ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 86 กลืน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 86 กลืน

เคร้ง!

สิ้นเสียงโลหะกระทบกัน กริชเทพแห่งการลอบสังหารก็สกัดดาบของหลินซวงไว้ได้

อีกฝ่ายป้องกันได้อย่างนั้นหรือ?

ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏในนัยน์ตาโหยวหม่าเค่อ แต่เขาก็ยังเก็บมือกลับมาแล้วสะบัดกริชไปยังหลินซวงอีกครั้งจากอีกมุม

ในฐานะเทพแห่งการลอบสังหาร ไม่แปลกที่การโจมตีของโหยวหม่าเค่อจะรับมือได้ยาก แม้จะเป็นเพียงภาพฉาย แต่การโจมตีก็ยังทรงพลังมหาศาล

ยิ่งไปกว่านั้น กริชที่เขาถืออยู่เป็นภาพฉายเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ มันคือกริชโลกันตร์ หากกริชเล่มนี้เฉียดผ่านแค่ปลายผิวก็คร่าชีวิตศัตรูได้แล้ว

กริชปลดปล่อยกลิ่นอายความตายสีดำออกมายามพุ่งเข้าใส่หลินซวง อีกทั้งเขายังใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์เพื่อผนึกพื้นที่ด้านหลังรวมถึงรอบ ๆ ตัวหลินซวงไว้เพื่อกันไม่ให้เขาหลบการโจมตีได้

ในตอนที่กริชเกือบจะถูกหลินซวง พลันเกิดแสงจ้าพุ่งออกมาจากร่าง ลักษณ์ซูเฉินสูงเด่นเป็นสง่าปรากฏอยู่ด้านหลัง ทันทีที่ภาพปรากฏ มันก็ส่งท่าดัชนีมาทางโหยวหม่าเค่อทันที

ดัชนีสังหารเทพ!

แรงพลังระเบิดออกมาจากท่าดัชนีนั้น กระทั่งโหยวหม่าเค่อยังรู้สึกว่าตนตกอยู่ในอันตราย

เขาร้องเสียงประหลาดแล้วกระโดดหลบไปด้านข้าง จ้องลักษณ์เบื้องหลังหลินซวงเขม็ง “ซูเฉิน!?”

หลินซวงเอียงคอถามดูใสซื่อ “เจ้าจำเขาได้ด้วยหรือ?”

“ฟ่อออ!” โหยวหม่าเค่อขู่พร้อมแลบลิ้นออกคล้ายงู

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเทพ แต่ก็มีสัญชาตญาณสูงมาก ทันทีที่เห็นภาพของซูเฉินปรากฏขึ้นเบื้องหลังหลินซวง โหยวหม่าเค่อก็เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นทันที

“ผู้บุกรุกบัดซบเอ๋ย!” โหยวหม่าเค่อร้องขึ้นพลางใช้กริชแทงหลินซวงอีกครั้ง

ตูม ๆ ๆ!

เปลวเพลิงสลับกับสายฟ้าฟาดเข้าใส่โหยวหม่าเค่อ

โหยวหม่าเค่อกลับไม่คิดหลบ เพียงแต่สะบัดกริชไล่เปลวเพลิงและสายฟ้าไปอย่างง่ายดาย

กริชโลกันตร์ตวัดกวัดแกว่ง สร้างคลื่นพลังมืดกระเพื่อมขึ้นฟ้า เมื่อมันกระจายตัวออก พื้นที่โดยรอบก็เริ่มหดตัวเข้ามาด้วย

นี่เป็นหนึ่งในวิชาจำกัดพลังสูญของเทพแห่งการลอบสังหาร ทุกครั้งที่โจมตี พื้นที่รอบกายศัตรูก็จะยิ่งถูกจำกัดอย่างช้า ๆ ไม่ว่าจะโดนหรือไม่ หากเป็นร่างหลักทำการโจมตี ก็สามารถใช้พื้นที่รอบศัตรูเป็นอาวุธสังหารได้เลยทีเดียว

น่าเสียดายที่เขาต่อสู้กับภาพฉายซูเฉินผู้ซึ่งเชี่ยวชาญวิชาพลังสูญพอ ๆ กัน

แรงกระเพื่อมพลังสูญไม่นานก็หายไปหลังจากที่แผ่ออกไประยะหนึ่ง ไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของหลินซวงแต่อย่างไร

โหยวหม่าเค่อไม่ประหลาดใจนัก

กฎแห่งพลังนั้นไม่มีความต่างของพลังอยู่แล้ว ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับความเข้าใจว่าลึกซึ้งเพียงไหนเป็นหลัก

