ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 826 เดินถึงต้นน้ำ นั่งมองเมฆขึ้น

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

การลงมือของฟู่ถิงในตอนนี้ไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนกระบวนท่า เหมือนตอนที่ประมือกับเยี่ยนจ้าวเกอก่อนหน้านี้อีก

เยี่ยนจ้าวเกอได้เห็นด้วยตัวเองแล้วว่าภัยพิบัติบัวแดงที่เคยได้ยินมานานหมายถึงอะไรกันแน่

ฟู่ถิงเอื้อมไปหยิบของด้านในถุงใบหนึ่งที่ติดอยู่ตรงเอว จากนั้นก็ชูมือขึ้นมา พลันมีลำแสงสีแดงชาดสายหนึ่งพุ่งออกมา

เมื่อออกมาอยู่ด้านนอก ลำแสงสีแดงก็กลายเป็นดอกบัวสีแดง งดงามหยดย้อย

ทว่าในวินาทีถัดมา บัวแดงก็แตกออก อากาศถูกเจาะเป็นรู

พลังทำลายล้างที่เหี้ยมหาญนั้น แทบจะเทียบได้กับการฟันดาบโดยไม่ใช้พลังจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเยี่ยนตี๋แล้ว

โชคดีที่การกำเนิดของภัยพิบัติบัวแดงจำเป็นต้องใช้เวลา ถ้าหากผลาญพลังงานไปเป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ ความเร็วจะยิ่งเพิ่มขึ้นจนตามไม่ทัน

ในขณะเดียวกัน เยี่ยนจ้าวเกอแน่ใจว่าพลังของตัวฟู่ถิงก็โดดเด่นเช่นกัน นางไม่ใช่คนที่อาศัยของวิเศษเพียงอย่างเดียวอย่างแน่นอน

หากต่อสู้โดยอยู่ในระดับเดียวกัน พวกหลินฮั่นหัว จวงเจาฮุย และคังผิงนับว่ายังด้อยกว่านาง

จะว่าไปเยว่เป่าฉีแห่งหอกระบี่ทะเลเหนือก็มีพรสวรรค์สูงส่งเช่นกัน แต่วรยุทธ์ของหอกระบี่ทะเลเหนือยากจะเทียบเทียมวรยุทธ์ของจักรพรรดิแพรแห่งยอดเขาอัศจรรย์

วรยุทธ์ระดับสุดยอด เมื่อรวมกับพรสวรรค์ของฟู่ถิงที่ล้ำเลิศกว่าคนอื่น จึงก่อให้เกิดเป็นอัจฉริยะผู้น่าทึ่งซึ่งบดขยี้คนรุ่นเดียวกันคนหนึ่ง

ในพื้นฐานนี้ ตัวนางยังครอบครองของวิเศษมากมาย ภัยพิบัติบัวแดงกับเสื้อสานขนหงส์ประสานการโจมตีและการป้องกันได้อย่างลงตัว

อย่าเห็นว่านางในตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้าย เพราะความสามารถในการต่อสู้ของนางสามารถทำให้จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงมากมายเรือคว่ำได้

ทว่าในอีกด้านหนึ่ง เกาฉิงเองก็น่าชมเชยเช่นกัน

นางอายุน้อยกว่าฟู่ถิง ในตอนนี้มีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง ขั้นรวมรูประยะกลาง

จอมยุทธ์ระดับนี้สำหรับฟู่ถิงแล้ว นางแทบจะเอาชนะได้อย่างสบายๆ คนส่วนใหญ่อาจถูกฆ่าในชั่วพริบตาเดียวด้วยซ้ำ

กระนั้นแม้ว่าเกาฉิงจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ฟู่ถิงก็ยากจะเอาชนะได้ในเวลาสั้นๆ

ภายในไม่กี่กระบวนท่า เกาฉิงได้ใช้วรยุทธ์อันแข็งแกร่งอย่างกระบี่ลวงเซียนและกระบี่สังหารเซียนออกมาพร้อมกัน

การเปลี่ยนแปลงระหว่างวิชากระบี่สองชนิดไม่มีการหยุดชะงัก รวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ใช้ได้ตามใจนึก

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็ลอบพยักหน้า ‘เป็นกระบี่ลวงเซียนจริงๆ ด้วย มิน่าจึงหาวิธีเข้ามายังมิติต่างแดนแห่งนี้ผ่านมิตินอกแดนได้ อีกทั้งยังรวดเร็วนัก’

‘มรกตท่องฟ้าสมกับเป็นผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ ผู้สืบทอดระดับสุดยอดที่ชุบเลี้ยงขึ้นมา จึงไม่ปล่อยฟู่ถิงที่โดดเด่นในคนรุ่นเดียวกันบนโลกซ้อนโลกได้เปรียบแม้แต่น้อย’

