บทที่ 88 โบสถ์ไร้เงา
เมืองใจสิงห์ตั้งอยู่ตอนทางใต้ของอาณาจักรย่าตุ้น
สถานที่นี้หันหน้าเข้าสู่ป่าจินตนา มีแม่น้ำอินเหม่ยหนีเท่อล้อมรอบ ด้านหลังติดกับภูเขาเมษ ดังนั้นจึงมีทิวทัศน์งดงามเกินบรรยาย มีท่าเรือที่เข้าถึงได้ง่ายมาก ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิตอิสรเสรี นับว่าเป็นเมืองแห่งหนึ่งที่ผู้คนอยากมาอาศัยอยู่มากที่สุด
ทว่าโรคระบาดได้เปลี่ยนเรื่องนั้นไป
ธรรมชาติอันงดงามทั้งหลายพลันเหี่ยวเฉา เมืองอันอุดมสมบูรณ์กลับต้องตกอยู่ในสภาพข้นแค้น
ชาวเมืองผู้เคราะห์ร้ายเรียงรายอยู่ตามถนนและทางน้ำ แทบไม่เห็นการเคลื่อนไหว เห็นศพเกลื่อนไปทั่ว เปลวเพลิงโหมไหม้ทั้งกลางวันและกลางคืน
คำสาปคร่าชีวิตมนุษย์ ความกลัวทำให้ผู้คนในเมืองพากันบ้าคลั่ง ดังนั้นจึงมีพวกโจรจิตฉ้อฉลเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยคร่าวแล้ว ชาวเมืองราวสิบส่วนถูกคำสาปสังหารไป ที่เหลือกว่าครึ่งถูกมนุษย์ฆ่ากันเอง
ความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวส่งผลให้ยิ่งเกิดการฆ่าสังหาร ล้วนทำให้เมืองล่มสลายเร็วขึ้น
เมื่อเดินไปตามถนนในเมือง มองดูอาคารที่ทรุดโทรมและสภาพเมืองที่ถูกทำลายแล้ว ใจของหลินซวงก็ยังเย็นชาดั่งน้ำแข็ง สายตาเรียบนิ่งไร้อารมณ์
เขารู้ดีว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่
เพื่อชีวิตอีกนับไม่ถ้วนในแดนต้นกำเนิด เขาจะใจอ่อนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะในแดนต้นกำเนิดคงจะเป็นฝ่ายถูกกลืนกินเสียเอง
แม้เรื่องนี้จะทำให้เขากลายเป็นคนบาปในแดนแห่งนี้ แต่เขาก็พร้อมยอมรับ
เขาย่อมรับผิดชอบการกระทำของตนเอง
นี่เป็นความคิดที่ผู้นำทุกคนจำเป็นต้องมี
กลับกันแล้ว จุดหมายของเขาไม่ใช่การสังหาร เป็นเพียงวิธีการหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากหลีกเลี่ยงได้ก็จะดีที่สุด
“ช่วย… ช่วยพวกเราด้วย…” ขอทานคนหนึ่งกระซิบเสียงแผ่ว พยายามเอื้อมมือมาหาหลินซวง
หลินซวงหันมามอง
เขาไม่เหมือนกับขอทานคนอื่นที่เดินผ่านมา ขอทานพรุ่งนี้สวมใส่ชุดขาดรุ่งริ่ง แต่ก็เป็นเสื้อคลุมปักลายสีสันสดใส รูปร่างอวบเล็กน้อยและใบหน้าซีดขาวของเขาบ่งบอกว่าคนพูดนี้ครั้งหนึ่งหากไม่ใช่ชนชั้นสูงอย่างน้อยคงเคยเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวย
โรคระบาดได้ช่วงชิงทุกสิ่งอย่างที่เขามีไป
หลินซวงเข้ามา “เจ้าชื่อว่าอะไร?”
“ปา… ปาหนีซือเท่อ… ขอ… ของกินหน่อย…” ขอทานตอบกลับเสียงอ่อน
“บอกข้าสิ ปาหนีซือเท่อ เจ้าเชื่อในเทพเจ้าหรือไม่?” หลินซวงถาม
“ข้าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่มีศรัทธาแรงกล้าที่สุดของจ้าวแห่งแดนฝัน”
“เขาดีต่อเจ้าหรือไม่?”
“ดีหรือ?” ปาหนีซือเท่อไม่เข้าใจคำถาม
ท่านเทพที่เขาศรัทธาดีต่อเขาหรือไม่งั้นหรือ?
นี่มันคำถามน่าขันอะไรกัน?