เผ่าเทพได้เปรียบตรงจุดที่พวกเขาเกิดมาพร้อมความเข้าใจในกฎแห่งพลัง นับว่าง่ายเหมือนหายใจ แต่ก็หมายความว่าพวกเขาแทบไม่อาจยกระดับวามเข้าใจนั้นได้เลย พวกเขาเพิ่มได้เพียงพลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่อาจเพิ่มความเข้าใจกฎแห่งพลังได้ เพราะกฎแห่งพลังไม่ใช่สิ่งที่จะเติบโตได้

ดังนั้นหากคนธรรมดาได้เข้าใจถึงกฎแห่งพลัง เผ่าเทพก็ไม่อาจใช้กฎแห่งพลังสังหารเขาได้ หากว่าเขาผู้นั้นมีความเข้าใจอยู่ในระดับเดียวกัน

ในโลกนี้ ความแข็งแกร่งเหนือกว่าทุกสิ่งอย่างแท้จริง

วงแสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นรอบกายโหยวหม่าเค่อในขณะที่ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์วิชาหนึ่งกับตนเอง

วิชาศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้แข็งแกร่งมากพอจะช่วยทำให้คนธรรมดามีกำลังเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญพลังชั้นสูงได้ จึงไม่แปลกที่พลังของโหยวหม่าเค่อจะพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว จู่ ๆ เขาก็พลันหายไป โหยวหม่าเค่อลอยไปทางหลินซวงอย่างเงียบเชียบ กริชโลกันตร์หมายจะจ้วงเข้าที่ด้านหลังศัตรูอีกครั้ง

แม้ทั้งสองฝ่ายจะสู้กันอย่างเต็มกำลัง ทุกครั้งที่โหยวหม่าเค่อโจมตีก็เหมือนกับการถูกลอบโจมตี มักจะมาปรากฏและโจมตีจากมุมที่ไม่คาดคิดเสมอ

แต่เกินคาดที่หลินซวงดูไม่เป็นกังวลกับวิธีการต่อสู้แสนเจ้าเล่ห์เช่นนี้เลย ไม่ว่าการโจมตีของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเพียงไหน หลินซวงก็สามารถเบี่ยงหรือหักล้างการโจมตีได้อย่างง่ายดาย

ไม่นานลักษณ์เจ็ดสายเลือดปรากฏขึ้นเบื้องหลังซูเฉิน รุดหน้ากวาดผ่านสนามต่อสู้มายังลักษณ์ของหลินซวง หลินซวงเป็นคนคุมโลกนี้ ไม่มีทางที่โหยวหม่าเค่อจะสามารถลวงเขาได้

เมื่อไร้จุดแข็งด้านกฎแห่งพลัง โหยวหม่าเค่อจึงได้แต่พึ่งกำลังในการโจมตี

พลังศักดิ์สิทธิ์!

เขาไร้ทางเลือกต้องโจมตีเต็มกำลังเช่นนี้

“แมลงตัวกระจ้อยเอ๋ย จงลิ้มรสความพิโรธของเผ่าเทพเสียเถอะ!” โหยวหม่าเค่อเริ่มไม่พอใจที่โจมตีไม่โดนหลินซวงสักที

เขาเป็นเทพ การที่ใช้เวลานานกว่าจะจัดการศัตรูธรรมดาได้เช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องขายหน้ามาก

กริชโลกันตร์เรืองแสงสีดำขึ้นอีกครั้ง มันแทงลงมา วิชาพลังสูญแผ่ออกจากปลายแหลมจนปกคลุมไปทั่วสนามต่อสู้

ในที่สุดโหยวหม่าเค่อก็ไม่คิดซุ่มโจมตี เปลี่ยนมาปะทะซึ่งหน้าแทน

“ต้องอย่างนี้สิ” หลินซวงว่าเสียงกลั้วหัวเราะ

หากใช้พลังอำนาจสูงสุดในการบดขยี้ศัตรูแทนที่จะใช้วิชาสลับซับซ้อนในการหลอกล่อก็ดูจะเหมาะกับเทพมากกว่า

คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังพลันโอบล้อมกายหลินซวง

ทว่าจังหวะเดียวกันกับที่โหยวหม่าเค่อโจมตี หลินซวงก็ลงมือเช่นกัน

แสงสีขาวเริ่มแผ่ออกมาจากร่าง พลังศักดิ์สิทธิ์ที่โหยวหม่าเค่อปล่อยออกมาถูกแสงสีขาวนี้ดูดกลืนเข้าไปจนหายไปไม่เหลือซาก

“นั่นมัน…” นัยน์ตาโหยวหม่าเค่อฉายแววสงสัย พริบตานั้นเขาดูสับสนมาก แต่พริบตาต่อมาความสงสัยก็แปรเปลี่ยนเป็นความกลัว โหยวหม่าเค่อชี้หลินซวงแล้วร้องลั่นขึ้น “พลังนั่น! เจ้าใช้พลังนั่นได้งั้นหรือ!? ตาย! เจ้าต้องตาย! เจ้าต้องตายเสีย!!!”