ถ้าหากทั้งสองต่อสู้โดยอยู่ในระดับเดียวกัน จะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียม ยากกำหนดผลแพ้ผลชนะเป็นแน่

พวกเกาฉิงในตอนนี้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่มีความแน่วแน่อย่างเต็มเปี่ยม

เกาฉิงเผชิญหน้ากับฟู่ถิงที่แกร่งกว่าตัวเอง ใช้ท่ากระบี่ลวงเซียนเป็นหลัก

กระบี่ลวงเซียนไม่ได้จำกัดแค่การฟันทำลายมิติเท่านั้น ขณะที่มันเปลี่ยนแปลง ยังทำให้เคลื่อนย้ายมิติได้ในระดับหนึ่งด้วย

เมื่อพบช่วงวิกฤตที่ไม่อาจหลบเลี่ยงพ้น เกาฉิงจะอาศัยความได้เปรียบนี้ ใช้กระบี่ลวงเซียนโต้ตอบป้องกัน ทำให้ฟู่ถิงไม่อาจจัดการนางได้ชั่วขณะ

ทั้งสองฝ่ายสู้กันจนยากตัดสิน ขณะที่เวลาผ่านไป ผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ด้านนอกก็กำลังต่อสู้ พร้อมทั้งทะลวงทะเลเมฆสีม่วง เข้าใกล้เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับขึ้นเรื่อยๆ

เตาโอสถขนาดยักษ์เตานั้นยังคงตั้งตระหง่านอยู่กลางความว่างเปล่าอย่างสงบ เหมือนกับไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้อันอุเดือดด้านนอกโดยสิ้นเชิง

เยี่ยนจ้าวเกอพาพวกเฟิงอวิ๋นเซิงไปซ่อนในควันสีม่วง รอคอยอย่างอดทน พลางรวบรวมสมาธิ คอยสังเกตสถานการณ์เบื้องหน้า

“คุณชาย เตาวิเศษนั่นมีปัญหาจริงๆ หรือ” อาหู่ตอนนี้ไม่ได้ยิ้มแย้มแล้ว เขาปั้นหน้าเคร่งขรึม “มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนหลายคนมาถึงแล้ว การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทำให้พวกเราไม่อาจะเป็นชาวประมงรอฉวยโอกาสในตอนที่นกกระยางสู้กับหอยมุกได้อีก”

เยี่ยนจ้าวเกอจ้องเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับเขม็ง “ความรู้สึกของข้าบอกว่าตัวเตามีปัญหา”

ความจริง หากจะลงมือตอนนี้ก็ยังถือว่าทัน

กว่ายอดฝีมือของเขาอัศจรรย์และมรกตท่องฟ้าจะทะลวงเข้ามาได้ เห็นทียังต้องใช้เวลาอีกสักพัก

ส่วนพวกฟู่ถิงกับเกาฉิงก็กำลังสู้กันอย่างติดลม เยี่ยนจ้าวเกอลงมือในตอนนี้ ยังคงมีความหวังอยู่มาก

จะลงมือหรือไม่ลงมือดี

หรือว่าจะเชื่อความรู้สึกก่อนหน้า

เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้กำลังถามตัวเองไม่หยุด

ถ้าหากว่าการคาดเดาก่อนหนานี้เป็นความผิดพลาด เช่นนั้นก็เท่ากับประสานมือมอบของวิเศษอย่างเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับให้ผู้อื่นไปโดยไม่ได้อะไร

นี่ไม่ใช่แค่โอสถไม่กี่เม็ดหรืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งเท่านั้น

แม้ว่าจะไม่อาจเปลี่ยนเป็นกำลังรบได้ในทันที แต่ว่าคุณค่าของของวิเศษชิ้นนี้ก็มีมากกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงหรือแม้กระทั่งอาวุธเซียนเสียอีก!

สิ่งที่รบกวนการตัดสินใจของเยี่ยนจ้าวเกอ ความจริงก็ไม่ได้มีหลักฐานที่สนับสนุนการคาดเดาของเขาจริงๆ

ทั้งหมดตั้งอยู่บนความรู้สึกของเขาเองล้วนๆ ตั้งอยู่บนความทรงจำที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ซึ่งมาจากวังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

เมื่อมาอยู่ในระดับของเยี่ยนจ้าวเกอ ลางสังหรณ์และความรู้สึกจะไม่ได้เกินจริง แต่เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่จริงๆ

ทว่าเรื่องราวที่ลี้ลับเกินไป มักจจะรบกวนและหลอกลวงการตอบสนองของจอมยุทธ์

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนด้านนอกหลายคน มีความสามารถในการตอบสนองต่อลางสังหรณ์อย่างปราดเปรียวเช่นกัน ทว่าพวกเขาในตอนนี้ยังไม่พบความผิดปกติอะไร

