บทที่ 85 ทหารม้าลอบสังหาร
ณ เมืองต้าปี้อาในโบสถ์ลอบสังหาร
หลวงพ่ออาเท่อลี่กำลังคุกเข่าอธิษฐาน ที่รอบตัวเขาอื้ออึ้งไปด้วยเสียงสวดของศิษย์ทั้งหลาย
ทันใดนั้นลำแสงสว่างจ้าก็พุ่งตรงลงมาจากท้องฟ้า…อาเท่อลี่ตะลึง
“ท่านลงมาแล้วหรือ” เขาร้องขึ้น
เขาไม่เคยเห็นเทพแห่งการลอบสังหารลงมาที่เบื้องล่างมาก่อนตั้งแต่เป็นนักบวชมา
ภาพฉายของเทพแห่งการลอบสังหารไม่ได้ส่องสว่างมากนักเพราะเขามักทำหน้าที่โดยอาศัยเงามืด ภาพฉายนั้นค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในเงามืดของโบสถ์
“องค์เทพของเรา!” ศิษย์ทั้งหลายร้องขึ้นพร้อมกัน
ภาพฉายชัดเจนแล้วในตอนนี้ มันปรากฏเป็นชายร่างผอมที่มีผิวสีเข้มคนหนึ่ง
อาเท่อลี่คลานเข้าไปหาเขาอย่างสุภาพ “ฝ่าบาท ข้าเป็นทาสผู้ภักดี อาเท่อลี่ ขอน้อมรับคำบัญชา!”
ภาพฉายไม่ได้สนใจคำคนพูด และกลับเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าแทน
อาเท่อลี่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้นลำแสงอีกสองลำแสงก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า
มีอีกหรือ
อาเท่อลี่ตกใจ
ภาพฉายอีกสองร่างค่อย ๆ ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
ความประหลาดใจของอาเท่อลี่กลายเป็นความหวาดกลัวไปเสียแล้ว
ภาพฉายของเทพแห่งการลอบสังหารกล่าวขึ้น “รวบรวมทหารม้าของโบสถ์ทั้งหมดและแบ่งกันออกเป็นสามกลุ่ม เราจะใช้งานพวกเขา”
อาเท่อลี่ตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาทของข้าต้องการจะทำอะไรหรือ”
“ก็สร้างความยุติธรรมและกำจัดพวกปรสิตที่ไม่ควรจะมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ตั้งแต่แรกอย่างไรล่ะ ศิษย์ข้า โอกาสที่เจ้าจะมอบชีวิตให้ข้ามาถึงแล้ว”
ในคืนนั้น ทหารม้าของโบสถ์ลอบสังหารแยกกันเป็นสามกลุ่มและมุ่งหน้าไปยังสามทิศต่างกันโดยมีภาพฉายของผู้เป็นเทพนำทัพไป
….
บนเขานิกายรุ่งโรจน์
ที่แห่งนี้เคยเป็นที่รวมพลที่ใหญ่ที่สุดของชาวป่าเถื่อนมาก่อน หลังจากที่แท่นบูชาถูกสร้างขึ้นที่นี่ มันก็กลายเป็นที่ที่ชาวป่าเถื่อนใช้เพื่อการสังเวยและสวดบูชาต่อเทพเจ้าของพวกเขา
ทว่าเทพผู้คุ้มครองของพวกเขา หลงเก๋อเทพแห่งชาวป่าเถื่อน และปาเอ่อร์จ้านเทพแห่งโทสะนั้น ต่างก็เป็นเทพที่หยาบโลนนัก ทั้งสองแทบไม่เคยตอบสนองความต้องการของชาวป่าเถื่อนเลย
ในระหว่างสงครามก่อนหน้านี้ พันธมิตรชาวป่าเถื่อนแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ตอนนี้เผ่าเชียงได้ตั้งอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาแล้ว ซึ่งกลายเป็นที่พักอาศัยของนักบวชหลินซวง
หลินซวงยืนอยู่ที่หน้าแท่นบูชาและเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้าไกล
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กำลังบูชาเครื่องสังเวย แต่กระนั้นชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างฟ้าดินที่จะทำให้ฝ่ายที่อยู่เบื้องบนนั้นได้ยินเสียงร้องของคนบนพื้นโลกได้ง่ายมากขึ้น
