บทที่ 1264 ร่างไร้วิญญาณ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ผลลัพธ์เป็นอย่างไร หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นแล้ว

รอยแยกของประตูศิลา ในยามนี้นับว่าปิดลงสมบูรณ์ ส่วนเสียงที่เหมือนได้ยินพลาดไปนั้นกลับสะท้อนอยู่ในข้างหูหวังเป่าเล่อ อีกทั้งยังมีขุมมหาพลังจากด้านนอกพัดเข้ามาราวพายุคลั่งหลังเสียงนี้ พัดผ่านทั้งแปดทิศ ตกกระแทกสู่ประตูศิลา

ตู้ม!

ประตูศิลาถูกโจมตีทำให้ตัวประตูสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง และทำให้ความว่างเปล่าภายในศิลานี้เกิดความไม่คงที่ ราวกับถูกคลื่นคลั่งพัดโหม สิ่งไม่มีลักษณ์กลับเป็นมี อีกทั้งยังปรากฏรอยแยกจำนวนหลายเส้น ทำให้รู้สึกว่าสถานที่นี้คล้ายเกิดความโกลาหล อาศัยพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อในยามนี้คงยืนหยัดอยู่ได้ไม่นาน ทำได้เพียงถอยหนีรวดเร็วออกมาให้ห่าง

การถอยหนีนี้ ยากจะประคองต่อไปได้ เพราเหตุที่ความโกลาหลในสถานที่นี้ตั้งแต่แรกจนจบดำเนินไปนั้น ระดับความลำบากของมันเมื่อเทียบไปแล้วยิ่งมาก็ยิ่งทวีหนักขึ้นกว่าเก่ามากเข้ามากเข้า

นี่บีบให้หวังเป่าเล่อต้องถอยหนีอย่างเสียไม่ได้ หนีไปจากความว่างเปล่านี้ หนีไปจากเขตสิ้นสุดนี้ หนีไปจากจักรพิภพตรงนี้ กลับเข้าสู่ใจกลางของโลกแห่งศิลา นั่นก็คือ…ในจักรพิภพเต๋า

ยามที่เงาร่างของเขากลับเข้าปรากฏอีกครั้งใจกลางจักรพิภพไม่รู้สิ้น ทั้งจักรพิภพเต๋านั้นสั่นคลอนทันที ราวกับว่ามีกระแสพลังที่พันรัดร่างของเขาจากโลกภายนอกระเบิดออก ณ ที่นี้

ราวกับว่ากระแสปราณนี้ไม่มีเจตนาร้าย และเป็นเพียงแค่กระแสหนึ่งเท่านั้น แม้จะก่อเกิดคลื่นลมทั้งจักรพิภพเต๋า แต่ก็คงอยู่ได้ไม่นานนักกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังทำให้สภาวะจิตของสรรพชีวิตในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นสั่นสะท้าน ผู้อาวุโสสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณและบรรดาระดับจักวาลอย่างผู้อาวุโสตระกูลเซี่ย ยิ่งสัมผัสได้ชัดเจนต่างพากันเบิกตาโพลง สายตานั้นปรากฎความรู้สึกสงสัยตื่นตะลึงยังยากจะกลบ

“เมื่อครู่…” หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่กลางหมู่ดาราพลันหันศรีษะ มองไปยังทิศห่างไกลนั้น ในใจของเขายังคงพะวงอยู่ตรงบริเวณความว่างเปล่าด้านหน้าประตูศิลา สิ่งที่คิดอยู่ในสมองนั้นคือภาพที่ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อถูกตะขาบสีเลือดตัวยักษ์พันรัดอยู่ ในเวลาเดียวกันก็คล้ายจะได้ยินอะไรผิดไป

“เป็นพ่อของข้า” ในสมองของเขา มีน้ำเสียงเศร้าศร้อยของพี่สาวตัวน้อยลอยออกมา ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความคะนึงหา

