บทที่ 84 ประชุมเหล่าเทพ
เผ่าเชียงได้รับชัยชนะในการรบครั้งนี้
หลินซวงทำลายเผ่าเมฆาด้วยการโจมตีจากกลองโลหิตเพียงสามครั้ง และแรงนั้นกระจายออกไปทั่วทั้งดินแดนคนป่าเถื่อน อาวุธสงครามของเผ่าเชียงได้คืนชีพแล้ว
เผ่าเชียงได้รับชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า
สงครามกลางเมืองอันดุเดือดแพร่ออกไปทั่วทั้งอาณาเขตคนป่าเถื่อน
เผ่าเชียงรวบรวมเผ่าอื่น ๆ ไว้ภายใต้การควบคุมของตัวเองได้พอสมควร และชัยชนะก็ยังทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันนั้น เผ่าใหญ่อื่น ๆ ที่รวมตัวกันเป็นพันธมิตรก็ต้องรับมือกับเผ่าเชียง และต่างก็ไม่ยอมละทิ้งอำนาจและการควบคุมของตัวเองไป
ความขัดแย้งอันใหญ่หลวงคุกรุ่นในดินแดนรกร้าง ความไม่ลงรอยกันในคราวนี้จบลงด้วยการที่เผ่าเชียงเป็นผู้ได้รับชัยชนะ โดยสงครามครั้งนี้ได้รับการขนานนามว่าสงครามแห่งเขาเคลื่อนเมฆา
สงครามแห่งเขาเคลื่อนเมฆาเป็นสงครามที่พาเผ่าเชียงไปอยู่ ณ จุดสูงสุด ไม่นานหลังจากนั้น พันธมิตรสิบสองเผ่าก็แตกสลาย ทุกเผ่าต่างยอมจำนนให้แก่เผ่าเชียง
จากนั้นมาชาวป่าเถื่อนก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งภายใต้การปกครองของเผ่าเชียง
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเพียงไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น
เพราะสงครามกลางเมืองที่รุนแรง ประชากรชาวป่าเถื่อนลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ความศรัทธาที่พวกเขามีจึงลดลงตามไปด้วย ซึ่งเหล่าเทพเจ้าก็ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้
น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เทพเจ้าแทบไม่สามารถควบคุมดินแดนอันเป็นที่อยู่ของประชากรที่พวกเขาสรรค์สร้างขึ้นได้เลย
สนธิสัญญานิรันดร์กาลเป็นสาเหตุหนึ่ง และการเสื่อมของดินแดนนี้ก็ส่งผลต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ด้วย
นอกจากสนธิสัญญานิรันดร์กาลจะป้องกันไม่ให้เทพเจ้าต่อสู้กันเองแล้ว แต่มันก็ยังจำกัดอิทธิพลของพวกเขาต่อคนทั่วไปด้วย เทพเจ้าเชื่อว่าสิ่งที่สร้างขึ้นควรอยู่ด้วยตัวเองได้โดยไม่จำเป็นการมีการแทรกแซงจากพวกเขามากนัก หากเทพเจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินก็จะส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านศาสนา ซึ่งคงไม่ดีแน่ อีกทั้งเหล่าเทพยังเกรงกลัวเหลือเกินว่าเทพเจ้าบางคนอาจเกลี้ยกล่อมให้ผู้สืบสายของตัวเองไปโจมตีผู้สืบสายของเทพเจ้าคนอื่น ๆ ซึ่งนั่นถือเป็นการทำลายสมดุลของสนธิสัญญานิรันดร์กาล
ดังนั้นเทพเจ้าทั้งหลายจึงแทบไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของมนุษย์เลย นอกเสียจากว่าจะมีสัญญาณของการแทรกแซงจากฝ่ายเทพอยู่แล้ว หรือผู้สืบสายของพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตเท่านั้นที่เทพเจ้าจะปรากฏกายในแดนมนุษย์
