ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 87 อิสระและไร้ขอบเขต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 87 อิสระและไร้ขอบเขต

ตูม!

เมื่อจัดการภาพฉายโหยวหม่าเค่อได้แล้ว แสงสีทองก็กระจายตัวออกรอบทิศ เติมฟ้าให้เต็มไปด้วยดวงดาราสีทองนับไม่ถ้วน

ทันใดนั้นก็เหมือนมีบ่อน้ำวนดูดเอาแสงสีทองเข้าไปในร่างหลินซวง ทำให้พลังอมตะในร่างเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้เขาสามารถต้านทานการโจมตีจากภาพฉายสองร่างได้

ภาพฉายทั้งสองดูตื่นตระหนก ทว่าหลินซวงกลับหัวเราะ “นั่นสินะ พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพที่ตายไปแล้วดูดซับง่ายกว่ามาก ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังชอบพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพที่ยังมีชีวิตอยู่”

หลินซวงสามารถสัมผัสได้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมาจากเทพที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเทพที่ตายแล้ว

พลังศักดิ์สิทธิ์จากภาพฉายที่ตายแล้วดูดซับได้ง่ายกว่ามาก

และการเปลี่ยนพลังศักดิ์สิทธิ์สามารถทำให้การโจมตีของศัตรูอ่อนลงได้ และยังทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วย หลินซวงดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่สนสิ่งใด จากขั้นก่อร่างสำเร็จขั้นสูงรุดหน้าไปยังขั้นสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว

โหยวหม่าเค่อเมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงผิดปกติในร่างหลินซวงได้แล้วก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

ทันใดนั้นพละกำลังของหลินซวงก็พุ่งสูงขึ้นเมื่อเริ่มทะลวงสู่ด่านยาเม็ดทองคำ

เป็นเพราะซูเฉิน หลินซวงจึงมีประสบการณ์ในการทะลวงสู่ด่านยาเม็ดทองคำมาบางส่วน ถึงกระนั้นการที่เขากล้าทะลวงพลังระหว่างการต่อสู้เช่นนี้ก็นับว่ากล้าหาญมาก ความสามารถในการดูดซับของหลินซวงมีอยู่จำกัด แต่เขากลับไม่ปล่อยให้พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต้องเสียไปเปล่าประโยชน์ เขาจึงเลือกทะลวงพลังในจังหวะนั้น สิ่งจำเป็นอย่างแรกในการทะลวงพลังคือต้องมีพลังอมตะอยู่เพียงพอก่อน และภาพฉายโหยวหม่าเค่อก็ได้กลายเป็นทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดที่เขาหาได้

โหยวหม่าเค่อรู้สึกอับอายนักเมื่อศัตรูใช้ตัวเขาเป็นแหล่งพลังงานในการทะลวงพลัง “โอหัง!”

กริชโลกันตร์ที่ส่องแสงเป็นสีม่วงดำจาง ๆ มาจนถึงตอนนี้ ทันใดนั้นก็เริ่มฉายแสงหลากสีขึ้นมา

“ในที่สุดก็เอาจริงหรือ?” หลินซวงหัวเราะ

เขายังตั้งมั่นทะลวงสู่ด่านยาเม็ดทองคำต่อไป หลินซวงเริ่มประสานกับลักษณ์ซูเฉินเบื้องหลัง ทันใดนั้นเขาพลันส่งเสียงคำรามด้วยความดุดัน มังกรสุริยะคะนองเริงรำ เจ็ดเทพอสูรตัวอื่น ๆ ประสานเสียงร้องรับ ปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณออกมา พริบตาหนึ่งราวกับได้กลับไปสู่ยุคโบราณกาล เมื่อครั้งเผ่าเทพและเทพอสูรบรรพกาลยังต่อสู้ชิงอำนาจกันอยู่

ในการปะทะกันระหว่างเทพและสัตว์อสูรครานี้ คนแรกที่ยกมือยอมแพ้คือโหยวหม่าเค่อ

ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเพียงภาพฉาย แต่เป็นเพราะเทพอสูรบรรพกาลไม่เคยด้อยกว่าเทพมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ในด้านพละกำลัง กระทั่งเผ่าเทพเองยังพ่ายแพ้เทพอสูรบรรพกาล แต่เพราะใช้กฎแห่งพลังได้ พวกเขาจึงปรับตัวได้ง่ายมากกว่า สามารถใช้หลากหลายวิชาเพื่อรับมือเทพอสูรบรรพกาลได้

แต่หากเทียบกันด้านพละกำลังล้วน ๆ เผ่าเทพนั้นด้อยกว่ามาก ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าโหยวหม่าเค่อในตอนนี้เป็นเพียงภาพฉายภาพหนึ่งเท่านั้น

เมื่อถูกสัตว์อสูรทั้งแปดตัวโจมตีใส่ไม่หยุดเช่นนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่รวบรวมมาจึงค่อย ๆ สลายหายไป

หลินซวงพุ่งเข้าไปปล่อยหมัดใส่กลางท้องโหยวหม่าเค่อ “เพื่อแดนต้นกำเนิด!”

