เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบส่งโทรจิตหาไก่น้อย “นี่ ออกมาดูหน่อยเถอะ แกจำนกฟีนิกซ์ตัวนี้ได้หรือเปล่า…”
ฟึ่บ!
ไก่น้อยปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียน
เมื่อเห็นประติมากรรมนกฟีนิกซ์ มันเอียงคอขณะที่น้ำลายเริ่มไหลย้อยจากมุมปาก ไก่น้อยจ้องนกฟีนิกซ์เขม็ง จากนั้นก็พึมพำ “หิว…”
มันกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ด้วยการงับเพียงครั้งเดียว ไก่น้อยกลืนประติมากรรมนกฟีนิกซ์เข้าไปทั้งตัว
“แก…ทำอะไรน่ะ!” ฝงหยวนชีกับคนอื่นๆถึงกับผงะ
ประติมากรรมนี้มีเจตจำนงของจอมราชันย์ของพวกเขา แต่เจ้าไก่นี่งาบลงไปทั้งตัว
จางเซวียนแสนจะพรั่นพรึง
ฉันเรียกแกให้ออกมาดูว่าพอจะจำอะไรได้บ้างไหม แต่แกก็กลับกลืนมันลงไปทั้งตัว…
แล้วฉันจะอธิบายกับพวกหัวหน้าตระกูลพวกนั้นอย่างไร?
พวกเขาคงหั่นฉันเป็นชิ้นๆแน่!
จางเซวียนค่อยๆหันกลับไปมองด้านหลังอย่างหวาดหวั่น และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ สายตาแผดเผาเชือดเฉือน 3 คู่กำลังจับจ้องมาที่เขา
ประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินคือของสำคัญยิ่งใหญ่ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าประจำชาติเลยทีเดียว การได้เห็นใครคนหนึ่งกลืนมันลงไปต่อหน้าต่อตาก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าพวกเขา
คงไม่มีใครยอมทนกับเรื่องแบบนี้ได้!
“ฝงเซวียน ส่งเจ้าไก่นั่นมาเดี๋ยวนี้!”
“คุณรนหาที่ตายแล้ว…”
หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 ตวาดก้องขณะระเบิดรังสีทรงพลังออกจากร่าง ทุกคนกำลังจะเปิดการโจมตี
แต่ยังไม่ทันจะได้เคลื่อนไหว พื้นดินก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ประติมากรรมนกฟีนิกซ์ไฟคือศูนย์กลางของตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ การหายไปของมันจึงส่งผลกระทบอย่างหนัก พลังจิตวิญญาณภายในตำหนักแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ สิ่งปลูกสร้างที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มทรุดตัว
หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 คนใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตั้งตัวได้
ครืนนนน!
ราวกับเกิดแผ่นดินไหวในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ พื้นที่กว่าครึ่งของมันพังทลาย และด้วยการรั่วไหลของพลังจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ดูเหมือนทั้งตำหนักพร้อมจะร่วงลงจากท้องฟ้าได้ทุกเมื่อ
“ฮะ…” จางเซวียนแทบปล่อยโฮขณะเฝ้ามองความพินาศวอดวายที่เกิดขึ้นตรงหน้า
เขารู้จากศิษย์สายตรงบางคนเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งเรียกเขาว่าเทพเจ้าแห่งความวอดวาย
ในครั้งนั้น เขายังออกจะสับสนว่าทำไมคนอื่นๆถึงตั้งสมญานี้ให้เขา เพราะเขาไม่เคยจงใจทำลายอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นความโชคร้ายและความบังเอิญ
จางเซวียนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาลงเอยด้วยการทำลายบ้านช่องของคนรักของตัวเอง
เหมือนกับลูกเขยที่ไปเยี่ยมบ้านพ่อตาเป็นครั้งแรก แต่ยังไม่ทันที่พ่อตาจะเปิดประตู เจ้าลูกเขยตัวดีก็ขว้างระเบิดใส่จนบ้านพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
สวรรค์โปรด*…ทำไมถึงกลั่นแกล้งผมแบบนี้?*
จางเซวียนอยากจะร่ำร้องออกมาดังๆว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ในเมื่อไก่น้อยเป็นอสูรของเขาและเขาก็เป็นคนเรียกมันออกมาเอง
คงไม่มีทางจะพูดอะไรแบบนั้นออกไปได้!
