครั้งนี้ทั้งสองคนเรียกได้ว่านัวเนียแนบแน่นไม่ยอมแยกจากกันจริงๆ

ว่ากันว่าอยู่ใกล้สีหมึกแดงย่อมติดสีแดง อยู่ใกล้หมึกดำย่อมติดสีดำ ผู้หญิงคนนี้อยู่กับสวีถังหรานมานานแล้ว ความคิดและการแยกแยะดีชั่วเริ่มถูกสวีถังหรานทำให้กลมกลืนแล้ว

วันต่อมา สวีถังหรานที่สดชื่นกระปรี้กระเปร่ากับหยางเจาชิงก็ออกไปทำความรู้จักกำลังพลในจวนและกำลังพลที่ประจำการตรงเขาภูตพเนจรชั่วคราว

เหมียวอี้ไม่สามารถติดต่อราชินีสวรรค์ได้โดยตรง ทำได้เพียงติดต่อเอ๋อเหมยซึ่งเป็นหัวหน้านางในของตำหนักนารีสวรรค์ ก่อนจะติดต่อไป เขาเลื่อยศให้ชิงเยว่กับหลงซิ่นคนละหนึ่งขั้น ชิงเยว่กลายเป็นยศเกราะดำสองแถบ หลงซิ่นกลายเป็นยศเกราะเงินสี่แถบ

อยู่ดีๆ ก็เลื่อนยศให้สองคนนี้ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังประหลาดใจ ส่วนเหมียวอี้ก็บอกเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองพูดไม่ออก

สาเหตุที่เลื่อนยศก็คือ ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังพลของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแทบจะไม่มีเลย ทั้งสองคนก็มาเฝ้าประตูใหญ่ให้จวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้โดยไม่ถือศักดิ์ศรีของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ ดูแลความปลอดภัยให้จวนแม่ทัพภาคตลาดผีในเวลาสำคัญ เป็นตัวอย่างที่ดีให้คนรุ่นหลัง ควรได้รับการสรรเสริญเป็นพิเศษ

เหตุผลนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ฟังดูมีเหตุผลอีก ทำให้คนอื่นเถียงไม่ออกเหมือนกัน การที่สามารถหาเหตุผลแบบนี้มาเลื่อนยศให้ทั้งสองได้ ทั้งสองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้หรือจะปลงดี เพราะผ่านไปหลายปีแล้ว

แน่นอนว่าการเลื่อนยศให้คนระดับนี้ เหมียวอี้สามารถตัดสินใจเองได้เลย ตราบใดที่อ้างเหตุผลที่ทำให้คนเถียงไม่ออกได้ก็ไม่มีปัญหา ไม่จำเป็นต้องรายงานเบื้องบน แต่เหมียวอี้ก็ยังติดต่อกับเอ๋อเหมยแล้ว ตั้งใจรายงานให้รู้สักหน่อย โยนเรื่องนี้มาลองเชิงก่อน

หลังจากเอ๋อเหมยได้รับข่าว ก็บอกให้เขารอก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงกระบวนการที่อยู่ระหว่างนั้น แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ยังต้องไปถึงมือราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจแล้วเช่นกัน เรื่องที่ผ่านมาอยู่ตรงหน้าตนได้ ก็แสดงว่าตระกูลเซี่ยโห้วไม่ห้ามแล้ว ปล่อยให้นางตัดสินใจได้ คำตอบที่ให้กับเหมียวอี้ก็คืออนุญาต ไม่มีความเห็นอย่างอื่น

วันเว้นวัน เหมียวอี้รายงานขึ้นไปอีกครั้ง เนื่องจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีขยายเป็นจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว เขาขอร้องให้เลื่อนยศให้ทุกคนในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลคนละหนึ่งขั้น อธิบายความจำเป็นนี้อย่างจริงจัง และบอกด้วยว่าเรื่องแบบนี้ก็เคยมีตัวอย่างให้เห็นแล้วที่ตำหนักสวรรค์ ขอร้องให้ตำหนักนารีสวรรค์อนุญาตอีกครั้ง