“อ๊ากกกก!” โหยวหม่าเค่อร้องลั่น

หมัดของหลินซวงทะลวงพลังอมตะเข้าสู่ร่างโหยวหม่าเค่อราวกับถูกมีดปัก พลังนั้นเริ่มสร้างความปั่นป่วนภายในร่างทันที

ไม่สิ ถูกมีดเล่มหนึ่งปักคงไม่สร้างความเสียหายมากมายเช่นนี้ มีแต่พลังอมตะที่จะทำเช่นนี้ได้

ร่างโหยวหม่าเค่อเรืองแสงทองอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่แสงสีทองบริสุทธิ์อีกต่อไป ทว่ามีแสงสีขาวเจืออยู่ด้วย

เมื่อพลังของเผ่าเทพไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป พละกำลังก็จะลดลงอย่างมาก

โหยวหม่าเค่อเริ่มรู้สึกถึงความหวาดกลัว กลัวที่จะถูกทำลาย

เขาไม่กลัวว่าภาพฉายภาพนี้จะถูกทำลาย แต่เขาสัมผัสได้ว่าหากปล่อยให้พลังเบื้องหน้าแข็งแกร่งจนถึงขีดสุด ก็อาจเป็นภัยต่อร่างหลักของเขาได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นภัยต่อเผ่าเทพทั้งหมดก็เป็นได้

“ระวัง!” เขากู่ร้องเสียงเกรี้ยวกราดที่สุดเท่าที่จะทำได้ คล้ายพยายามร้องบอกฟ้าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

“ร้องไปพวกนั้นก็ไม่ได้ยิน” หลินซวงตอบเสียงเย็น พลังอมตะยังคงไหลเข้าไปในร่างโหยวหม่าเค่อไม่หยุด

เขามั่นใจแล้วว่าตอนนี้พลังอมตะไม่เพียงแต่ดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ยังสร้างความเสียหายได้ด้วยเช่นกัน

พลังอมตะสามารถกำจัดเผ่าเทพได้ ตอนนี้เขามั่นใจแล้ว

ทว่าโหยวหม่าเค่อคงจะเคยเห็นพลังเช่นนี้มาก่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เรียกมันว่าพลังต้องห้าม

พลังชนิดนี้ทำให้ซูเฉินมีความเชื่อว่าจะสามารถเอาชนะเผ่าเทพได้

ตูม!

เมื่อพลังหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด ในที่สุดภาพฉายโหยวหม่าเค่อก็สิ้นฤทธิ์ ร่างกายถูกพลังอมตะรุกล้ำอาละวาด สุดท้ายก็ระเบิดจากภายใน ยิ่งช่วยเพิ่มพลังอมตะให้หลินซวงได้มากขึ้น

ตอนนี้เหลือภาพฉายเพียงหนึ่ง หลินซวงจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมายเลขหนึ่ง ส่วนเขามุ่งมั่นกับการทะลวงพลังต่อ

พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกแปรเปลี่ยนจำนวนมากเติมเต็มไปทั่วร่างราวกับเป็นพลังไร้ขีดจำกัด ในอดีตนั้น การจะสร้างยาเม็ดทองคำขึ้นมาได้จำเป็นต้องใช้ปีศาจแดนฝันจากแดนฝัน แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เขาสามารถสร้างและกลั่นยาเม็ดทองคำภายในร่างตนเองได้โดยตรง

เมื่อพละกำลังของซูเฉินเพิ่มสูงขึ้น เขาก็พัฒนาระบบการบ่มเพาะพลังนี้ให้ละเอียดมากขึ้น จนตอนนี้หลินซวงไม่จำเป็นต้องให้ภายนอกช่วยเหลือแล้ว

ตูม!