หวังเป่าเล่อเงียบงัน ดวงตาของเขาค่อยๆ ทอประกายวาบ แต่แล้วในเวลาอันรวดเร็วก็หม่นทึมอีกครั้ง เขารู้ดีว่าบิดาของพี่สาวตัวน้อยนั้นรออยู่นอกโลกแห่งศิลา แต่ก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายเข้ามาไม่ได้ เพราะว่าเมื่อบุกเข้ามา โลกแห่งศิลานี้ก็จะแตกสลาย นี่กระทบต่อกระบวนการฟื้นคืนชีพของพี่สาวตัวน้อย

ดังนั้นแล้วความเป็นไปได้มากกว่าก็คืออีกฝ่ายจะไม่บุกเข้ามา เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาไปรบกวนการศึกระหว่างตะขาบสีเลือดและศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ เกรงว่าก็คงมีขีดจำกัดอยู่ดี

ชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียแล้ว หวังเป่าเล่อก็ทอดถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาทำสุดกำลังแล้ว เขาในยามนี้อยู่อยู่ตรงใจกลางนั้นเนิ่นนาน ถึงค่อยหันกายเข้าสู่หมู่ดาว มุ่งหน้ากลับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝ่ายซ้าย

สิ่งที่ควรมอง ได้เห็นแล้ว

สิ่งที่ควรทำ ได้ทำแล้ว

ในใจของหวังเป่าเล่อแม้ว่ายังมีความเสียใจ แต่อย่างมากสุดก็คือจิตใจยึดมั่นขุมหนึ่งเท่านั้น

“ตอนนี้ข้ายังอ่อนแอเกินไป!” ในใจหวังเป่าเล่อพึมพำ ก้าวหนึ่งเหยียบย่างก็มาถึงยังภายในดาวอาคารของระบบสุริยะ มาถึงยังที่ร่างต้นเขาอยู่ หวนร่างแยกย้อนคืน ร่างต้นพลันเบิกตาทั้งคู่ขั้นทันที หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขายกมือทั้งสองขึ้น จากนั้นค่อยๆ ดำเนินการหลอมเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าปฐพีเบื้องหน้าของตนต่อ

เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปช้าๆ โลกแห่งศิลานั้นค่อยๆ ฟื้นคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แม้ว่าพายุคลั่งในอวกาศและแสงสีงดงามเหล่านั้นยังคงอยู่ ระดับจักรวาลลงมานั้นนับได้ว่าถูกตัดโอกาสในการข้ามอวกาศ แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง กลับกลายเป็นว่าในโลกแห่งศิลานี้ความสงบสุขมั่นคงกลับบังเกิดขึ้น

สำหรับหวังเป่าเล่อ เมื่อทำสิ่งที่ตนเองทำได้ทั้งหมดแล้ว ในระหว่างที่หลอมสร้างเมล็ดพันธ์เต๋าปฐพี ใจของเขาก็ไม่ปรากฏความคิดวุ่นวายและโดยช้าๆ ก็ทำให้เมล็ดพันธ์แห่งเต๋าปฐพีนี้สำเร็จไปแล้วถึงเก้าส่วนโดยประมาณ

และเวลาก็ผ่านไปอีกสามปี เมล็ดพันธ์เต๋าปฐพีของหวังเป่าเล่อก็มาถึงระดับขั้นที่เก้าสิบแปดส่วน ในวันนั้น ร่างกายของเขาพลันสะท้าน

นี่มิใช่เพราะเมล็ดพันธ์ของเต๋าปฐพีสำเร็จ แต่ภายในใจของเขา การสั่นสะท้านนี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัวขึ้นมาอย่างรุนแรงฉับพลัน ราวกับว่ามีมือไร้รูปสองข้างทะลุผ่านร่างกายของเขา จากนั้นก็จับดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ ทำให้ร่างหวังเป่าเล่อพลันเหน็บหนาวในเวลาเดียวกันเขาแหงนหน้าขึ้น

และในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกหัวใจเต้นระส่ำนี้ก็พลันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสภาวะจิตของหวังเป่าเล่อ ราวกับมีกระแสจิตเทพขุมหนึ่ง มาจากเขตสิ้นสุดแห่งความว่างเปล่าอันไม่รู้ว่าไกลเท่าไหร่พุ่งผ่านหมู่มวลดารา พุ่งเข้ามายังจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย พุ่งเข้ามาบนดาวอังคารของระบบสุริยะ แล้วพุ่งเข้าสู่ใจกลาง…ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ ข้าแพ้แล้ว…”

