บทที่ 1749 ฝันเป็นจริง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เม่ยเหนียงมองก่วงลิ่งกงแล้วอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ลูกสาวมักจะเอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่ กอปรกับตำแหน่งที่ก่วงลิ่งกงอยู่รู้เรื่องราวเบื้องลึกมากมาย ลูกสาวมักอดไม่ได้ที่จะสืบเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ นางไม่เชื่อว่าก่วงลิ่งกงจะมองไม่ออกว่าลูกสาวรู้สึกกับหนิวโหย่วเต๋ออย่างไร แต่ยังกล้าให้ลูกสาวไปเล่นกับหนิวโหย่วเต๋ออีกเหรอ? แล้วดันบอกว่าจำกัดความสัมพันธ์ให้เป็นสหายธรรมดาต่อกันเท่านั้น นางเข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิงดีเกินไป ด้วยความงามของลูกสาว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร?

ก่วงลิ่งกงที่เพิ่งลุกขึ้นยืนแอบชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง แล้วเดินก้าวยาวออกไปโดยมองข้ามท่าทางอึกอักของนาง

นางเข้าใจสายตาแบบนั้นของก่วงลิ่งกงดีเกินไป เป็นสายตาที่บอกว่าไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว เจ้าถามไปก็ไร้ประโยชน์ ดีไม่ดีอาจจะยั่วให้ก่วงลิ่งกงไม่สบอารมณ์ ถึงแม้ตอนนี้ความสัมพันธ์สามีภรรยาจะปรองดองกันแล้ว แต่ในใจลึกๆ นางก็ยังกลัวก่วงลิ่งกง รู้ว่าต่อไปไม่สะดวกจะถามเรื่องนี้อีกแล้ว

อีกทั้งนางก็เข้าใจดีมาก ว่าคนแบบก่วงลิ่งกงไม่พูดซี้ซั้วง่ายๆ การที่จู่ๆ พูดแบบนี้ออกมาแสดงว่ามีจุดประสงค์แน่นอน แต่นางก็ยิ่งกังวลว่าก่วงลิ่งกงจะมองลูกสาวเป็นหมากตัวหนึ่ง นางรู้ว่าคนที่เดินขึ้นมาถึงระดับอย่างก่วงลิ่งกง เวลาไม่มีงานอาจจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกคนในครอบครัว แต่ถ้ามีความจำเป็นเมื่อไร ทุกอย่างล้วนมองภาพรวมเป็นเป้าหมาย ไม่ว่าลูกหลานในบ้านคนไหนก็สามารถสละได้

สองแม่ลูกไปส่งก่วงลิ่งกงตรงประตู

หลังจากมองคล้อยหลังก่วงลิ่งกงหายไปแล้ว เม่ยเหนียงก็เอียงหน้ามองลูกสาว พบว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์กำลังทำสีหน้าเหม่อลอยฝันหวาน นางเคยผ่านช่วงเวลาวัยสาวมาแล้ว ในใจแอบร้องว่าท่าไม่ดี รีบถามหยั่งเชิงว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้อยากไปเที่ยวตลาดผีจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

“ได้ยินว่านั่นเป็นสถานที่ไร้เดือนไร้ตะวัน ข้าไม่อยากไปสักหน่อย” ก่วงเม่ยเอ๋อร์เบะปากพูดดูถูก หาเหตุผลมาอ้างส่งเดช แต่พอกลับเข้าห้องนอนตัวเองก็ปิดประตูทันที จากนั้นหันหลังพิงประตูกัดริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่สองมือของเขาลูบเลื้อยอย่างกำเริบเสิบสานบนร่างกายตัวเอง

พอคิดไปคิดมา จู่ๆ ก็นางใช้สองมือปิดหน้า พบว่าหน้าร้อนผ่าวแล้ว

หลังจากยืนพิงประตูเงียบๆ อยู่นาน ในมือก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาพลิกดู เหมือนลังเลนานมาก แต่สุดท้ายก็ยังร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า