ปาหนีซือเท่อไม่รู้จะตอบอย่างไร
หลินซวงเอ่ย “ยามเจ้าตกทุกข์ได้ยาก เทพของเจ้าอยู่ไหนกัน?”
ได้ยินดังนั้น ร่างปาหนีซือเท่อก็สั่นเทิ้มด้วยความไม่พอใจ “ข้าเพียงขออาหาร ไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาเยาะเย้ยถากถาง!”
หลินซวงโยนขนมปังขาวชิ้นหนึ่งไปให้
ปาหนีซือเท่อคว้าไว้ได้แล้วก็สวาปามมันทันที
หลินซวงเอ่ยเสียงเรียบขณะมองเขากิน “ตอบข้าสิ เทพของเจ้าไปไหน?”
ปาหนีซือเท่อชะงักงัน
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ข้าคิดว่า… พวกเราถูกทอดทิ้งแล้ว”
เป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกนัก
เผ่าเทพเป็นสิ่งมีชีวิตสูงส่ง น้อยครั้งนักที่จะใส่ใจชะตากรรมของสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมา
หลินซวงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน “แต่เจ้าก็ยังจะศรัทธาเขาต่อใช่หรือไม่? เจ้าคงไม่เลิกศรัทธาเขาง่ายดายเช่นนั้น”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ปาหนีซือเท่อจ้องหลินซวงด้วยความสงสัย
จากนั้นก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นวงแสงสีทองจาง ๆ เริ่มแผ่ออกมาจากร่างหลินซวง
มันแผ่ออกมาจากเท้าของหลินซวง โอบล้อมร่างปาหนีซือเท่อไว้ เขาสัมผัสได้ว่าโรคระบาดที่เข้ารุกรานร่างกายเริ่มหดตัวลง
เขาหายดีแล้วงั้นหรือ?
ปาหนีซือเท่อสำรวจตัวเองด้วยความปีติ
ความเสียหายจากโรคระบาดเลือนหายไปแล้ว พละกำลังทั้งหลายกลับคืนสู่ร่าง
เขาเงยหน้ามองหลินซวงอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นปาหนีซือเท่อก็กระจ่าง รีบคุกเข่าลงทันใด “โอ ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในที่สุดท่านก็กลับมาช่วยเหลือบริวารผู้น่าสงสารแล้วหรือขอรับ?”
หลินซวงเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าไม่ใช่จ้าวแห่งแดนฝัน”
อะไรนะ?
ปาหนีซือเท่อมองหลินซวงด้วยสายตาตกตะลึง
หลินซวงว่าต่อ “ผู้ที่ข้ารับใช้คือบรรพชนอมตะนภาไร้เงาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่เปล่งประกายที่สุด”
“เทพนภาไร้เงา?” ปาหนีซือเท่อถามเสียงลังเลอยู่บ้าง
ปาหนีซือเท่อไม่เคยได้ยินชื่อเทพตนนี้มาก่อน
หลินซวงพูดว่านภาไร้เงา ส่วนปาหนีซือเท่อพูดว่าเทพนภาไร้เงา
หลินซวงอยากจะแก้ให้ถูก แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ
คนพวกนี้อยู่ใต้การควบคุมของเผ่าเทพมานาน ความศรัทธาได้ฝังรากลึกลงในจิตใจไปแล้ว
หากบอกให้หันไปนับถือเทพตนอื่นคงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่หากบอกไม่ให้เชื่อในเทพใดคงเป็นไปไม่ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เทพนภาไร้เงาก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่จนเกินไป
หลินซวงพยักหน้า
เมื่อเห็นหลินซวงยืนยัน ปาหนีซือเท่อพลันรู้สึกรู้แจ้ง
เขามองใบหน้าหลินซวงผู้ใจบุญ จากนั้นกัดฟันแล้วก้มหน้าเคารพ “ปาหนีซือเท่อเต็มใจรับใช้เทพนภาไร้เงา ขอมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่าน!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น… เจ้าควรมากับข้า”
หลินซวงหมุนตัวเดินจากไป ปาหนีซือเท่อรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วติดตามเขาไปทันที
“คือ… คุณชาย…” ปาหนีซือเท่อเอ่ยคำขึ้นอย่างระวัง
เขาไม่รู้ว่าจะเรียกหลินซวงอย่างไรดี
“เรียกข้าว่าอ้ายหลง” หลินซวงจำเป็นต้องใช้นามแฝง
“รับทราบขอรับท่านอ้ายหลง ที่ข้าอยากทราบคือเหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อเทพท่านองค์นี้มาก่อน? ข้าไม่ได้คิดจะลบหลู่นะขอรับ เป็นความผิดข้าเองที่ไร้ซึ่งความรอบรู้…”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของเจ้า นายท่านผู้นี้ก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน”
“ไม่เคยปรากฏตัวหรือขอรับ?”