เขาคำรามลั่นราวกับเสียสติ รวมพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในร่างแล้วซัดใส่หลินซวงในคราวเดียว

แรงโจมตีมหาศาลปะทะหลินซวงราวกับถูกคลื่นยักษ์ซัดใส่ เกิดบาดแผลขึ้นมากมาย เลือดสาดกระเซ็นรอบทิศ

แต่กระนั้นหลินซวงก็กัดฟันดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ของโหยวหม่าเค่อต่อไปให้ได้มากที่สุด

ใช่แล้ว เหตุผลที่เขาอยากประจันหน้ากับโหยวหม่าเค่อเป็นเพราะต้องการรู้ว่าตนเองสามารถใช้พลังอมตะต่อต้านพลังศักดิ์สิทธิ์ในการต่อสู้จริงได้หรือไม่

เขารู้แล้วว่าพลังอมตะสามารถกลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ไม่รู้ว่าในการต่อสู้มันจะยังใช้ได้หรือไม่ อีกทั้งหลินซวงรู้ว่าพลังของเขาในตอนนี้ไม่มีทางเอาชนะเทพได้แน่ แต่ถ้าหากเป็นภาพฉายของเทพเล่า?

เมื่อบรรพชนมนุษย์เตือนว่าภาพฉายของโหยวหม่าเค่อไล่ล่าเขาอยู่ หลินซวงก็รู้ว่าโอกาสที่รอมานานได้มาถึงแล้ว

ดังนั้นเขาจึงเลือกอยู่ เขาจำเป็นต้องมั่นใจว่าตนเองสามารถดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ของภาพฉายขณะกำลังทำการต่อสู้ได้ และมันจะเป็นจังหวะตัดสินใจสำคัญให้ซูเฉินว่าต่อไปจะต่อสู้กับเผ่าเทพอย่างไร

และความเป็นจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นไปได้!

แม้มันจะเหนื่อยล้ามาก แต่หลินซวงก็ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ของโหยวหม่าเค่อมาได้สำเร็จ

ไม่ว่าโหยวหม่าเค่อจะพยายามดึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ในร่างออกมาใช้อย่างไรก็ไม่สามารถโค่นหลินซวงลงได้ พลังศักดิ์สิทธิ์มหาศาลค่อย ๆ ถูกหลินซวงดูดกลืนไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่าในระหว่างทำการต่อสู้ เขาไม่สามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังอมตะได้ทั้งหมด พลังศักดิ์สิทธิ์ส่วนมากจึงสลายหายไปในอากาศ แต่กระนั้นการที่หลินซวงสามารถรอดพ้นการโจมตีนั้นมาได้ก็แสดงให้เห็นว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล การใช้พลังอมตะเป็นเกราะป้องกันทำให้เขาสามารถต้านทานการโจมตีจากโหยวหม่าเค่อได้นั่นเอง

หลังจากนั้นหลินซวงยังอุตส่าห์ส่งยิ้มเย็นให้โหยวหม่าเค่อ แม้ตนเองจะถูกแสงทองปกคลุมร่างอยู่ก็ตาม

โหยวหม่าเค่อเห็นแล้วก็ยิ่งตกใจ “นั่นเป็นสิ่งต้องห้าม! นับเป็นการดูหมิ่น! เจ้ากล้าแตะต้องพลังงานต้องห้ามได้อย่างไรกัน!? ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องสังหารเจ้าให้ได้!!!”

สิ้นเสียงคำรามเขาก็ยกแขนขึ้นฟ้า เห็นได้ชัดว่าพยายามจะเชื่อมต่อกับร่างหลักของตน

น่าเสียดายที่มันไม่สำเร็จ

“เจ้าคิดหรือว่าต่อสู้กับข้าอยู่แล้วจะทำเช่นนั้นได้?” หลินซวงสงสัยตาสมเพชมอง

“เจ้าบัดซบ! แล้วก็ไอ้คนทรยศนั่นด้วย!!!” โหยวหม่าเค่อคำรามเสียงโกรธเกรี้ยว

ไม่ต้องถามก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ เห็นได้ชัดว่าคนทรยศผู้นั้นเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

โหยวหม่าเค่อจ้องหลินซวงด้วยสายตาดุดัน “เจ้าอาจขัดขวางการเชื่อมต่อของข้ากับร่างหลักได้ แต่เจ้าจะรับมือนี่ไหวหรือ?”