สุดท้ายยาเม็ดทองคำก็ก่อร่างขึ้นในกายหลินซวงจนได้

ยาเม็ดทองคำส่งแรงกระเพื่อมอยู่ในร่างหลินซวง เติมเต็มมันด้วยพลังอมตะ มีหมอกปริศนาห่อหุ้มมันเอาไว้

“ดีมาก!” หลินซวงยิ้มน้อย ๆ พลางทำการสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่าง ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือไปคว้าภาพฉายที่สามของโหยวหม่าเค่อขึ้นมา

กริชโลกันตร์จ้วงไปด้านหลัง ทว่าหลินซวงก็ใช้มือข้างหนึ่งหยุดมันไว้ได้

จากนั้นก็ใช้ท่าดัชนีออกไปอีกครั้ง

ดัชนีสังหารเทพ

เดิมทีมีเพียงด่านมหาราชันซูเฉินเท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้เต็มที่ แต่ตอนนี้ยาเม็ดทองคำหลินซวงเองก็สามารถใช้มันได้ไม่ยากเช่นเดียวกัน เมื่อได้พลังอมตะเป็นตัวหนุนจึงทำให้เขาสามารถทำลายกริชได้ในการโจมตีคราเดียว

หลินซวงอ้าปากกว้างแล้วดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ระเบิดออกมา ส่งผลให้โหยวหม่าเค่อตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว

ตอนนี้เขาทะลวงพลังเรียบร้อยแล้ว ความอยากอาหารก็มากขึ้นเช่นเดียวกัน หลินซวงรู้สึกว่าตนเองสามารถกลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์ของภาพฉายอีกภาพหนึ่งได้ไม่ยาก

แต่ครั้งนี้เขามีวิธีการกินแตกต่างไปจากเดิม

แทนที่จะสังหารโหยวหม่าเค่อแล้วค่อยกลืนกินเขาเข้าไป หรือค่อย ๆ ลอบดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ระหว่างการต่อสู้ หลินซวงอ้าปากกว้างแล้วกลืนภาพฉายโหยวหม่าเค่อเข้าไปในคราวเดียว

แม้ว่าสุดท้ายภาพฉายโหยวหม่าเค่อจะเปลี่ยนไปเป็นก้อนพลังงานศักดิ์สิทธิ์เมื่อเข้าสู่ร่างหลินซวงไปแล้ว แต่ภาพที่เห็นก็คือเขากำลังกินเนื้อศัตรู เป็นภาพที่น่าสยดสยองไม่ใช่น้อย

กระทั่งหมายเลขหนึ่งยังเผยสีหน้าสะอิดสะเอียน

“ม่ายยยย…” โหยวหม่าเค่อร้องโหยหวนก่อนที่เสียงร้องจะเงียบไป

หลินซวงสัมผัสได้ว่าโหยวหม่าเค่อกำลังถูก ‘ย่อย’ อยู่ภายในร่างกาย เขาตบท้องตนเองด้วยความพึงพอใจยิ่ง ภาพฉายทั้งสามภาพของโหยวหม่าเค่อนับว่าเป็นอาหารมื้อใหญ่เลยก็ว่าได้

ทหารม้าลอบสังหารเบื้องล่างพากันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

เทพเจ้าของพวกเขาถูกกลืนกินไปเช่นนั้น!

นี่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอันน่าสะพรึงกลัวประเภทไหนอยู่กันแน่?

ทหารม้าลอบสังหารทั้งหลายพลันตื่นตระหนก

หมายเลขหนึ่งเหลือบมองทหารม้าลอบสังหารแล้วเอ่ยถามขึ้น “จะจัดการพวกนั้นอย่างไร?”

หลินซวงเรอเอิ้กเสียทีหนึ่ง เสร็จแล้วก็พูดขึ้นว่า “ฆ่าให้หมด… เรื่องวันนี้ปล่อยให้ใครรู้อีกไม่ได้”

“รับทราบ” หมายเลขหนึ่งจึงเงื้อดาบขึ้นแล้วเริ่มลงมือ

เมื่อมีหมายเลขหนึ่งคอยช่วยสะสาง การต่อสู้จึงกลายเป็นการสังหารหมู่

และไม่นานการสังหารนี้ก็จบลง

ทหารม้าลอบสังหารถูกกวาดล้างสิ้น เจ้าหุ่นเชิดกลับมาประจำยังจุดเดิม เขานิกายรุ่งโรจน์กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

ทว่าหลินซวงรู้ว่ามันเป็นความสงบเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานเผ่าเทพก็จะกลับมา

“ได้เวลาไปแล้ว” หลินซวงว่า

สาเหตุที่เขารออยู่ที่นี่เป็นเพราะต้องการกลืนกินภาพฉายทั้งหมดเพื่อให้ได้พลังศักดิ์สิทธิ์เพิ่ม

แต่ตอนนี้เขาจะไปแล้ว ด้วยรู้ดีว่าตนเองยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับเทพโดยตรงได้

คืนนั้นเอง หลินซวงพาหมายเลขหนึ่งติดตามไปด้วย พร้อมกับสิ่งของที่ได้มาจากฐานะหัวหน้านักบวชชั้นสูง