ครั้งนี้ไม่ใช่การเลื่อนยศให้แค่คนสองคน แต่เป็นการเลื่อนยศให้ทั้งหนึ่งแสนคนในจวนหัวหน้าภาค นี่ไม่ใช่เรื่องในขอบเขตอำนาจของเหมียวอี้แล้ว จำเป็นต้องมีคำสั่งจากเบื้องบน การเลื่อนยศให้คนจำนวนมากแบบนี้ไม่ใช่การแค่เลื่อนยศธรรมดาแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับปัญหาแบ่งสรรค่าจ้างของเบื้องบนด้วย

เอ๋อเหมยรายงานตระกูลเซี่ยโห้วทันทีที่ได้รับข่าว ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีความเห็นแย้งใดๆ ต่อเรื่องนี้ กลุ่มคนยศต่ำต่อให้เลื่อนขึ้นอีกขั้นแต่ยศก็ยังต่ำอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วควักเงินจ่ายค่าจ้างเองด้วย

พอเรื่องแบบนี้มาอยู่ตรงหน้า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่กล้าตัดสินใจอยู่ดี เพราะค่าจ้างต้องให้ตำหนักสวรรค์เป็นผู้แบ่งสรร ทั้งยังเกี่ยวข้องกับคนตั้งมากมาย แต่นางก็ถือว่าสนับสนุนเหมียวอี้เต็มที่เช่นกัน นางเดินท้องโย้ไปหาประมุขชิงด้วยตัวเองเพื่อเรื่องนี้

เช่นเดียวกัน เมื่อเรื่องนี้มาอยู่ในสายตาประมุขชิง ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยประดุจเมล็ดงาเท่านั้น เพราะเดิมทีก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว เขาให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จัดการเองตามเห็นสมควร ดำเนินการตามกฎระเบียบปกติก็พอแล้ว

ประมุขชิงไม่คัดค้าน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ย่อมสนับสนุน เดินเนินการตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ให้เหวินเจ๋อสหายเก่าของเหมียวอี้นำคำสั่งไปประกาศที่ตลาดผีด้วยตัวเอง

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งแล้ว กำลังพลหนึ่งแสนในจวนหัวหน้าภาคก็ได้เลื่อนยศหมู่ เหมียวอี้กลายเป็นเกราะม่วงสามแถบ

สวีถังหรานที่ได้เลื่อนยศเป็นเกราะม่วงสี่แถบรู้สึกสมใจปรารถนาแล้ว เงื่อนไขทุกอย่างเรียบร้อย ยศสูงมากพอแล้ว กำจัดอุปสรรคในการขึ้นตำแหน่งรองหัวหน้าภาคให้ตนหมดแล้ว ไม่รู้ว่าตนจะได้นั่งตำแหน่งรองหัวหน้าภาคอย่างจริงจังเมื่อไร

ชิงเยว่เลื่อนจากเกราะดำสองแถบเป็นเกราะดำสามแถบ หลงซิ่นก็เลื่อนจากเกราะเงินสี่แถบเป็นห้าแถบ เท่ากับใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็ได้เลื่อนยศสองขั้นต่อเนื่องกัน การเลื่อนยศที่รวดเร็วแบบนี้ทำให้ทั้งสองไม่ค่อยคุ้นชิ้นเท่าไร

ทัพใหญ่ได้เลื่อนยศหมู่ ทำให้ทั้งจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสุขสันต์หรรษา เรียกได้ว่าขวัญกำลังใจทหารมาเต็ม การที่สามารถจัดการเรื่องแบบนี้ได้ ก็ทำให้ทุกคนเห็นถึงความสามารถของเหมียวอี้แล้ว ทำให้มีความมั่นใจต่ออนาคตตัวเองมากขึ้นด้วย ต้องทราบไว้ว่าทุกคนไม่ได้เลื่อนยศมาหลายปีแล้ว