เยี่ยนจ้าวเกอเฝ้าถามตัวเองว่า ความรู้สึกของเขาใช่ความรู้สึกคิดไปเองหรือไม่

เขาปิดตาลง ไม่มองเตาวิเศษที่ทำให้ผู้คนเกิดความละโมบนั่นอีก

เนิ่นนานให้หลัง เยี่ยนจ้าวเกอก็ลืมตาขึ้น กล่าวเสียงทุ้มว่า “ตอนนี้คือเวลาเดินถึงต้นน้ำ นั่งมองเมฆขึ้น”

“พวกเรารอก่อน”

“ถ้าหากความรู้สึกของข้าไม่ผิด นั่นเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ หลังจากตัดสินใจแล้ว ต้องยอมรับผลที่จะตามมา”

ในเมื่อเขาบอกให้รอ พวกเฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ และเสี่ยวอ้ายก็ไม่กล่าวอะไรอีก ทุกคนต่างสูดหายใจลึก สงบจิตใจ จ้องมองเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ รอคอยอย่างอดทนไปพร้อมกับเยี่ยนจ้าวเกอ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ความปรวนแปรของทะเลเมฆสีม่วงก็ยิ่งมายิ่งรุนแรงขึ้น

ในตอนที่พวกเกาฉิงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ ปม้กระทั่งเริ่มรับมือไม่ไหว ควันสีม่วงยิ่งใหญ่ก็ถูกแหวกออก เงาคนหลายสายพุ่งเข้ามาด้านใน

คนทั้งหกแบ่งเป็นข้างละสามสาม เข่นฆ่าปะทะซึ่งกันและกัน ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ ในดวงตาต่างก็ทอประกาย

ครั้นพวกเขามาถึง การต่อสู้ของพวกฟู่ถิงกับเกาฉิงก็สูญเสียความหมาย ต่างฝ่ายต่างถอยออกไปด้านข้าง

ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าสองคน ผู้มีพลังฝึกปรือสูงที่สุดของแต่ละฝ่ายต่างเอื้อมมือคว้าเข้าใส่เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับพร้อมกัน

ยอดฝีมือจากมรกตท่องฟ้าฝึกฝนกระบี่ลวงเซียน เหมือนกับไม่เห็นมิติอยู่ในสายตา คว้าขอบของเตาโอสถได้ก่อนก้าวหนึ่ง

เตาโอสถสั่นไหวอย่างรุนแรง เกือบกระแทกให้มือเขาหลุดออกไป

เขาเพิ่มแรงยก แต่กลับยังยกเตาโอสถไม่ขึ้น

เนื่องจากเสียเวลาไปครู่หนึ่ง คู่ต่อสู้ของเขาจึงพุ่งเข้ามาอย่างไม่รอช้า หลบคมกระบี่ของเขาได้ ขณะนี้อ้อมไปอีกด้านหนึ่ง เอื้อมมือไปคว้าเตาโอสถได้แล้วเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายปลุกปล้ำกันกลางอากาศ ยื้อยันกันอยู่ชั่วขณะ

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนสี่คนที่เหลือพัวพันกันไว้ พลางถลันกายไปด้านหน้าอย่างพร้อมเพียง จับเตาโอสถตามลำดับ ในขณะเดียวกันก็โจมตีใส่คู่ต่อสู้ไปด้วย

เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฝาเตาเปิดออก ควันและเมฆหลายสายลอยขึ้นมาไม่หยุด สภาวะยิ่งใหญ่เทียบเทียมดวงดาว

ในวินาทีถัดมา หมอกควันที่กลายเป็นทะเลเมฆสีม่วงห้อมล้อมอยู่รอบเตาโอสถ ก็พากันม้วนพัดขึ้นฟ้า ก่อนจะหายเข้าไปในเตาโอสถ

แสงสีทองพร่างพราวสาดออกมาจากในเตาโอสถ ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ

พวกฟู่ถิงกับเกาฉิงกัดฟัน เตรียมเข้าไปช่วยเหลือ

ครั้งนี้ควันสีม่วงหายไป พวกเยี่ยนจ้าวเกอปรากฏตัวขึ้นในครรลองสายตาของพวกเขา!

ทั้งสองฝ่ายต่างตกตะลึง

พร้อมกันนั้นเอง กลุ่มแสงสีม่วงสายหนึ่งก็โผล่ขึ้นด้านบนเตาโอสถอย่างฉับพลัน จากนั้นก็กระจายออกไปรอบๆ

แสงสีม่วงกระจายไปทุกที่ กลายเป็นเงามายาหนาหนัก เกิดเป็นตำหนักลวงตาขนาดยักษ์ตำหนักหนึ่ง!

………………..