ณ อารามแห่งพระเจ้า
อารามอันใหญ่โตและโอ่อ่าลอยอยู่บนท้องฟ้า สถาปัตยกรรมที่ละเอียดอ่อนและชดช้อยเปล่งรังสีแห่งยุคโบราณ ลวดลายเหล่านั้นทั้งดูลึกลับและซับซ้อนเหลือเกิน
แต่ในวันนี้ดูเหมือนว่าบางส่วนของมันจะดูทรุดโทรมลงไป
อารามแห่งเทพเจ้ามีบัลลังก์หลายร้อยบัลลังก์ แต่แทบทุกบัลลังก์นั้นว่างเปล่า มีเพียงยี่สิบบัลลังก์เท่านั้นที่มีเจ้าของในตอนนี้
แน่นอนว่าเทพเจ้าเหล่านี้ก็คือกลุ่มที่รอดชีวิตจากศึกแห่งทวยเทพนั่นเอง
สถานะของพวกเขาเป็นไปตามระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มี ยิ่งบัลลังก์นั้นอยู่ใกล้ทางเข้า ก็แปลว่าพลังของเทพเจ้านั้นอ่อนแอกว่า
หนึ่งในเทพเจ้าในชุดเกราะสีทองอร่ามตั้งแต่หัวจรดเท้า นั่งอยู่ที่กลางโถงแห่งนั้น ท่าทางของเขาดูเหมือนทหารผ่านศึก เทพเจ้าหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “ข้าสัมผัสได้ว่าปราการเทพเจ้าได้รับการเสริมกำลัง คราวนี้มันมาจากต้นไม้โลก”
นามของเขาคือ ปี่เคอหมู่ เป็นเทพเจ้าผู้ปกปักษ์รักษาอารามแห่งเทพเจ้า เขาจึงเป็นเทพที่มีสัมผัสว่องไวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอาณาเขตคุน
เหล่าเทพเจ้าเริ่มหันหน้าคุยกันเมื่อได้ยินเสียงประกาศของปี่เคอหมู่
“เรื่องนี้เป็นข่าวร้ายนะ การสลายของปราการก็ยิ่งช้าลงไปอีกสิ” หนึ่งในเทพเจ้ากล่าวพร้อมกับถอนใจ
“การต้องมาอดทนกับอะไรแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรไปจากความเจ็บปวดปางตาย ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก เราผ่านมาได้หลายหมื่นปีแล้ว รออีกสามปีสี่ปีจะเป็นไรไป” สำหรับเทพโบราณคนนี้ เวลานั้นแทบไม่มีค่าใด ๆ สำหรับเขาเลย ช่วงเวลาสามปีผ่านไปในพริบตาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกเทพจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการที่มนุษย์จะยื้อการสลายของปราการเทพเจ้าไว้มากนัก
สำหรับพวกเขาแล้ว มนุษย์เหล่านี้เป็นเพียงยุงตัวน้อยที่บินไปมาและส่งเสียงน่ารำคาญอยู่ข้างหูเท่านั้น
แน่นอนว่ามีเทพเจ้าบางส่วนที่เข้าใจการเดิมพันครั้งนี้อย่างแท้จริง
เสียงเหยียดหยันดังขึ้นไม่ไกลออกไป “ก็แค่พวกโง่ไร้สมอง”
เจ้าของเสียงในคราวนี้ก็คือเทพธิดาแห่งดวงจันทร์
นางนั่งอยู่ที่สุดโถง ที่ซึ่งแสดงถึงสถานะระดับสูงสุด มีเพียงเทพเจ้าสองคนเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นั่งข้างนางได้
หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงร่างแสงอันเลือนรางที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นร่างมนุษย์ที่มีปีกบนหลัง รูปลักษณ์ของเทพผู้นี้งดงามเหลือเกิน แต่มันเป็นรูปลักษณ์ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าร่างนั้นเป็นเพศใดกันแน่
พวกเขาคือเจ้าแห่งแดนฝัน และพระแม่นั่นเอง