ตอนนี้เหมียวอี้งานยุ่งมาก หลังจากจัดการเรื่องเลื่อนยศเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะรายงายเรื่องตำแหน่งหน้าที่ของกำลังพลหนึ่งแสนขึ้นไป ตอนนี้กำลังปิดประตูนั่งอยู่ในห้องคนเดียว ถือแผ่นหยกครุ่นคิดว่าจะใช้คำพูดแบบไหนรายงานขึ้นไป อย่างไรเสียก็ยังมีตระกูลเซี่ยโห้วคั่นอยู่ระหว่างนั้น

ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะได้รับข้อความที่เหนือความคาดหมายมาก เป็นคนที่แทบจะไม่เคยติดต่อมาเลย ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นเอง

พอนึกถึงสาวงามสุดเย้ายวนที่เหมือนดอกบัวตูมที่รอเบ่งบาน โดยเฉพาะอย่างคิดความอบอุ่นเล็กน้อยที่เคยสัมผัส เหมียวอี้คิดถึงแล้วก็เกิดความรู้สึกนิดหน่อย เพียงแต่กลุ้มใจเช่นกัน นางจะติดต่อตนมาทำไม? ขณะที่กำลังครุ่นคิด เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาตอบ : ก่วงเม่ยเอ๋อร์เหรอ?

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : นายท่านหนิว ได้ยินว่าได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว แสดงความยินดีตอนนี้คงยังไม่สายใช่มั้ย?

เหมียวอี้ตอบกลับอย่างสุภาพ : รับความเมตตานี้ไม่ไหว ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : ข้าจะกล้ากำชับท่านได้ยังไง ข้าเป็นผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง เทียบกับเจ้าอาณาเขตอย่างท่านไม่ติด

เหมียวอี้ : ขุนนางเล็กๆ อย่างข้า ใต้สังกัดอ๋องสวรรค์ก่วงมีหมากเหมือนขนวัว จะเข้าตาเจ้าได้ยังไง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : พูดเรื่องนี้ไม่สนุกเลย ข้าถามท่านหน่อย ตอนแรกที่ท่านเคยบอกไว้ ท่านจะทำตามที่บอกหรือเปล่า?

เหมียวอี้งงทันที ข้าเคยพูดอะไรไว้เหรอ? ถามอย่างสงสัยว่า : พูดอะไรเหรอ?

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : ตอนแรกท่านบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน คงไม่ลืมเร็วขนาดนี้หรอกใช่มั้ย?

ยังนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เหมียวอี้รีบถาม : ไม่ลืมๆ กลัวก็แต่คุณหนูก่วงจะรังเกียจที่ข้าต่ำต้อย

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : เชอะ! พูดจากใจหรือเปล่า?

เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นรับมือกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่เป็น พูดตบตาไปโดยไม่ใส่ใจว่า : จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว การได้เป็นสหายกับคุณหนูก่วงก็นับเป็นวาสนาของหนิว

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : แต่ทำไมตอนอยู่งานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์ข้าได้ยินเจ้าด่าพวกเราว่าเป็นพวกสวะไร้ประโยชน์ล่ะ ข้ายังนึกว่าเจ้าอาณาเขตจะไม่ชายตามองคนที่อาศัยบารมีพ่อแม่เสียอีก

เหมียวอี้ตอบทันทีว่า : คนอื่นๆ ข้าหมายถึงคนอื่น คุณหนูก่วงเป็นข้อยกเว้น

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : อย่าเอาแต่พูดน่าน่าฟัง ให้ข้าไปเที่ยวเล่นที่ตลาดผีดีมั้ย ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าไล่ข้าเชียวนะ!