ทางฝั่งนี้กำลังดีใจอกดีใจ แต่ทัพเหนือใต้ออกตกของตำหนักสวรรค์กลับเหมือนเมฆลมที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง แทบจะสร้างกำลังพลลาดตระเวนมาจัดระเบียบสี่ทัพอย่างเข้มงวด ได้รับรายงานความผิดจากทั้งข้างล่างข้างบน การจัดระเบียบช่วงแรกจะให้ทัพใหญ่เกรียงไกรแต่ละกลุ่มไปตามจุดยุทธศาสตร์ก่อน จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายและสามารถปราบปรามด้วยความรวดเร็วได้ วิธีการที่แข็งกร้าวแบบนี้ทำให้หัวคนร่วงลงพื้นไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ไม่รู้ว่ากี่ครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ทำเอาคนของสี่ทัพหวาดกลัวและร่ำร้องโวยวายไปทั่ว แต่ครั้งนี้สี่อ๋องสวรรค์เหมือนจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ถึงแม้บางปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง แต่อย่างน้อยก็ต้องทำอย่างนี้ ทำให้เบื้องล่างเกรวกลัวเสียบ้าง วันหลังจะได้รู้ว่าอะไรคือขีดจำกัดความอดทน

ไม่รู้ว่าการจัดระเบียบนี้ดำเนินการต่อเนื่องนานเท่าไร และทัพเหนือของอ๋องสวรรค์โค่วก็ยิ่งนำร่องถ่ายทอดคำสั่งจัดตั้งทัพใหม่ โดยมีท่านโหวโค่วเจิงรัยหน้าที่สร้างทัพใหม่ชุดนี้เอง หลังจากสร้างทัพใหม่สำเร็จแล้ว โค่วเจิงก็เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง คัดเลือกผู้ที่วรยุทธ์ไม่ธรรมดาจากระดับต่ำสุด เป้าหมายแทบจะมีแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทหารเกรียงไกรทุกคนที่ไปพึ่งพาฝั่งตลาดผี ที่จริงส่วนใหญ่ยังอยู่ที่นี่ การที่ทัพเหนือมีการเคลื่อนไหวอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าตื่นตัวเพราะการรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อ

ผู้ที่ได้ผลประโยชน์โดยตรงจากการสร้างทัพใหม่ก็คือโค่วเจิง เท่ากับในมือมีกำลังพลเกรียงไกรกลุ่มหนึ่งที่เป็นของตัวเองแล้ว

เมื่อทัพเหนือเกิดการเคลื่อนไหวอย่างนี้ อีกสามอ๋องก็ตามกระแสทันที ทัพใต้ ทัพตะวันตกและทัพตะวันออกสร้างทัพใหม่เช่นกัน

สรุปก็คือสี่ทัพเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ไม่หยุด ภายในสี่ทัพเกิดคลื่นโหมซัดสาดระลอกแล้วระลอกเล่า มีแค่สี่อ๋องสวรรค์ที่กล้าทำอย่างนี้

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง หลังจากสั่งให้คนส่งผู้หญิงและเด็กที่ร้องไห้ฟูมฟายกลับไปแล้ว หวังเฟยเม่ยเหนียงก็ปวดหัวเช่นกัน

สี่ทัพเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไป นางเองก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย เบื้องล่างมีสตรีสูงศักดิ์มาขอร้องนางไม่ขาดสาย บ้างก็ว่าน้องชายของนางกำลังจะถูกประหารล้างตระกูล บ้างก็ว่าพี่ชายคนนั้นกำลังจะถูกประหาร น้องเขยกำลังจะเป็นอย่างนั้น พี่เขยกำลังจะเป็นอย่างนี้ มาหานางด้วยข้อหาต่างๆ กันไป ล้วนเป็นเพราะสามีตัวเองไม่สนใจหรือไม่ก็ไม่กล้ายุ่งแล้ว แต่ละคนมาขอให้นางไปช่วยขอร้องท่านอ๋องให้