เทพคนอื่น ๆ ดูจะไม่พอใจกับสิ่งที่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์กล่าว “หลายลา เจ้าไม่ควรดูหมิ่นข้า หลงเก๋อ เทพแห่งชาวป่าเถื่อนเช่นนั้น ต่อให้เจ้าเป็นหนึ่งในผู้นำทั้งสามก็ตาม”
เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ส่งสายตาดูแคลนกลับไป “แม้ว่าเราจะรู้จักกันมานานหลายหมื่นปี แต่ข้าก็ยังไม่คุ้นชินกับความโง่ของเจ้าได้สักที การเสริมกำลังให้กับปราการเทพเจ้าน่ะเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสนใจมากขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่ แต่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เราได้รู้แล้วว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นใครสักคนจากดินแดนต้นกำเนิดที่แทรกซึมเข้ามาในดินแดนนี้ได้สำเร็จแล้ว”
เหล่าเทพเจ้าพากันตั้งใจฟัง
หนึ่งในนั้นถามขึ้น “จริงหรือท่านเจ้าแห่งแดนฝัน”
เจ้าแห่งแดนฝันเป็นเทพเจ้าที่รู้ดีที่สุดและถือว่าเหมาะสมกับการเป็นผู้ถูกถามคำถามในลักษณะนี้มากที่สุดแล้ว
ร่างแสงที่ไร้รูปทรงได้ฟังคำถามก็ถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ “แดนฝันถูกทำลายไปแล้ว และจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้ามาในดินแดนของข้าอีก ความเข้าใจของข้าต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นดูเหมือนจะจำกัดเสียแล้วละ แต่เท่าที่ข้ารู้เกี่ยวกับซูเฉิน ข้าเชื่อว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเป็นเช่นนั้น อีกอย่าง…ข้าเองก็อนุมานไว้อย่างนั้นเช่นกัน”
“แต่ว่าแม้กระทั่งเทพเจ้าก็ยังไม่สามารถข้ามผ่านปราการไปได้…” เทพเจ้าบางคนยังคงไม่แน่ใจกับความคิดนี้
พระแม่กล่าวขึ้น “แค่เพราะว่าเทพเจ้าไม่สามารถผ่านไปได้ ไม่ได้หมายความว่าพวกมนุษย์จะไม่สามารถผ่านไปได้เหมือนกันเสียหน่อย พลังของพวกเราทำให้เรามาอยู่ ณ จุดนี้ แต่ความแข็งแกร่งก็เป็นสิ่งที่จำกัดไม่ให้พวกเขาข้ามผ่านไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ การเสื่อมสภาพของปราการก็ทำให้พวกตัวเล็กตัวน้อยที่อ่อนแอกว่าพวกนั้นผ่านเข้ามาได้ง่ายขึ้นด้วย และถ้าไอ้เวรนั่นเข้ามาละก็…”
พระแม่เงียบไป แต่เทพเจ้าทุกคนรู้ดีว่านางหมายถึงอะไร
บรรพชนมนุษย์นั่นเอง
แม้กระทั่งตอนนี้ บรรพชนมนุษย์ก็ยังเป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับทวยเทพทั้งหลาย
“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว…ตานปา เจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ถามขึ้น
เจ้าแห่งพายุนั่งอยู่ไม่ห่างไปจากนางมากนัก
“ภาพฉายของข้าถูกซูเฉินกำจัด ก็เลยยังไม่ได้ข้อมูลมามากนัก ข้ารู้เพียงว่าซูเฉินสังหารมันได้โดยแทบไม่ต้องพยายามด้วยซ้ำ” อาเค่อหลู่ตานปาตอบอย่างขอไปที
“อธิบายให้ละเอียดกว่านี้หน่อยได้ไหม” พระแม่ถามกลับไปด้วยความไม่พอใจ