ครั้นเมื่อกระแสจิตนี้เริ่มต้น ก็คือคำพูดนี้ ส่วนเนื้อหาของคำพูดนี้นั้นทำให้ในใจของหวังเป่าเล่อพลันบังเกิดพายุคลั่งชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ความใหญ่ของพายุนี้ เหมือนจะกวาดทิ้งทั้งสวรรค์และปฐพีเก้าชั้นฟ้าไม่ปาน มันระเบิดขึ้นอย่างบ้าคลั่งในใจของหวังเป่าเล่อ รุนแรงจนถึงขีดสุดและในเวลาเดียวกันก็ส่งผลกระทบให้จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

ความเจ็บปวดนี้ครอบงำไปทั้งระบบสุริยะ ครอบคลุมทั้งจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิฝ่ายซ้าย ปกคลุมไปไกลกว่านั้น รวมถึงสรรพชีวิตในสถานที่แห่งนี้ ในพริบตานั้น ถูกความรู้สึกนี้ระบาดเข้า ก่อเกิดความรู้สึกเจ็บปวด

ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า และมองเห็นสีสันอันตระการตาบนท้องฟ้าในหลายสิบปีมานี้ ค่อยๆ หายไป ความองอาจในนั้นค่อยๆ หายไป พลังที่ห้ามมิให้สรรพชีวิตข้ามเขตดารานั้นในยามนี้ก็เริ่มพังทลายลง

กลับมีแสงสีแดงชาด ราวกับพุ่งเข้ามาจากเขตสิ้นสุดของจักรวาลปรากฏขึ้น ในชั่วเวลากระพริบตานั้นราวกับพายุร้ายก็ไม่ปาน ราวกับคลื่นโทสะ พลังอันพลิกภูเขาถล่มทะเลนั้นทำการกวาดล้างทั้งโลกแห่งศิลา ราวกับว่ามีใครใช้ผืนผ้าขาวบางสีแดงผืนหนึ่งปกคลุมทั้งมิติจักรวาลนี้ โดยไม่ยกออก ทำให้ทั้งจักรวาลของโลกแห่งศิลานี้…ในยามนี้ ถูกปนเปื้อนจนกลายเป็นสีแดง

จักรวาลสีแดงดุจดั่งโลหิต เป็นตัวแทนความตายของศิษย์พี่ ทำให้สรรพชีวิตในโลกแห่งศิลาในยามนี้สัมผัสได้อย่างรุนแรง ไม่เพียงแค่ความเจ็บปวดของหวังเป่าเล่อที่แผ่ขยายไปทั่ว ผู้อาวุโสสำนักเจ็ดวิญญาณ ผู้อาวุโสตระกูลเซี่ย ผู้อาวุโสสำนักดาราจันทร์และระดับจักรวาลของสำนักแห่งความมืดล้วนแต่เงียบงัน

แม้พวกเขาไม่ได้รับกระแสจิตของเฉินชิงจื่อ แต่มองดูไปในยามนี้ ทำให้พวกเขาล้วนกระจ่างถึงสาเหตุแล้ว

ท้องฟ้าสีแดงฉาน แถมด้วยเจตนาร้ายไม่รู้สิ้นหมุนคว้างบิดมิติ ค่อยๆ หลอมรวมลักษณ์กลายเป็นตะขาบขนาดยักษ์ มันโห่คำรามพลางพุ่งเข้ามาหาจักรวาลโลกแห่งศิลา เจตนาชั่วร้ายนี้ทำให้เหล่าสรรพชีวิตหลังจากนิ่งเงียบและเจ็บปวดแล้ว ภายในใจบังเกิดความตื่นตะลึงขลาดกลัว

หวาดกลัวจักรวาลสีโลหิตนี้

“เปลี่ยนฟ้าแล้ว…” ในสำนักจันทร์ดารา เขตต้องห้ามในภูเขาด้านหลัง เบื้องหน้าน้ำตกนั้น ผู้อาวุโสดาราจันทร์พลันลืมตาแล้วเอ่ยเสียงเบา