การหายตัวไปอย่างกะทันหันของหัวหน้านักบวชชั้นสูงทำให้กระทั่งผู้เฒ่าก้งยังตกตะลึง

โชคดีที่หลินซวงทิ้งจดหมายไว้ว่าเขาจะออกเดินทางไปตามจิตใจตนจะนำพา ไม่สนใจเรื่องทางโลกอีก ความช่วยเหลือที่ช่วยให้เผ่าเชียงผงาดสู่จุดสูงสุดเป็นเพียงลิขิตฟ้า ตอนนี้เขาทำหน้าที่สำเร็จแล้วจึงได้เวลากลับ หวังว่ากลุ่มคนป่าเถื่อนจะยังคงต่อสู้ และเรียกร้องให้เผ่ามนุษย์ต่อ เพื่อสร้างอาณาจักรอันทรงพลังขึ้นมาให้ได้

หลังจากนั้นหลินซวงจึงจากไป

แน่นอนว่า ‘ความกระหายอยากพเนจร’ และ ‘ทำตามลิขิตสวรรค์’ เป็นเพียงคำเพ้อเจ้อเท่านั้น ทว่ากลุ่มคนป่าเถื่อนกลับเชื่อคำเขาเสียได้

แรกเริ่มเดิมทีนั้น กลุ่มคนป่าเถื่อนเกรงกลัวพลังอำนาจของหลินซวง กระทั่งผู้เฒ่าก้งยังระแวดระวังเขาเป็นพิเศษ ด้วยไม่สามารถลืมความรู้สึกไร้ทางสู้เมื่อตกอยู่ในกำมือหลินซวงไปได้ ทั้งยังตระเตรียมกองกำลังลับเพื่อคอยจับตาดูหัวหน้านักบวชชั้นสูงผู้นี้ไว้โดยเฉพาะ เผื่อเขาจะทำอะไรผิดปกติ

แต่การจากไปของหลินซวงกลับทำให้ผู้เฒ่าก้งรู้สึกดีต่อเขา

เขารู้สึกว่าหัวหน้านักบวชชั้นสูงผู้นี้ไม่ใช่ธรรมดา น่าเสียดายที่ไม่อาจโน้มน้าวให้รั้งอยู่ต่อได้

ผู้เฒ่าก้งถึงกระทั่งเชื้อเชิญกลุ่มบัณฑิตคนป่าเถื่อนมาศึกษางานเขียนและบันทึกของหลินซวง สุดท้ายก็นำออกสู่สาธารณะในชื่อ อิสระและเจตจำนงเสรี กลายเป็นทั้งอัตชีวประวัติและหลักฐานถึงความไร้กังวลและความไม่ยึดติดกับอำนาจของเขาไป

ในมุมมองของผู้เฒ่าก้ง หัวหน้านักบวชชั้นสูงประเภทนี้นับว่าเป็นประเภทที่ดีที่สุด ทั้งความคิดและการกระทำเหมาะสมให้ศึกษาและกระทำตามเป็นอย่างมาก

หนังสือเล่มนี้ปลุกเร้าและมีอิทธิพลต่อกลุ่มคนป่าเถื่อนไม่น้อย พวกที่มีความสามารถในการบ่มเพาะพลังไม่กล้าเรียกตนเองว่าผู้เชี่ยวชาญพลังหากยังไม่ได้ออกเดินทางด้วยตนเอง พวกที่ทำงานราชการบางครั้งก็ขอสละตำแหน่งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่ยึดติดในพลังและอำนาจ

ในตอนแรกมันก็เป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติเฉพาะในกลุ่มคนป่าเถื่อนเท่านั้น แต่หลายปีผ่านไป เมื่อตัวจริงของหลินซวงเปิดเผย บันทึกเกี่ยวกับการกระทำที่โดดเด่นและยิ่งใหญ่ของหลินซวงก็กลายเป็นตำนานเล่าขานกันจนดังไกลถึงแดนต้นกำเนิด เมื่อมาควบรวมกับระบบบ่มเพาะพลังและลักษณะนิสัยของนิกายไร้ขอบเขตแล้ว บันทึกนี้ก็กลายเป็นบันทึกศักดิ์สิทธิ์ในโลกของการบ่มเพาะพลังไปโดยปริยาย

แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ผู้เฒ่าก้งในตอนนี้ยังไม่คิดเผยแพร่ตำราออกไป

หลังจากเดินทางออกจากกลุ่มคนป่าเถื่อนมาแล้ว หลินซวงก็เริ่มเดินทางกลับไปยังหนทางเดิม

เขาต้องตามหาอีซาเป้ยลาและกระพือความโกลาหลให้มากขึ้นกว่านี้

แต่มันไม่เหมือนเช่นในอดีต ตอนนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงมีอิทธิพลในการควบคุมสถานการณ์โดยรวมมากขึ้นเช่นกัน

ครั้งนี้เขามาพร้อมกับแผนการใหม่