โหยวหม่าเค่อยกกริชขึ้นกรีดฟ้า เกิดเป็นรอยแยกพลังสูญขึ้นมา

เงาร่างสองเงากระโจนออกมาจากรอยแยก คือภาพฉายของโหยวหม่าเค่ออีกสองร่างนั่นเอง

ในขณะที่บรรพชนมนุษย์สามารถช่วยขัดขวางการเชื่อมต่อกับร่างหลักในแนวสูงได้ แต่การเชื่อมต่อในแนวราบระหว่างภาพฉายด้วยกันกลับไม่อาจขัดขวางได้ ดังนั้นโหยวหม่าเค่อจึงเรียกกำลังเสริมมาใช้ วิชาที่เขาเพิ่งใช้เป็นวิชาเฉพาะตัว รู้จักกันในนามวัฏจักรมิขาดสาย ภาพฉายแต่ละภาพสามารถเดินทางมาหากันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหรือต่างกันอย่างไรก็ตามแต่

แม้ว่าพลังอมตะของหลินซวงจะแกร่งมาก โหยวหม่าเค่อเองก็มีประสบการณ์โชกโชน รู้ว่าหลินซวงสามารถรับมือกับภาพฉายได้มากสุดเพียงหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีมาอีกสองจึงนับว่าหลินซวงต้องพ่ายแพ้แล้ว

“ตายเสียเถอะ!”

กริชโลกันตร์แทงเข้าใส่หลินซวงสามครั้งจากสามมุม

ทว่าหลินซวงกลับเปล่งเสียงหัวเราะ “ข้าเองก็คิดไว้แล้วเช่นกัน”

ห่างจากจุดที่ทั้งสี่กำลังต่อสู้ไปไม่ไกล หุ่นเชิดตัวหนึ่งกำลังลอบซุ่มโจมตีอยู่ ทหารม้าลอบสังหารพลันเข้าช่วยเหลือหลินซวงทันใด

“ไสหัวไป!” ภาพฉายหนึ่งของโหยวหม่าเค่อสะบัดมือใส่หุ่นเชิดอย่างไม่ใส่ใจ

แต่จังหวะนั้นเองที่หุ่นเชิดเริ่มเปล่งแสงจ้าออกมา

“ระดับตำนานหรือ?” โหยวหม่าเค่อจ้องหุ่นเชิดด้วยความประหลาดใจ

เทพแห่งการลอบสังหารโหยวหม่าเค่อเชี่ยวชาญด้านการซ่อนเร้นและพลังโจมตีรุนแรงกะทันหัน ทั้งนี้ยังมีความเข้าใจในกฎแห่งพลังเงาและกฎแห่งพลังสูญอีกด้วย แต่ความสามารถในการตรวจจับมันอยู่ในขั้นธรรมดา ในเมื่อหุ่นเชิดเป็นสิ่งไร้ชีวิต ความสามารถในการตรวจจับก็ยิ่งจำกัด

หากมันพยายามซ่อนกายในทุ่ง โหยวหม่าเค่อก็คงพบมันโดยง่าย แต่เพราะมันซ่อนอยู่ท่ามกลางหุ่นเชิดอื่น ๆ อีกมากมาย กระทั่งโหยวหม่าเค่อจึงยังไม่สังเกตเห็น

จนกระทั่งโหยวหม่าเค่อได้รู้ว่าหุ่นเชิดตัวนี้เป็นภัยมากขนาดไหน

กระนั้นแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันจะสร้างปัญหาให้เขามากเพียงไร

แม้รู้ว่ามันไม่ใช่หุ่นเชิดธรรมดา แต่ภาพฉายโหยวหม่าเค่อก็ไม่คิดใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่แม้แต่จะใช้เกราะป้องกันตนเองด้วยซ้ำ

ทำเพียงแต่ปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์รูปค้อนออกมาเพื่อบีบให้หุ่นเชิดล่าถอยไป

แต่พริบตาต่อมา เขาก็รู้ว่าตนเองทำพลาดแล้ว

พลาดครั้งใหญ่เสียด้วย

ในมือหุ่นเชิดพลันปรากฏดาบเล่มยาวที่เต็มไปด้วยพลังงานขึ้น

พลังงานนั้นทำให้โหยวหม่าเค่อรู้สึกเหมือนใจถูกบีบ

เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์!

หุ่นเชิดตัวนี้กำลังถือเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์อยู่จริง ๆ!

มันเรื่องบัดซบอะไรกัน!?

เจ้าของไร้อาวุธ แต่หุ่นเชิดกลับมีเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์นั้นหรือ!?

ชั่วร้ายเสียจริง! หน้าไม่อาย!

โหยวหม่าเค่อสบถเสียงเกรี้ยว

น่าเสียดายที่เขาไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่นแล้ว

ดาบเล่มนั้นทำลายพื้นที่เหนือศีรษะภาพฉาย

ภาพฉายคิดอยากหนีแต่ก็พบว่าไม่อาจขยับไปไหนได้

เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์พลังสูญ เป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์พลังสูญด้วยหรือ!?

ดาบตวัดเฉือนภาพฉายตั้งแต่หัวตัดลงมาถึงเท้า

ถูกหั่นร่างแยกเป็นสองส่วน!