“เราหาเขาไม่พบ ข้อมูลที่ได้มาก็เป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้ว ข้อมูลพวกนั้นไม่สามารถช่วยให้เราใช้งานไม้เท้าแห่งกาลเวลาได้หรอก” อาเค่อหลู่ตานปาตอบ “เจ้านั่นมันลื่นไหลและซ่อนตัวเก่งนัก เขาไม่เคยบอกใครว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ยากนักที่จะทำอะไรได้ด้วยข้อมูลเท่าที่มีอยู่ตอนนี้”
ไม้เท้าแห่งกาลเวลา นั้นแตกต่างไปจากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ความสามารถในการทำนายของมันขึ้นอยู่กับความศรัทธาเป็นหลัก
พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของบรรพชนมนุษย์น้อยเกินไปในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำนายหรือคำนวณอะไรได้
นั่นแปลว่ามนุษย์ล่วงรู้แล้วว่าไม้เท้าแห่งกาลเวลาทำงานอย่างไร และพวกเขาก็มีมาตรการในการรับมือกับมันแล้วด้วย
เทพเจ้าไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด และพวกเขาก็คุ้นชินกับความล้มเหลวเป็นอย่างดี
ในที่สุดเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พักหลังมานี้โลกอีกใบนั่นแปรปรวนไปหมด ทั้งโรคระบาดและสงครามแพร่ไปทั่วทุกหนแห่ง ข้าคิดว่าความโกลาหลในครั้งนี้เป็นเพราะการแทรกแซงของพวกมนุษย์จอมจุ้นจ้านนั่นแหละ ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป การสลายของของปราการเทพเจ้าก็อาจช้าออกไปอีก ข้าว่าเราควรส่งเทพเจ้าลงไปบนโลกเพื่อจัดการเรื่องนี้เสีย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เทพทั้งหลายก็พากันส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่อีกครั้ง
หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้านับถือในความฉลาดและเด็ดขาดของท่าน แต่การฝ่าฝืนสนธิสัญญาและส่งเทพเจ้าไปยังโลกมนุษย์นั้นเสียหายรุนแรงนัก ท่านแน่ใจแล้วหรือว่ามันจะคุ้มค่า อีกอย่าง การเสียเทพเจ้าไปก็จะส่งผลต่อความสามารถในการทำลายปราการของพวกเราด้วย อย่าลืมสิว่าการจะทำลายปราการได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การเสียเทพไปจะลดประสิทธิภาพของพลังเราลงเกือบครึ่ง ไม่ว่าต้นไม้โลกจะทำให้เราช้าลงเพียงไร มันก็เทียบไม่ได้กับความเสียหายจากการส่งเทพเจ้าไปหรอก”
พระแม่พ่นลมถอนใจยาว
สิ่งที่เขากล่าวมาถูกต้องทุกประการ
ความแข็งแกรงของปราการนั้นเหนือจินตนาการ
เดิมทีนั้นเหล่าทวยเทพทำอะไรมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่เมื่อปราการเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา เทพเจ้าก็เริ่มเรียนรู้วิธีที่จะทำลายมันในที่สุด
อันที่จริงแล้วเทพทั้งหลายไม่ได้พยายามทำลายปราการกันอย่างขยันขันแข็ง พวกเขาเพียงแค่เร่งให้มันเสื่อมสภาพลงไวขึ้นก็เท่านั้น
แต่ก่อนที่การเสื่อมสภาพของมันจะไปถึงจุดนั้น พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่รอเวลาไปเรื่อย ๆ ในหลายพันปีที่ผ่านมานี้ ความพยายามนับครั้งไม่ถ้วนของเหล่าเทพไม่เคยเป็นผลเลยสักครั้ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การส่งเทพเจ้าไปยังโลกเบื้องล่างนั้นดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย
พระแม่ก็ไม่ใช่คนเขลา แต่นางอาจใจร้อนและมือหนักไปบ้างเพราะต้องการที่จะจัดการกับพวกลิงร้ายกาจที่กำลังสร้างความวุ่นวายขึ้นบนโลก
นางมีลางสังหรณ์ว่าลิงพวกนี้จะทำได้ไม่ต่างไปจากซูเฉิน บางทีพวกเขาอาจมีพลังแบบเดียวกันด้วยก็ได้…พลังที่นางเองก็ยังเกรงกลัวจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
ส่วนนี้เองที่เป็นสาเหตุให้นางร้อนรนนัก และไม่ต้องการให้การทำลายปราการเทพเจ้าเกิดขึ้นช้าไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะมันคือสิ่งที่จะทำให้นางไม่ต้องเกรงกลัวเขาอีกต่อไปนั่นเอง
แต่กระนั้นนางก็ไม่สามารถแสดงความกลัวที่มีออกมาได้
นั่นอาจทำให้เทพเจ้าทั้งหลายยิ่งว้าวุ่นมากขึ้นไปอีก
สุดท้ายแล้วก็เป็นเจ้าแห่งแดนฝันที่กล่าวขึ้นว่า “สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือหาไอ้เวรนั่นให้เจอ โหยวหม่าเค่อ เจ้ามีหน้าที่ส่งภาพฉายไปที่ด้านล่างนั่นเพื่อตามหาเขา”
โหยวหม่าเค่อเป็นเทพแห่งการลอบสังหารที่พยายามจะกำจัดซูเฉินมาแล้วครั้งหนึ่ง
เทพแห่งการรับรู้จากโลกนี้ไปนานแล้ว เทพเพียงคนเดียวที่มีความสามารถเหมาะสมกับหน้าที่นี้ก็คือเทพแห่งการลอบสังหารนั่นเอง
“สามเลย” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์แทรกขึ้น
โหยวหม่าเค่อขมวดคิ้ว “สามภาพฉายหรือ จำเป็นต้องทำขนาดนั้นจริง ๆ หรือ ข้าคงต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไปมากทีเดียว”
เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตอบกลับมา “ภาพฉายเดียวน่ะไม่ใช่ศัตรูที่จะคู่ควรกับเขาหรอก”
โหยวหม่าเค่อหงุดหงิดกับคำตอบนั้นเหลือเกิน
แต่เพราะสถานะของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์สูงกว่าเขา โหยวหม่าเค่อจึงได้แต่ยอมทำตามคำสั่งของนางอย่างไม่เต็มใจ
พระแม่กล่าวขึ้นต่อจากนั้น “สามภาพฉายกำลังดี ถ้าเราเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่ต้องเสียเทพเจ้าไปเลย สถานการณ์ข้างล่างนั่นคงคลี่คลายในไม่ช้า”
เทพแห่งการลอบสังหารท่าทางฮึดฮัด “ถ้าเช่นนั้นนอกจากข้าจะต้องเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปมหาศาลแล้ว .ข้าก็ยังต้องรับผลจากการฝ่าฝืนสนธิสัญญานิรันดร์กาลด้วยน่ะหรือ”
“เราจะตอบแทนท่านอย่างคุ้มค่า” เจ้าแห่งแดนฝันตอบนิ่ง ๆ
แน่นอน…คำว่า “เรา” ในที่นี้นั้นหมายถึงเทพเจ้าทั้งหมด แม้ว่าผู้นำทั้งสามจะเป็นเทพที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ราคาของการฝ่าฝืนสนธิสัญญานั้นมากเกินกว่าที่พวกเขาสามคนจะรับผิดชอบได้ทั้งหมด
หนึ่งวันต่อมา
หลินซวงยืนอยู่ต่อหน้าแท่นบูชาแห่งดารา
นักบวชสูงสุดของเผ่าเชียงตาเบิกโพลง “สามภาพฉายเชียวหรือ…อะไรจะขนาดนั้น”