“คิคิ ท่านแม่! ไล่ไปอีกกลุ่มแล้วใช่มั้ยคะ?” เม่ยเหนียงกำลังนวดหน้าผากปวดหัว ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่นอกประตูก็ยื่นศีรษาเข้ามาพูดหยอกล้อ

“นางหนูตัวแสบ แม้แต่เจ้าก็เห็นแม่น่าขำใช่มั้ย?” เม่ยเหนียงตบโต๊ะถลึงตา

ก่วงเม่ยเอ๋อร์แลยลิ้นสีแดงสด แล้วยื่นขึ้นถามว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อกลับมาแล้วค่ะ”

เพิ่งจะพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียงพูดปนหัวเราะของก่วงลิ่งกงดังขึ้น “ใครกันช่างใจกล้าถึงขนาดมายั่วโมโหหวังเฟย?” ตัวคนเลี้ยวเข้ามาในประตูตามเสียง

เม่ยเหนียงรีบลุกขึ้นคำนับต้อนรัย พร้อมถลึงตาใส่ลูกสาวหนึ่งที

ก่วงลิ่งกงนั่งลงแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป มีคนมาขอร้องอีกแล้วเหรอ?”

เม่ยเหนียงนั่งลงข้างๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น ถ้าไม่พบดูจะไม่เหมาะสม แล้วข้าก็ให้สัญญาอะไรไม่ได้อีก ได้แต่ใช้คำพูดดีๆ โน้มน้าว”

ก่วงลิ่งกงทำเสียงฮึดฮัด “ไปสนใจพวกนางทำไม ให้พวกลูกน้องหาข้ออ้างไล่ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“ทำแบบนี้เหมาะสมหรือคะ? ถึงยังไงก็เป็นฮูหยินของขุนนางใหญ่ๆ ของท่านอ๋อง” เม่ยเหนียงลังเล

ก่วงลิ่งกงเหล่ตามองนาง รู้ว่านางมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่อยากขัดใจคนมากเกินไป กลัวผลที่ตามมาทีหลัง แต่ในสายตาก่วงลิ่งกง นี่เป็นการคิดมากไปเองทั้งนั้น ถ้าในอนาคตจวนท่านอ๋องถึงขั้นเป็นที่พึงให้เจ้าไม่ได้ เจ้ายังหวังอีกเหรอว่าฮูหยินพวกนั้นจะออกหน้าขัดใจคนอื่นเพื่อเจ้า? เป็นความคิดเพ้อฝันจริงๆ

เพียงแต่เขาเก็บความคิดนี้ไว้ในใจเท่านั้น ไม่ได้พูดออกมาให้ใจนางวุ่นวาย เมื่อเห็นลูกสาวนำน้ำชามาวาง เขาจึงยิ้มและเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ช่วงนี้เม่ยเอ๋อร์กำลังทำอะไร?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์รีบเดินมาข้างหลังเขา แล้วใช้กำปั้นขาวอมชมพูสองข้างนวดทุบไหล่ให้ พลางกล่าวด้วยควาวทอดถอนใจ “ช่วงนี้ท่านพ่องานยุ่งมาก ทางท่านแม่ก็มีเสียงร้องไห้ฟูมฟายทั้งวัน น่ารำคาญจะตายอยู่แล้วค่ะ พอมีคนมาสักคนข้าก็ทำได้แค่หลบ ไม่อย่างนั้นพวกพี่ๆ ที่เคยมาหาข้าเมื่อก่อนก็จะมาหาข้า ให้ข้ามาขอร้องท่านพ่อเพื่อพวกลุงๆ อะไรนั่น ข้าไม่กล้าออกไปเที่ยวเล่นแล้ว”

“อ้อ! สงสัยช่วงนี้จะทำให้เม่ยเอ๋อร์ของเราเซ็งจะแย่แล้วจริงๆ” ก่วงลิ่งกงหัวเราะลั่น

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่นวดทุบไหล่ให้เขาพลันถามว่า “ท่านพ่อ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นได้เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้วจริงเหรอคะ?”