“ถูกต้อง นายท่านไม่สนใจเรื่องทางโลก จะปรากฏตัวขึ้นก็ต่อเมื่อความวิบัติมาเยือนใต้หล้า ความมืดปกคลุมไปรอบแดนเท่านั้น”
แต่เดี๋ยวก่อน ประโยคนี้เหมือนมีอะไรผิดแผกไปไม่ใช่หรือ?
ในประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์ก็เคยเกิดวิบัติขึ้นมาหลายครั้งไม่ใช่หรือไร?
แล้วเหตุใดเทพนภาไร้เงาจึงไม่ปรากฏตัวในช่วงเหล่านั้น แต่มาปรากฏตัวในช่วงโรคระบาดได้?
หลินซวงเหลือบตามอง “สงสัยหรือ? หรือว่ารู้สึกคาใจ?”
ปาหนีซือเท่อรู้สึกเหมือนใจถูกบีบรัด “ข้าไม่กล้า!”
“ไม่ใช่เรื่องประหลาดหรอก อย่างไรสายตาเจ้าก็มองเห็นได้อย่างจำกัด เจ้าอาจคิดว่าโรคระบาดนี้นับว่าเป็นภัยพิบัติ แต่ไม่เข้าใจว่านายท่านเป็นกังวลเรื่องอื่นต่างหาก ไม่เข้าใจว่าโรคระบาดนี้เป็นเพียงเรื่องเตือนล่วงหน้าถึงภัยพิบัติแท้จริงที่กำลังจะมาเยือน”
“ภัยพิบัติที่แท้จริงหรือขอรับ?” ปาหนีซือเท่อชะงักไป
“ถูกต้อง ภัยพิบัติที่แท้จริง หนักหนาสาหัสกว่าศึกแห่งทวยเทพเสียอีก” หลินซวงตอบเสียงเครียด
สาหัสกว่าศึกแห่งทวยเทพอีกงั้นหรือ?
ปาหนีซือเท่อตะลึงงันไปทันใด
นี่จึงเป็นเหตุผลให้เทพนภาไร้เงาปรากฏตัวงั้นสินะ
เขาเป็นผู้พิทักษ์ตนสุดท้ายของใต้หล้า เมื่อภัยพิบัติใหญ่ใกล้จะมาเยือน เขาก็จะลงมาช่วยเหลือและรับแรงศรัทธาอย่างนั้นหรือ?
ด้วยความเก่งกาจในด้านคำลวงของหลินซวง สุดท้ายปาหนีซือเท่อจึงเริ่มเชื่อว่าเทพนภาไร้เงาเป็นผู้พิทักษ์ใต้หล้าอย่างแท้จริง และอ้ายหลงผู้นี้ต้องเป็นผู้ส่งสารจากเทพนภาไร้เงาเป็นแน่แท้ ทั้งยังเป็นหัวหน้าบาทหลวงของโบสถ์นภาไร้เงาด้วย
และด้วยความที่มันเป็นโบสถ์ที่เพิ่งสร้างใหม่ ตอนนี้จึงมีสมาชิกเพียงแค่สองคนเท่านั้น
ทว่าปาหนีซือเท่อก็ไม่ใส่ใจ
มองในบางมุมนี่ก็เป็นเรื่องดี เพราะเขาได้เห็นฝีมือเทพนภาไร้เงามากับสองตา ถ้าหากเทพนภาไร้เงาสามารถกำจัดโรคระบาดได้ ต่อไปเมืองใจสิงห์ก็อาจได้ผู้ศรัทธาจำนวนมาก ไม่แน่ว่าเขาอาจได้เป็นนักบวชในอนาคต เพราะเขาถือเป็นผู้ติดตามคนแรกของทางโบสถ์
ใช่แล้ว นี่คือแผนการที่ปาหนีซือเท่อคิดไว้
อย่างไรเขาก็เป็นพ่อค้าที่มีกิจการประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงเป็นนักจับจังหวะโอกาส น่าเสียดายที่ชะตามีแผนอื่นตระเตรียมไว้ให้เขาแล้ว และโรคระบาดนี้ได้ทำลายเขาอย่างสมบูรณ์
แต่ตอนนี้โอกาสได้มาเยือนเขาอีกครั้ง เขาย่อมไม่ยอมปล่อยมันไปแน่
ภายใต้การนำพาของปาหนีซือเท่อ หลินซวงก็พบกลุ่มพ่อค้าที่ติดโรคในเวลาไม่นาน
เหตุผลที่เขาไม่เริ่มช่วยเหลือผู้คนเป็นจำนวนมากก่อน เป็นเพราะเขาต้องการเสาะหาผู้ติดตามผู้ภักดีก่อนเป็นอันดับแรก ผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยมักมีสายตาไม่กว้างไกล มีไหวพริบค่อนข้างต่ำ แต่มักมีชะตาแข็ง ส่วนพวกชนชั้นสูงก็ใช้อะไรไม่ค่อยได้
