“ห้ามทุกคนผู้คนออกไป หรือนี่จะหมายความว่า ห้ามให้ทุกผู้คนบุกเข้ามา?” มองดูฝ่ามือขนาดยักษ์เสียดฟ้าเบื้องหน้าตนแล้ว ราวกับมีกระแสพลังขนาดพลิกภูเขาทะลายผืนฟ้าไหลบ่าเข้ามา ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อทางนี้เองนั้นก็ถอยเท้าไม่หยุด ในสมองเขาคิดเร็วรี่
มือข้างนี้ หากใช้เพียงตาเนื้อมองดู เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณสะท้านภพอันโบราณ พลังปราณนี้แข็งแกร่งยิ่ง ยามที่หวังเป่าเล่อมองดูแล้วยังเหนือกว่าเฉินชิงจื่อเสียอีก
เพียงแต่ว่า…ฝ่ามือนี้ดูคล้ายเป็นจอกแหนไร้ราก ภายใต้พลังปราณอันแข็งแกร่งสะท้านใจคน กลับซ่อนลักษณะการร่วงโรยไม่อยู่
“เพราะหลัวร่วงหล่นงั้นเหรอ…” หวังเป่าเล่อคล้ายจะคิดได้ หากคิดจะทำลายมือข้างนี้ทิ้ง อาจจะเสียเวลาและต้องใช้วิธีอยู่บ้าง กลับมิใช่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
เพียงแต่ว่า…ความเป็นไปได้ที่มากกว่าคือยังไม่ทันที่ฝ่ามือข้างนี้จะสลายไป ตนเองคงจะสิ้นอายุขัยไปเสียก่อน อีกทั้งในระหว่างเวลาการต่อสู้นี้หากตนเองไม่ระมัดระวัง เกรงว่าดวงวิญญาณเทพของตนนี้จะถูกทำลายจนสิ้นเช่นกัน
อีกทั้งการสิ้นเปลืองพลังเช่นนี้ดูไปแล้วไม่คุ้มอย่างมาก โดยเฉพาะขนาดของฝ่ามือนี้ใหญ่ยิ่ง คงมีเอาไว้เพื่อใช้กันมิให้ศัตรูภายนอกบุกเข้ามา ดังนั้นหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ที่เก่าจึงนิ่งเงียบ
วิธีที่ดีที่สุด คือใช้วิธีการใดสักอย่างเพื่อให้ฝ่ามือนี้ยอมรับ แล้วยอมให้ตนเองฝ่าออกไป
“วิธีการที่ศิษย์พี่ใช้ คงจะเป็นการหลอมเต๋าสวรรค์แห่งสำนักแห่งความมืด เพื่อให้ได้รับการสืบทอดบัญชา วิธีการนี้ฝ่ามือนี้เองคงยอมรับปล่อยผ่านได้” ดวงตาหวังเป่าเล่อทอประกาย เขาเดาออกถึงวิธีการของเฉินชิงจื่อได้ ในใจกำลังพิจารณาว่าจะใช้วิธีการคล้ายคลึงกันฝ่าออกไป
ครึ่งครู่ให้หลัง หวังเป่าเล่อพลันก้มหัวลงจากนั้นมองสมุดแห่งชะตาเบื้องหน้าตน
สำหรับสมุดแห่งชะตาและความเป็นมาของวานรเฒ่า เสือน้อยและจื่อเย่ว์นั้น หวังเป่าเล่อในปัจจุบันเข้าใจดี พูดให้ชัดๆ เดิมที่แล้วพวกเขาไม่ได้เป็นของสถานที่นี้
เดิมทีในโลกแห่งศิลา ไม่ได้มีเงาร่างและชะตาของพวกเขา แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบิดาของพี่สาวตัวน้อย เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งหลังทำให้แผ่นศิลานี้เกิดรอยแตก