ตลาดผีไม่ใช่บ้านของข้าเสียหน่อย เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่ปากก็ยังตอบตามมารยาท : ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : นี่ท่านพูดเองนะ ข้าไม่ได้บังคับท่านนะ เอาตามนี้แล้วกัน

หลังจากติดต่อกันเสร็จ แน่ใจแล้วว่าจะนางจะมาจริงๆ เหมียวอี้ก็กลุ้มใจนิดหน่อย เพราะไม่คิดว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะมาเที่ยวเล่นเฉยๆ แน่ คนที่อยู่ในระดับอย่างเหมียวอี้มีความคิดซับซ้อนขึ้นทุกวัน ที่บอกว่าเป็นสหายกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เป็นคำพูดตามมารยาทเท่านั้น เขาเข้าใจดีว่าตัวเองไม่มีทางเป็นสหายกับคนฐานะอย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้ อย่าว่าแต่ก่วงเม่ยเอ๋อร์เลย ต่อให้เป็นสหายที่เคยอยู่ข้างกายเขา แต่ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ก็เริ่มจืดจางแล้ว คำว่า ‘สหาย’ ยิ่งห่างไกลจากเขาเข้าไปทุกวัน ดังนั้นที่ก่วงเม่ยเอ๋อร์บอกว่าจะมาหาเขาตลาดผีในฐานะสหาย ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ ความคิดแรกก็คือสงสัยว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะคนที่มีภูมิหลังอย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ ในใจเขาเริ่มป้องกันแล้ว

พอคิดไปคิดมาก็คิดถึงคำพูดของหลงซิ่นในตอนแรก ทำให้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน จำที่หลงซิ่นเคยพูดถึงเรื่องที่อ๋องสวรรค์ก่วงฝากบอกได้แล้ว อ๋องสวรรค์ก่วงบอกว่าขอเพียงหลงซิ่นยินดีกลับไปก็จะได้รับสวัสดิการดีๆ ทั้งยังบอกอีกว่าจะส่งก่วงเม่ยเอ๋อร์มาคุยให้

พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็แสยะหัวเราะ นอกเสียจากหลงซิ่นจะไม่อยากอยู่เอง ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางปล่อยหลงซิ่นไปง่ายๆ อ๋องสวรรค์ก่วงแล้วยังไงล่ะ มายุ่งกับเขาไม่ได้หรอก ต่อให้อยากจะลอบสังหารเขาก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ตอนนี้รอบกายมีทหารล้อมมากมาย ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิ์อนันตภาพก็อย่าคิดเลยว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บได้ง่ายๆ นอกเสียจากจะส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่มารุกโจมตีเท่านั้น

หลังจากคิดเองเออเองเสร็จแล้ว เขาก็ไปคุยเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิวทันที อวิ๋นจือชิวเก่งเรื่องเข้าสังคม ถ้าก่วงเม่ยเอ๋อร์มาคุยด้วยจริงๆ ก็จะให้อวิ๋นจือชิวไปรับมือ อวิ๋นจือชิวย่อมไม่อ้างเหตุปฏิเสธอยู่แล้ว เรื่องของเหมียวอี้ก็เหมือนเรื่องของนาง เพียงแต่นางก็พูดหยอกเขาด้วยความเคยชิน “ตอนแรกอ๋องสวรรค์ก่วงอยากจะยกลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้านะ หนิวเอ้อร์ เจ้าว่าอ๋องสวรรค์ก่วงคงไม่ใช่ว่ายังไม่ล้มเลิกความคิดนี้หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้พูดเย้ยตัวเอง “เจ้าก็ช่วยฝันหวานแทนข้า ตระกูลโค่วถูกประมุขชิงเล่นงานแทบตาย เจ้าคิดว่าด้วยสถานการณ์ของข้าตอนนี้จะเป็นไปได้เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวเองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่นางก็ยังชอบพูดหยอกล้อเหมียวอี้ ชอบเห็นเขายอมแพ้ต่อหน้านาง บำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลานาน ไม่ง่ายเลยกว่าทั้งสองจะกลายเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกัน ถ้ามัวแต่ใช้เวลาที่ยาวนานไปกันเรื่องอื่นหมดจะมีความหมายอะไร นางหวังจะให้วาสนาของสามีภรรยามีรสชาติสักหน่อย จึงพูดล้อต่อไป “ข้าเคยเห็นก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นแล้ว เป็นความสวยที่ก่อหายนะจริงๆ ขนาดข้าเป็นผู้หญิงเห็นแล้วยังใจสั่น เจ้าไม่หวั่นไหวสักนิดเลยเหรอ” นางเอานิ้วจิ้มที่ท้องน้อยเขา แล้วไล่ลงไปตรงหว่างข้าอย่างช้าๆ