บนดาวชะตา ประมุขกฎสวรรค์ก้มหน้าถอนหายใจยาวคราหนึ่ง

ต้นตระกูลเซี่ยนิ่งเงียบ หลังจากนั้นพลันออกคำสั่งในวินาทีถัดมา ตระกูลเซี่ยปิดตระกูล คนในตระกูลห้ามออกข้างนอก

สำหรับหวังเป่าเล่อ ในยามนี้ความเจ็บปวดภายในใจสาหัสเป็นที่สุด เขามองท้องฟ้าสีโลหิตสั่นสะท้าน จากนั้นยกมือขวาขึ้นราวกับจะคว้าจับอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่อาจห้ามกระแสจิตของศิษย์พี่ใหญ่ได้ มันค่อยๆ จางหายไปจากสมองของเขา

ในกระแสจิตนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ประโยคนั้นประโยคเดียว นี่เห็นได้ชัดว่าก่อนที่ศิษย์พี่จะสิ้นชีพ เขาได้ใช้พลังปราณสุดท้ายส่งคำสั่งเสีย กระแสจิตนี้ เขาบอกหวังเป่าเล่อถึงทุกสิ่ง รวมถึงเรื่องแสงสว่างและความมืด

ในเวลาเดียวกันเขาก็บอกตำแหน่งหนึ่งให้แก่หวังเป่าเล่อ ที่นั่น…คือมรดกที่เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าเพื่อมอบแก่หวังเป่าเล่อ

เห็นได้ชัดว่า เขาไม่อยากให้หวังเป่าเล่อต้องมาแบกรับ ดังนั้นจึงไม่ได้แจ้งแก่อีกฝ่ายล่วงหน้ากลับมุ่งไปแก้ไขด้วยตนเอง ทว่ายามนี้…เขาทำไม่สำเร็จ

หวังเป่าเล่ออารมณ์หดหู่ เขายกมือขวาขึ้นก่อนจะปล่อยลงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้ทันสังเกตุเลยว่ามือขวาของเขายามนี้กำหมัดแน่นสั่นสะท้าน มันบีบเข้าแน่น และไม่ได้สังเกตุเลยว่าเงาร่างของพี่สาวตัวน้อยกำลังออกมาจากนั้นก็อยู่ข้างเขาอย่างเบาๆ นางฟังคำพูดที่เอ่ยออกจากปากหวังเป่าเล่อ น้ำเสียงนั้นเจือความแหบพร่ากระด้าง แถมยังแฝงไปด้วยอารมณ์ปวดร้าวอันอธิบายไม่ได้

“ศิษย์พี่…”

และเกือบจะในทันทีกับที่หวังเป่าเล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงรวดร้าวสุดแสนนั้น ตรงจุดสิ้นสุดของโลกแห่งศิลา ประตูแห่งศิลาค่อยๆ เปิดออกช้าๆ จากข้างนอก ทันใดนั้นเงาร่างสองเงาก็เดินเข้ามา

เงาร่างด้านหน้า เป็นผู้เยาว์ซึ่งสวมชุดยาวสีแดงรายหนึ่ง ผู้เยาว์นี้หน้าตางดงามสง่า แต่ก็แฝงไปด้วยความชั่วร้ายถึงที่สุด ราวกับว่าสีสันบนร่างนั้นคือต้นตอแห่งแสงสีชาดที่ปนเปื้อนไปทั่วทั้งโลกแห่งศิลา ในยามนี้มุมปากเขายกยิ้มเบา ชะเง้อไปมองเงาร่างด้านหลังแล้วเอ่ยออกมาคำหนึ่ง

“มีคนเรียกเจ้าอยู่”

เมื่อมองตามสายตาของผู้เยาว์ไปนั้น จะสามารถมองเห็น…เงาร่างที่ติดตามร่างนี้อยู่ ที่แท้กลับเป็น…เฉินชิงจื่อ!

เพียงแต่ว่า เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ!

…………………………