ท่านผู้สูงศักดิ์รายนั้นแม้ว่าตนเองจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ตัวศิลายากจะต้านรับไหว ดังนั้นแล้วจึงไม่อาจเข้ามาได้เอง หรือต่อให้บุกเข้ามาจนทำให้ศิลาต้องพังทลายเกรงว่าตัวเขาเองยังไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่…การฟื้นคืนชีพให้หวังอีอีนั้นก็จะล้มเหลว และนี่คือสิ่งที่ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นรับไม่ได้
ดังนั้น…เมื่อเขาควบคุมพลังจนเข้ามาที่นี่ได้ก้าวแรก ก็เพื่อใช้วิถีเต๋าแห่งเดือนปี ส่งตัวหวังอีอีเข้ามา อีกทั้งภายใต้เต๋าแห่งเดือนปีและผลกระทบจากเวทกาลเวลา เปลี่ยนแปลงดวงชะตาของโลกแห่งศิลานี้ในทุกระดับ…เรียกได้ว่าส่งมอบสิทธิในการฉีกทำลายการบ่มเพาะของจักรวาลนี้ส่วนหนึ่ง ให้แก่หวังอีอี
นี่ทำให้ภายหลังจากหวังอีอีถูกส่งตัวมาผนึกอยู่ในโลกแห่งศิลาไม่นานนัก เหล่ามวลดาราภายในเปลี่ยนผัน ตระกูลไม่รู้สิ้นในยามแรกจึงพินาศไปอย่างเงียบๆ สรรพชีวิตนั้นภายใต้จุดเชื่อมต่อแห่งธารเวลาค่อยๆ หลั่งไหลกันเข้ามาอยู่ในโลกแห่งศิลา อีกทั้งหลังได้รับตัวตนในโลกแห่งศิลาแล้ว แต่ละคนจึงค่อยสั่งสมจนได้วิถีแห่งการบ่มเพาะ ดังนั้นจึงได้มีภาพวาด จึงได้มีหมึกหยดแรกของสรรพชีวิตในคราเริ่มต้น และได้มีโลกใบแรกของทุกคน
อีกทั้ง…วานรเฒ่า เจ้าเสือน้อย จิ้งจอกน้อยและกวางขาวน้อยทั้งหลาย…
ดังนั้นแล้วในทุกระดับ พี่สาวตัวน้อยหวังอีอีระหว่างที่เตรียมตัวละทิ้งเงื่อนไขและสัญญาในสถานที่นี้ สุดท้ายแล้วหลังจากนางกลับชาติมาเกิดหลายต่อหลายครั้ง…ก็ยังคงมีสิทธิในการบ่มเพาะโลกแห่งศิลานี้อยู่
ไม่ว่าสิทธินี้ในยามนี้จะหายไปแล้ว แต่หากสืบสาวราวเรื่องไป แค่ตำแหน่งของพี่สาวตัวน้อยนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ความคิดไหลลื่น เมื่อตรึกตรองกระจ่างแล้ว หวังเป่าเล่อก้มหน้าลง ในสมองพลันส่งเสียงเรียกเบาๆ
ครึ่งครู่ให้หลัง มีเสียงถอนหายใจดังออกมา พี่สวาตัวน้อยที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาว พลันปรากฏตัวอยู่ด้านข้างหวังเป่าเล่อในยามนี้ นางมองดูฝ่ามือขนาดยักษ์ไร้ขีดจำกัดอันน่าครั่นคร้ามซึ่งแผ่ไพศาลครอบท้องฟ้า แล้วก็มองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเงียบไปหลายอึดใจค่อยเอ่ยปากเสียงเบา
“เจ้าแน่ใจแล้วเหรอ?”