ผู้หญิงคนนี้เอาอีกแล้ว! เหมียวอี้ปัดมือนางออก กลอกตามองนางแล้วเดินเลี้ยวหนีไปเลย

อวิ๋นจือชิวหันกลับมาหัวเราะจนไหลสั่นๆ นิสัยดื้อรั้นแก้ไม่หายตั้งแต่เล็กยันโต

เรื่องในด้านนี้ของผู้หญิงคนนี้ เหมียวอี้มีแต่ต้องยอมแพ้เมื่ออยู่ต่อหน้านาง แม้แต่คำแก้ตัวก็พูดไม่ออก ถ้ากล้าเถียงเมื่อไร นางก็จะยกเรื่องของผู้ที่ที่ถูกควบคุมอยู่ในตำหนักดาวกลางมาพูด รับรองว่าประโยคเดียวก็ทำให้เหมียวอี้รู้สึกผิดได้ ภายในสามวันเขาไม่กล้ามองนางตรงๆ แน่นอน เพราะในปีนั้นที่แต่งงานกันเขาให้สัญญาไว้ว่าจะไม่ทำให้นางผิดหวัง

เหมียวอี้กลับมาถามถึงท่าทีของหลงซิ่น หลังจากแน่ใจแล้วว่าหลงซิ่นไม่ยอมไป เขาก็เปิดเผยเรื่องที่ก่วงเม่ยเอ๋อร์จะมาให้รับรู้ เพื่อป้องกันไม่ให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์เตรียมแผนสำรองอะไรมา เขาให้หลงซิ่นเตรียมตัวหลบเลี่ยง บอกแค่ว่ามีธุระต้องไปจัดการข้างนอก

เรื่องก่วงเม่ยเอ๋อร์ไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ จึงถูกโยนทิ้งไว้ก่อน

เหมียวอี้เตรียมตัวได้สักพักหนึ่ง จากนั้นรายงานเรื่องการรับตำแหน่งของกำลังพลรวมทั้งเรื่องสร้างจวนหัวหน้าภาคใหม่ในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ขึ้นไปพร้อมกัน ก่อนหน้านี้เคยหยั่งเชิงมาแล้วสองครั้ง ครั้งนี้เรียกได้ว่าโยนน้ำหนักมากกว่าเดิม

เรื่องการรับตำแหน่งในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลที่เหมียวอี้ร่างไว้ ตำหนักนารีสวรรค์ไม่คัดค้าน ทุกอย่างผ่านการอนุมัติ เพียงแต่พบอุปสรรคเรื่องเลือกสถานที่ในเขตปราสาทดำเนินจันทร์ เพราะทางตำหนักนารีสวรรค์บอกไว้ชัดเจนว่า ควรรักษาระยะห่างกับสิบปราสาทดำเนิน ให้พวกเขาไปเลือกที่ใหม่ เท่ากับปฏิเสธแล้ว

แต่จะไปเลือกที่ไหนได้อีก? ถ้าแดนรัตติกาลมีแหล่งที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยมากพอ ก็คงถูกคนอื่นครอบครองไปนานแล้ว มีหรือที่จะวนมาให้เหมียวอี้ได้เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ต่อให้ตึกศาลาสัตยพรตจะอนุญาตให้กำลังพลหนึ่งแสนประจำอยู่ที่เขาภูตพเนจรได้ แต่ไม่สามารถอยู่ได้ในระยะยาว เพราะเขาภูตพเนจรมีอากาศเบาบาง ไม่เหมาะจะให้กำลังพลจำนวนมากอยู่อาศัยเลย แค่เทียบกับดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ไร้อากาศในแดนรัตติกาลแล้วดีกว่าก็เท่านั้นเอง ถ้าต้องเก็บสะสมอากาศมาจากข้างนอก ก็ไม่สะดวกจะทำในระยะยาว อย่างน้อยเขาก็ต้องหาสถานที่ที่ไม่อากาศเพียงพอ ซึ่งมีเพียงในอาณาเขตของปราสาทดำเนินจันทร์