ที่สำคัญไปกว่านั้น อักษรศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสลักไว้บนแท่นบูชาก็เหมือนกันกับที่ซูเฉินได้มาจากคางคกบูชาจันทร์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
หลินซวงได้เรียนรู้วิธีการของเทพเจ้าและสร้างแท่นบูชานี้ขึ้น
แต่เพราะคางคกบูชาจันทร์อยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของปราการ แท่นบูชาของเขาจึงซับซ้อนกว่ามาก
“หากข้าทำลายแท่นบูชาทั้งหมดในโลกนี้ ความศรัทธาที่พวกเทพเจ้าควรได้ก็จะได้รับผลกระทบอย่างมากใช่ไหมนะ” หลินซวงพึมพำกับตัวเอง
“ถูกต้อง แต่ข้าไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น” เสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาทของหลินซวง
ร่างลวงตาเริ่มปรากฏขึ้นจากแท่นบูชา
“บรรพชนมนุษย์หรือ” หลินซวงถามด้วยความตื่นเต้น “ท่านกลับมาแล้วหรือ”
“ข้ายังบอกไม่ได้หรอก แต่เรื่องนี้เร่งด่วนนัก ข้าจำเป็นต้องรีบมาเพื่อบอกให้เจ้ารู้” เสียงของบรรพชนมนุษย์ยังคงฟังดูอ่อนแรง การส่งซูเฉินข้ามเขตแดนไปนั้นทำให้เขาต้องเสียพลังไปอย่างมหาศาลทีเดียว
“เรื่องอะไรกัน”
“โหยวหม่าเค่อกำลังตามหาเจ้าอยู่”
หลินซวงชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าโหยวหม่าเค่อคือใคร “เทพแห่งการลอบสังหารน่ะหรือ ภาพฉายของเขาหรือร่างจริงกันล่ะ”
“เป็นภาพฉายของเขา แต่คราวนี้มากันถึงสามร่าง พวกนั้นแยกกันไปยังเมืองแห่งบริบูรณ์ ปราสาทหม้อทองแดง และที่นี่”
เมืองแห่งบริบูรณ์ เป็นที่ที่อีซาเป้ยลาอาศัยอยู่ ตอนนี้นางได้ยึดอำนาจตระกูลคุนเท่อมาแล้ว และได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าตระกูลคนใหม่ หลินซวงสร้างเรื่องและความวุ่นวายขึ้นมากมายผ่านนางนั่นเอง
ปราสาทหม้อทองแดงที่ตั้งอยู่ทางเหนือนั้นเพิ่งประสบกับปัญหาโรคระบาดไป แน่นอนว่าโรคระบาดที่ว่านี้ก็เป็นฝีมือของหลินซวงนี่เอง
ปราสาทหม้อทองแดงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ชาวมนุษย์ใช้เพื่อป้องกันชาวป่าเถื่อน หากเส้นแบ่งนี้ถูกทำลายไป ชาวป่าเถื่อนก็จะรุกรานเข้ามาได้อย่างแน่นอน
และนั่นคือสิ่งที่หลินซวงกำลังจะทำให้เกิดขึ้น
แผนการของเขาก็คือการก่อความวุ่นวายขึ้นในอาณาเขตคุน เพื่อที่จะให้เหล่าเทพเจ้าอ่อนแอลง
ความจุที่จำกัดของอาณาเขตคุนนั้นมากพอที่จะให้เทพเจ้าจำนวนหนึ่งอยู่รอดได้เท่านั้น หากพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนนั้นลดลงไปอีก เทพทั้งหลายก็จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง
และเมื่อถึงตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสอันเหมาะเจาะที่ดินแดนต้นกำเนิดจะโจมตีโต้ตอบบ้าง
แต่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นได้ หลินซวงก็ต้องทำงานหนัก
การรับรู้ของเทพแห่งการลอบสังหารเฉียบคมทีเดียว เขาปักหมุดสถานที่ทั้งสามแห่งที่หลินซวงจะเข้าไปข้องเกี่ยวไว้ทั้งหมด
เมื่อได้ยินคำเตือนของบรรพชนมนุษย์แล้วหลินซวงก็พยักหน้ารับรู้ “ขอบคุณท่านสำหรับคำเตือน ข้าเตรียมการเรื่องนี้ไว้แล้ว”
บรรพชนมนุษย์ถามต่อไป “เจ้าจะทำอย่างไรกัน”
หลินซวงยิ้มบาง ๆ “ถ้าเขาอยากได้การต่อสู้ ข้าก็พร้อมอยู่แล้ว!”