“ข้าแน่ใจ รบกวนพี่สาวตัวน้อยด้วย” หวังเป่าเล่อสีหน้าเคร่งขรึม เขาประสานหมัดก่อนจะโค้งคำนับลงต่ำ
“แต่ว่า ประตูบานนี้ อย่างมากข้าก็…ทำได้แค่เปิดรอยแยกเท่านั้น อีกทั้งเวลายังสั้นนัก…” พี่สาวตัวน้อยเอ่ยเสียงเบา
หวังเป่าเล่อไม่เอ่ยคำใด ยังคงก้มคำนับไม่หยัดกาย
ครึ่งครู่ให้หลัง พี่สาวตัวน้อยถอนหายใจอีกครั้ง ดวงตาปรากฏแววเวทนา นางไม่ได้เอ่ยโน้มน้าวต่อ แต่กลับแหงนหน้ามองฝ่ามือขนาดไพศาลเบื้องหน้าตนเอง ในเวลาเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อ สมุดแห่งชะตาลอยเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของนาง
ในยามนี้ ตัวสมุดแห่งชะตานั่นสั่นสะท้านรุนแรง เผยให้เห็นคลื่นอารมณ์ตื่นเต้น ส่วนพี่สาวตัวน้อยยกมือขึ้นแล้วค่อยๆ ลูบมันแผ่วเบา
“ไม่เจอกันนาน”
สมุดแห่งชะตาส่งเสียงร้องดัง แสงอร่ามในยามนั้นพลันระเบิดออกมา พลันมีพู่กันด้ามหนึ่ง ปรากฏตัวออกจากภายในสมุดแห่งชะตานี้ลอยเข้าสู่มือของพี่สาวตัวน้อย
พู่กันด้ามนี้ เป็นพู่ก่อนที่ถูกบ่มเพาะมาก่อน ประมุขกฎสวรรค์ใช้มันไม่ได้ ทั้งโลกแห่งศิลานี้ มีเพียงพี่สาวตัวน้อยเพียงคนเดียวซึ่งเรียกพู่กันด้ามนี้ออกมาได้ เหตุเพราะนอกจากมันจะแฝงถึงพลังจำกัดแห่งการบ่มเพาะแล้ว ยังแฝงด้วยตราประทับของบิดา
“ในจักรวาลโลกแห่งศิลา ข้าไม่มีความสามารถช่วยเจ้าได้มาก แต่ว่าเรื่องเล็กน้อยตรงนี้ข้าสามารถทำได้ ในเมื่อเจ้าขอร้อง…ข้าช่วยเจ้าก็พอแล้ว” พี่สาวตัวน้อยเอ่ย สีหน้าเผยแววตาจริงจัง นางค่อยๆ ยกมือข้างที่ถือพู่กันนั้นชี้มายังหวังเป่าเล่อแล้วตวัดเบาๆ คราหนึ่ง
การตวัดนี้ ในพริบตานั้นพลังปราณบนร่างหวังเป่าเล่อพลันเผยระลอกอันดุดันออกมา ในพริบตานั้นระลอกคลื่นนี้ก็พลันหมุนเปลี่ยนรวดเร็ว ทั้งหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วพริบตาดี ร่างของหวังเป่าเล่อนั้นก็พลันปรากฏซึ่ง…ปราณของเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด กระทั่งว่ากระแสพลังแห่งชีวิตของเขาเปลี่ยน มองไปแล้วที่แท้เหมือนกับเฉินชิงจื่อ ทุกประการ!
แฝงไปด้วยบัญชาแห่งสำนักแห่งความมืด พร้อมพรั่งหลอมรวมเต๋าสวรรค์ แล้วยังมีหน้าที่ที่ได้รับสืบทอด
จัดการเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จ สีหน้าของพี่สาวตัวน้อยซีดขาวไม่น้อย แต่ผลลัพธ์กลับน่าตกใจอย่างมาก ในระหว่างที่หวังเป่าเล่อในใจแอบตื่นตะลึงนั้น ฝ่ามืออันยักษ์ใหญ่เบื้องหน้าของตนเห็นได้ชัดว่าภายใต้การสั่นสะท้านนี้ ราวกับลังเล แต่ในหลายเจ็ดแปดอึดใจให้หลัง มันก็ค่อยๆ จางหายไปจากเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อและหวังอีอี เผยให้ประตูศิลาเก่าแก่โบราณผืนนั้น…ที่อยู่ด้านหลัง!