ตอนไม่พูดเรื่องนี้ก็ยังดีหน่อย แต่พอพูดถึงเม่ยเหนียงก็วุ่นวายใจอีกแล้ว บอกไม่ถูกว่าในใจมีรสชาติเป็นอย่างไร

“อ้อ เป็นอย่างนั้นจริงๆ เม่ยเอ๋อร์ เหมือนเจ้าจะสนใจเขามากเลยนะ” ก่วงลิ่งกงหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เขินอายเล็กน้อย “เป็นเพื่อนกันธรรมดาค่ะ”

ก่วงลิ่งกงหัวเราะ “นั่นก็ดีเลยน่ะสิ เจ้าหลบอยู่ในนี้ทั้งวัน หาที่เที่ยวเล่นไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? เจ้าไม่เคยไปตลาดผีใช่มั้ย ในเมื่อเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อเป็นสหายกัน เจ้าก็ไปเที่ยวเล่นที่ตลาดผีได้น่ะสิ ใครจะยังไปหาเจ้าที่นั่นได้อีก?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตาลุกวาวทันที สองมือหยุดไหล่แล้ว ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านพ่อ ไปได้จริงเหรอคะ?”

เม่ยเหนียงลังเลนิดหน่อย “ท่านอ๋อง จะเหมาะสมเหรอ?”

ก่วงลิ่งกงตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “มีอะไรไม่เหมาะสมล่ะ เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน สหายก็ส่วนสหาย ตราบใดที่นางไม่นำเรื่องงานมาปะปน ข้าจะห้ามไม่ให้นางพบสหายเชียวหรือ? ใครจะนำเรื่องนี้มาว่าอะไรอ๋องผู้นี้ได้? แต่จะว่าไปแล้ว ให้นางคลุกคลีกับชายหนุ่มที่มีความสามารถก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ดีกว่าอยู่กับพวกลูกผู้ลากมากดีที่วันๆ เอาแต่ทำตัวเจ้าชู้ไปเรื่อย ให้นางได้ดูเสียบ้างว่าคนแบบไหนที่รักความก้าวหน้าและมีประโยชน์กับนาง ต่อไปจะได้ไม่หาลูกเขยเศษสวะมาให้ข้าเพราะไม่รู้ความ”

“ท่านพ่อ!” เม่ยเอ๋อร์ที่เขินอายกำหมัดทุบเขาเบาๆ บุ้ยปากพูดว่า “ข้าไม่ได้จะแต่งงานสักหน่อย จะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ตลอดไป”

เม่ยเหนียงกลอกตามองนาง “นี่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลเหรอ”

ก่วงลิ่งกงหัวเราะเบาๆ “เม่ยเอ๋อร์ อย่าหาว่าพ่อไม่เตือนเจ้านะ ไปเล่นกับหนิวโหย่วเต๋อก็ส่วนเล่นกับหนิวโหย่วเต๋อ ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าเป็นสหายธรรมดาเท่านั้น ถ้าเจ้ารักษากฎข้อนี้ได้ ข้าก็จะให้พ่อบ้านโกวเตรียมการให้ได้ทุกเมื่อ ต่อไปถ้าอยากจะไปตลาดผีเมื่อไรก็ไปได้ แต่ห้ามให้เกิดเรื่องที่เกินเลยกว่าความสัมพันธ์ของสหายธรรมดา ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าพ่อกักบริเวณ” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ข้ายังมีงานต้องทำอีก แวะมาหาเฉยๆ พวกเจ้าสองแม่ลูกคุยกันต่อเถอะ”

…………………………