พวกพ่อค้ากลับเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด
พ่อค้ามองผลประโยชน์เป็นสำคัญ ใครมีผลประโยชน์ให้ก็จะติดตามไป ด้วยเหตุนี้จึงหว่านล้อมให้เชื่อได้ง่ายดาย ทั้งเส้นสาย ประสบการณ์ และสมองอันฉับไวล้วนเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น
หลังจากหลินซวงรักษาโรคระบาดให้พ่อค้าเหล่านี้แล้ว หลายคนก็เลือกเปลี่ยนศาสนา ทันใดนั้นหลินซวงก็พบว่าตนเองมีทั้งกำลังพลและทรัพยากรมากมายขึ้นมาทันใด
เรื่องถัดไปที่โบสถ์นภาไร้เงาจำเป็นต้องทำคือการสร้างสถานที่ทำการและเสาะหาผู้ศรัทธา
แต่เรื่องนี้กลับเป็นปัญหา
เทพแต่ละตนมีเขตแดนเป็นของตนเอง ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเขตแดนของพระเจ้าแห่งความฝัน การจัดตั้งโบสถ์ขึ้นอีกแห่งหนึ่งก็เหมือนกับการประกาศสงครามนั่นเอง
ซึ่งหลินซวงยังไม่คิดจะทำเช่นนั้น
เขามองว่าตนเองเพิ่งเป็นเมล็ดที่ได้รับการหว่านลงดิน ยังต้องใช้เวลาในการได้รับน้ำ งอกเงย และเติบโตอีกมาก
และเหล่าพ่อค้าก็ไม่อยากปะทะกับโบสถ์แห่งฝันเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อปรึกษาหารือกันแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจจากไป ค้นหาสถานที่ใหม่เพื่อสร้างโบสถ์
ใต้หล้าช่างกว้างใหญ่ อย่างไรต้องมีสถานที่ที่ไร้เจ้าของให้พวกเขาได้จับจองแน่
การแพร่กระจายของโรคระบาดนั้นแพร่ไปไกลพอสมควร มีเพียงโบสถ์นภาไร้เงาที่สามารถรักษามันได้ หมายความว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องผู้ศรัทธามากนัก
หลังจากตัดสินใจเรื่องสถานที่ตั้งโบสถ์ได้แล้ว หลินซวงก็เดินนำคนเข้าไปในเมือง
หลินซวงมีหน้าที่รักษาผู้คน ส่วนนักบวชและนักบุญทั้งหลายรับหน้าที่สั่งสอน
คำสั่งสอนเหล่านี้พวกเขาเพิ่งคิดขึ้นอย่างละเอียดเมื่อคืนก่อนนี้เอง
การที่ยังไม่มีคำสั่งสอนเป็นชิ้นเป็นอันควรเป็นประเด็นปัญหาอันดับหนึ่ง ทว่าการที่เขาสามารถช่วยชีวิตคนได้ทำให้ผู้คนทั้งหลายมองว่าเรื่องนี้มีความสำคัญรองลงมา
ในเมื่อโบสถ์นภาไร้เงาช่วยชีวิตคนได้ ก็เป็นโบสถ์ที่ไว้วางใจได้
ทัศนคติของพ่อค้าบางครั้งก็เรียบง่ายเช่นนี้
ผู้นำโบสถ์มีหน้าที่รักษาผู้คน นักบวชทำหน้าที่สั่งสอน นักบุญเป็นผู้แจกจ่ายอาหาร โบสถ์นภาไร้เงาทำงานไปเช่นนี้ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดก็จะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจากโรคระบาด บางคนก็ขอเข้าเป็นศิษย์ของโบสถ์ด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าหลินซวงจะไปที่ใด เหล่าศิษย์ก็จะติดตามไปด้วย อิทธิพลยิ่งขยับขยายมากมายขึ้น
ผลสุดท้ายคือเผ่าเทพถูกช่วงชิงแรงศรัทธา โรคระบาดได้รับการรักษา การสรรค์สร้างเทพเจ้าปลอมขึ้นมานับว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการสังหารคนทิ้งโดยใช่เหตุ