ตราบใดที่ตำหนักนารีสวรรค์ไม่ยื่นคำขาด เหมียวอี้ก็จะรายงานขึ้นไปขอร้องซ้ำๆ อธิบายความจริงให้ฟัง บอกเล่าถึงความยากลำบาก

แน่นอน เขาจะปล่อยให้เรื่องนี้มาถ่วงเรื่องอื่นให้ล่าช้าไม่ได้ คำสั่งแต่งตั้งกำลังพลในจวนหัวหน้าภาคจากตำหนักนารีสวรรค์มาถึงแล้ว เขาเรียกรวมกำลังพลเพื่อประกาศคำสั่งแต่งตั้งทันที

ในตำหนักประชุม สมาชิกคนสำคัญมากันครบ ก็เหมือนที่เหมียวอี้บอกไว้ตอนแรก ชิงเยว่และนักพรตระดับพลังอิทธิ์อนันตภาพสามสิบคนรับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการกองร้อย บางคนยังมีคุณสมบัติไม่ถึงที่จะเป็นผู้บังคับการกองร้อยก็เป็นแต่ในนามไปก่อนชั่วคราว ส่วนคนอื่นๆ ที่รับมาก็ให้เป็นผู้บังคับการกองห้าไปก่อน

เนื่องจากสถานการณ์พิเศษ นอกจากผู้ใต้บังคับบัญชาร้อยคนของผู้บังคับการกองร้อย ที่เหลือก็ยังไม่มีกำลังพลใต้สังกัดโดยละเอียด ส่วนกำลังพลที่เหลือในจวนหัวหน้าภาค เนื้อหาคร่าวๆ ก็คือให้พวกพลทหารกับนายทหารชั้นสูงไปอยู่ในสังกัดจวนแม่ทัพภาค เมื่อถึงเวลาจะรับตำแหน่งถึงจะส่งนายทหารชั้นสูงไปเลือกพลทหารเอง พลทหารกับนายทหารชั้นสูงล้วนถูกสับเปลี่ยนด้วยกันโดย และยามปกติพลทหารพวกนั้นก็ถูกนายทหารชั้นสูงผลัดกันดูแล

ทัพใหญ่หนึ่งแสนที่รับมาใหม่ถูกจัดไว้อย่างนี้ชั่วคราว

คนเก่าของจวนแม่ทัพภาคได้คึกคักมีหน้าตามีตา สวีถังหรานสมปรารถนา ได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าภาคอย่างเป็นทางการ และเป็นรองหัวหน้าภาคเพียงหนึ่งเดียวของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลด้วย เขากุมหมัดรับบัญชาต่อหน้าฝูงชน ตื่นเต้นจนมือไม้สั่น ฝันกลายเป็นจริงแล้ว!

หยางเจาชิงเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาค เหยียนซิวที่ ‘ออกไปทำงานข้างนอก’ ก็รีบกลับมาแล้วเช่นกัน ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคแล้ว

มู่หรงซิงหัวที่มาทีหลังก็ได้เปรียบมากเหมือนกัน นอกจากการเลื่อนยศหมู่จะทำให้นางได้ยศเกราะม่วงสองแถบ ตอนนี้ก็ยิ่งกระโดดจากรองผู้บัญชาการใหญ่ไปเป็นแม่ทัพภาคเลย เท่ากับเลื่อนตำแหน่งรวดเดียวสามขั้น โหดกว่าสวีถังหรานที่ได้ข้ามแค่สองขั้น แม้นางจะมาทีหลัง แต่ยศของนางก็สูงมากพอ สำหรับเหมียวอี้ในตอนนี้ ไม่ว่าใครจะมาก่อนมาหลัง ถ้าฉวยโอกาสนี้เลื่อนยศให้ได้ก็จะไม่ยกเว้นสักคน ถ้าไม่เอ่ยขอตอนนี้ ในภายหลังถ้าไร้ผลงานก็ไม่มีใครจ่ายเงิน ก็จะไม่ได้มีข้ออ้างดีๆ อย่างตอนนี้แล้ว

…………………………