คำตอบนั้นทำให้บรรพชนมนุษย์ผงะไปเล็กน้อยก่อนที่จะตอบกลับอย่างอารมณ์ดี “เจ้าโตกว่าที่ข้าคาดไว้มากนะ ขอให้โชคดีก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงนั้นร่างของบรรพชนมนุษย์ก็สลายไป
หลินซวงตกอยู่ในห้วงความคิด
แม้ว่าบรรพชนมนุษย์จะไม่ได้พูดออกมาตามตรง แต่หลินซวงก็สงสัยอยู่เหมือนกัน
บรรพชนมนุษย์เป็นเทพเจ้าเหมือนกันอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้เขาแค่ยังไม่รู้ว่าบรรพชนมนุษย์ผู้นี้เป็นเทพเจ้าประเภทไหนกันแน่
แต่มนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า แต่หากเป็นบรรพชนมนุษย์แล้ว เขาจะเป็นเทพเจ้าได้อย่างไรกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่นะ
หลินซวงคิดทบทวนสถานการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด
พร้อมกันนั้นเขากำลังเฝ้ารอบางอย่างอยู่ด้วย
ไม่นานนักคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นที่เส้นขอบฟ้าไกลออกไป
คนเหล่านั้นขี่ม้าร่างสูงตรงเข้ามา แต่ละคนต่างมีหอกเล่มยาวในมือและแต่งกายด้วยชุดเกราะสีดำดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
“ทหารม้าลอบสังหาร” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง
พวกเขามาถึงแล้วจริง ๆ
ทหารม้าทั้งหลายเดินทางมาจากเมืองตาปี้อา แต่ตลอดทางนั้นพวกเขาไม่พบกับเหตุการณ์ใด ๆ เลย และเข้ามายังใจกลางของอาณาจักรใหม่เอี่ยมแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นได้ก็เพราะเทพแห่งการลอบสังหารอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาเดินทางอย่างลับ ๆ และไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
ทหารม้าเริ่มไต่เขาขึ้นมาโดยไม่รอช้า แม้ว่าพื้นที่ในบริเวณนั้นจะสูงชันนัก แต่ม้าศึกของพวกเขาก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ทุกก้าวของมันยังคงหนักแน่นมั่นคง ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งความสามารถที่ได้รับมาจากเทพแห่งการลอบสังหาร มันทำให้ม้าเหล่านี้สามารถเดินได้ในทุกสภาพพื้นผิวราวกับติดปีก
ทหารทั้งหลายมุ่งหน้าตรงขึ้นไปยังยอดเขา แต่หลินซวงไม่ได้ใส่ใจ ยังคงมองไกลออกไปอย่างใจเย็น
ขณะที่กำลังเคลื่อนทัพไปตามเส้นทางที่คับแคบ กำปั้นขนาดยักษ์ก็พลันถูกเหวี่ยงเข้าใส่พวกเขา มันปรากฏขึ้นจากด้านหลังของหินผาในบริเวณนั้นและปะทะเข้าใส่หนึ่งในทหารม้าที่อยู่กลางทัพ ร่างของทหารคนนั้นแหลกสลายจากแรงของหมัดปริศนา ทั้งหมดจึงรู้ทันทีว่าถูกโจมตีจากรูปปั้นข้างทางเข้าเสียแล้ว
“แย่แล้วสิ! ระวังศัตรูด้วย!” ผู้นำทัพทหารม้าร้องเตือน
ในตอนนั้นเอง รูปปั้นที่เรียงรายอยู่ตามทางก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาเสียอย่างนั้น พวกมันมุ่งหน้าเข้าใส่ทหารม้าทั้งหลายทันที
รูปปั้นพวกนี้ถูกหลินซวงปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยกฎแห่งพลังผนึกเซียน พวกมันถูกสร้างขึ้นโดยชาวป่าเถื่อน และแม้รูปลักษณ์จะดูต่ำช้า แต่พลังของมันแข็งแกร่งไม่น้อยเลย
พลังของหลินซวงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะยังห่างไกลจากจุดสูงสุด แต่เขาก็สามารถใช้กฎแห่งพลังได้แล้ว
กฎแห่งพลังผนึกเซียนเป็นแก่นสำคัญของความแข็งแกร่งของร่างกาย ด้วยเหตุนี้หลินซวงจึงไม่มีทางทิ้งวิชานี้ไป
แน่นอนว่าหุ่นเชิดที่เขาสามารถสร้างขึ้นได้นั้นอ่อนแอกว่าหุ่นเชิดของซูเฉินมาก อย่างไรแล้วหลินซวงก็ยังขาดกฎแห่งพลังและส่วนประกอบสำคัญอยู่
หุ่นเชิดที่เขาสร้างขึ้นแข็งแกร่งเทียบได้กับผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดาร
ถึงอย่างนั้นมันก็มากพอที่จะเป็นกำลังให้เขาพึ่งพาได้ หุ่นเชิดบางตัวถูกใช้ในระหว่างการรบของเผ่าเชียง ซึ่งชาวป่าเถื่อนได้รวบรวมวัสดุและสร้างขึ้นมาเองด้วย หุ่นเชิดเหล่านี้กลายมาเป็นอาวุธอีกหนึ่งอย่างในคลังแสงของเผ่า แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าพวกมันภักดีเฉพาะกับหลินซวงเท่านั้น
แม้ว่าทหารม้าลอบสังหารจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ทันได้ตั้งตัวกับการซุ่มโจมตี
หุ่นเชิดหินตัวแล้วตัวเล่าเหวี่ยงหมัดฝ่าอากาศมาจากทางซ้ายและขวา
ทหารม้าลอบสังหารเริ่มเปล่งประกายด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ พวกเขากำลังได้รับพลังเสริมจากเทพแห่งการลอบสังหารแล้ว
แต่วิชาพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจำกัด
วิชาที่ถูกนำมาใช้กับเหล่าทหารม้านั้นเป็นวิชาระดับสูง มันสูบเอาพลังจิตและพลังศักดิ์สิทธิ์ไปไม่น้อย
อันที่จริงแล้วพวกเทพเจ้าเกลียดเหลือเกินที่จะต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้ สาเหตุเดียวที่พวกเขาจะทำแบบนี้ก็เพื่อดึงดูดคนให้มาศรัทธาเท่านั้น
และเพื่อต่อกรกับหลินซวง เทพแห่งการลอบสังหารได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์และวิชาศักดิ์สิทธิ์กับทหารม้าก็จริง แต่ปริมาณของมันก็มีจำกัดอยู่ดี
ทหารม้าแต่ละคนต่างได้กำลังเสริมเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ห้าอย่าง ซึ่งก็คือ
วิชาฝีเท้าเงา วิชาพื้นราบ วิชาโจมตีด้วยความมืด วิชาคมมีดสังหาร และวิชาเกราะเยือกแข็ง
ฝีเท้าเงาเป็นวิชาการเคลื่อนที่ที่ทำให้ทหารม้าลอบสังหารเคลื่อนไหวในความมืดมิดได้อย่างมีประสิทธิภาพถึงขั้นที่เรียกได้ว่าล่องหน วิชานี้เองที่ทำให้พวกเขาบุกเข้าไปในดินแดนของชาวป่าเถื่อนได้โดยไม่ไปรบกวนเจ้าถิ่น
วิชาการโจมตีด้วยความมืดเป็นทักษะจู่โจม หากพวกเขาใช้มันพร้อมกันกับฝีเท้าเงาเมื่ออยู่บนพื้นราบก็จะสร้างความเสียหายได้มากยิ่งขึ้นไปอีก น่าเสียดายที่ตอนนี้ทหารม้ากำลังเดินทางอยู่บนภูเขา การโจมตีด้วยความมืดจึงไร้ประโยชน์ในสถานการณ์นี้
เกราะเยือกแข็งเป็นวิชาการป้องกันตัว
วิชาคมมีดสังหารเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยเพิ่มพลังให้กับอาวุธ เพราะเป็นวิชาที่มีประโยชน์ที่สุดในการลอบสังหาร เป็นอาวุธที่ทำหน้าที่ได้โดยไม่ต้องสนใจปราการใด ๆ และสร้างความเสียหายให้กับเป้าหมายได้อย่างสาหัส คมมีดสังหารจึงถือเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่เหล่าทหารม้าใช้เพื่อต่อกรกับหุ่นเชิดหิน ฝ่ายหุ่นเชิดนั้นไม่ได้ว่องไวเท่าผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดาร แต่ผิวหนังที่หนาและร่างกายที่มั่นคงของพวกมันก็ทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปได้ ทว่าคมมีดสังหารกลับสามารถตัดผ่านร่างหุ่นเชิดไปได้อย่างง่ายดายเสียอย่างนั้น เมื่อหุ่นเชิดไม่มี ‘พลังชีวิต’ เหลืออีกต่อไปมันก็ล้มลงและแตกสลาย
แต่กระนั้นคมมีดสังหารเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่ใช่เครื่องมือที่ช่วยให้ทหารท้าลอบสังหารเอาชนะฝูงหุ่นเชิดได้โดยง่าย
หุ่นเชิดของหลินซวงผุดขึ้นจากทุกทิศทางทำให้ทหารม้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเหลือเกิน
ในตอนนั้นเอง มวลอากาศรอบตัวหลินซวงก็ปรากฏเป็นระลอกคลื่นบาง ๆ ขึ้น กริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศและจ้วงแทงเข้าใส่หลินซวงอย่างเงียบเชียบ