“ขอบคุณนะ” หวังเป่าเล่อมองดูพี่สาวตัวน้อยที่สีหน้าซีดขาว ในใจของเขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เอ่ยปากเสียงเบา
“อีกสักครู่ค่อยขอบคุณเถอะ” พี่สาวตัวน้อยยิ้มแย้ม นางมองดูประตูศิลาเช่นกัน สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ยกมือที่ถือพู่กันขึ้นช้าๆ ในครานี้ ร่างของนางเริ่มสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่ากำลังจะลงมือตวัดซึ่งกินแรงคราหนึ่ง
การตวัดคราหนึ่ง ประตูศิลาพลันส่งเสียงร้องรุนแรงออกมา พู่กันในมือของพี่สาวตัวน้อยนี้ ถึงกับแหลกสลายอย่างรับไม่อยู่ มันกลายเป็นลำแสงอีกครั้งย้อนกลับเข้าสู่สมุดแห่งชะตา
สมุดเล่มนี้ เริ่มมีแสงหม่นทึมอย่างรวดเร็ว ส่วนพี่สาวตัวน้อยตรงนั้นยามนี้ร่างสั่นเอน สีหน้ายิ่งซีดขาวกว่าเก่า ถูกหวังเป่าเล่อประคองเอาไว้ แต่ว่าพี่สาวตัวน้อยรีบเอ่ยปากทันที
“มีเวลาแค่ชั่วอึดใจเดียว!”ในเวลาที่นางเอ่ยออกมานั้น แผ่นศิลาที่สั่นสะท้านเสียงดัง ก็ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงรอยแยกนั้น รอยแยกนี้จะคงอยู่เพียงแค่ชั่วลมหายใจเดียว แล้วปิดลงอีกครั้ง!
หนึ่งลมหายใจแม้จะสั้น แต่ก็เพียงพอที่กระแสจิตของหวังเป่าเล่อจะเข้าสู่รอยแยกแล้ว เขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก เขามองเห็นว่าในความว่างเปล่าไม่รู้สิ้นด้านนอกนั้น ตะขาบตัวยักษ์เงาร่างสะท้านใจคนสีโลหิตกำลังรัดพันเฉินชิงจื่อ คล้ายกับจะดูดกลืน!!
ส่วนเฉินชิงจื่อสีหน้าซีดขาว ราวกับว่าสิ้นสติไปแล้ว!
แต่…ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อส่งกระแสจิตออกไปนั้น ตะขาบตัวนั้นเหมือนถูกชักนำมันพลันหันศรีษะมามองทันที ทำให้พลังที่สะกดเฉินชิงจื่อเอาไว้นี้ผ่อนคลายลง และเปลือกตาของเฉินชิงจื่อในยามนี้สั่นสะท้านรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ในชั่วแล่นลมหายใจนี้ก็เพียงพอที่หวังเป่าเล่อจะโยนของออกไปชิ้นหนึ่ง และในตอนที่กระแสจิตเทพนี้แผ่ขยายออกไปก็ได้กลายเป็นพลังเทพกระแสหนึ่งก่อนจะถูกตัดขาด!
ของชิ้นนี้…ก็คือม้วนภาพดาราจันทร์ที่ต้นตระกูลดาราจันทร์มอบให้ ส่วนวิชาเทพที่ว่ากลับเป็น…คืนพินาศ!
ผลลัพธ์เป็นเช่นไร ทั้งหมดไม่มีทางทราบ เพราะรอยแยกของแผ่นศิลานี้ในยามนี้พลันปิดลงอีกครั้ง แต่ในพริบตาที่ปิดลงนั้น..หวังเป่าเล่อพลันสัมผัสได้เลาๆ ไม่รู้ว่าสังหรณ์พลาดไปหรือไม่ ราวกับมองเห็นว่าเฉินชิงจื่อที่ถูกตัวตะขาบรัดพันดูดกลืนอยู่นั้น แผ่นตาสั่นสะท้านเล็กๆ แล้วพลันเบิกตาขึ้น!
ในเวลาเดียวกัน ยังมีเงาร่างหนึ่งบนนาวาอันโดดเดี่ยวซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่นอกโลกแห่งศิลา ในพริบตานี้พลันลืมตาขึ้น
“อีอี…”
…………………………