“ช้าก่อน ผมรู้ว่าพวกคุณทุกคนกำลังร้อนใจ แต่ในฐานะผู้มีอารยธรรม พูดกันดีๆและไม่ใช้ความรุนแรงจะดีกว่า คุณก็เห็นแล้วนี่ ผมไม่ได้คิดเลยว่าเจ้าไก่ตัวนั้นจะทำแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลดีๆสิน่ะ ฟังผมอธิบายก่อนดีไหม?” จางเซวียนพูดขณะสร้างปราการปิดกั้นตัวเขาไว้ เผื่อหัวหน้าตระกูลทั้ง 3 นึกอยากจะเล่นงานเขาอีก
เขาไม่ได้สร้างปราการเพื่อป้องกันการถูกโจมตี แต่เพื่อปกป้องคนเหล่านั้นไม่ให้ถูกไก่น้อยทำร้ายต่างหาก
ถึงไก่น้อยจะดูน่ารักน่าชัง แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นสัตว์อันตรายที่พร้อมจะงาบทุกคนได้โดยไม่ลังเล
ถ้าไก่น้อยกินหัวหน้าทั้ง 3 ตระกูลเข้าไปด้วย เขาคงตกที่นั่งลำบากแน่
“ฮึ่มมม! ให้พวกเราจัดการคุณก่อน แล้วคุณค่อยอธิบายเหตุผลก็ได้”
ทั้งสามตวาดก้องขณะรวบรวมพละกำลังเพื่อฉีกกระชากปราการของจางเซวียน
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ
“เกิดอะไรขึ้น?”
3 ร่างปรากฏตรงหน้า ทุกคนมีนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ
“คารวะบรรพบุรุษเก่าแก่…”
หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 รีบโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อร่างทั้งสาม
พวกเขาคือสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด…ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟ, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกน้ำแข็ง และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกพายุ!
สามบรรพบุรุษเก่าแก่รู้สึกได้ถึงความไม่เสถียรที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ จึงพากันปรากฏตัว
“พยุงตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณให้มั่นคงก่อนเถอะ แล้วค่อยจัดการเรื่องนี้…”
ส่วนหนึ่งของตำหนักพังทลายไปแล้ว และค่ายกลที่เสริมกำลังอยู่ก็กำลังสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติรีบรวบรวมพลังงานของพวกเขาเข้าด้วยกันอย่างไม่ลังเล พลังงานนั้นก่อตัวเป็นลูกทรงกลมขนาดใหญ่ที่โอบล้อมตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไว้ การพังทลายค่อยๆสงบลง และพลังจิตวิญญาณที่กำลังรั่วไหลก็ถูกกักเก็บไว้ภายในลูกทรงกลมนั้น
บริเวณที่พังเสียหายยังไม่ได้รับการซ่อมแซม แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ป้องกันสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นไว้ได้
เมื่อเสร็จเรียบร้อย ทั้ง 3 หันกลับมามองบรรดาหัวหน้าตระกูล ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟสั่งการ “อธิบายมา”
“บรรพบุรุษเก่าแก่ ฝงเซวียนคนนี้น่ะคืออัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลของเรา…” ฝงหยวนชีรีบอธิบายที่มาที่ไป
เขาพูดถึงการที่จางเซวียนยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดได้อย่างรวดเร็วทั้งที่อายุยังน้อย การที่จางเซวียนทำให้ดวงดาวทั้งหมดในแผนที่กลุ่มดาวเรืองแสงได้ รวมถึงการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของไก่น้อยที่กลืนกินประติมากรรมของจอมราชันย์เข้าไปทั้งตัว
“คุณทำให้ดวงดาวทั้งหมดบนแผนที่กลุ่มดาวเรืองแสงได้?”
สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมองจางเซวียนอย่างไม่อยากเชื่อ
แม้แต่พวกเขาก็ยังทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย!
“ผมบังเอิญโชคดีน่ะ” จางเซวียนประสานมือ “ไก่น้อยเป็นอสูรของผม และมันไม่ได้ตั้งใจกลืนกินประติมากรรมของจอมราชันย์เข้าไปหรอก ผมขอให้คุณอภัยให้มันด้วย…”
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟคำรามขณะจับจ้องไก่น้อยด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ “ทำแบบนี้ถือเป็นการลบหลู่ศักดิ์ศรีของประติมากรรมของฝ่าบาท ทั้งยังไม่ให้ความเคารพต่อน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ต้องรับโทษถึงตายเท่านั้น!”
ราชันย์เทพเจ้าขนนกน้ำแข็งมองจางเซวียนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงคุณจะไม่ได้จงใจให้เกิดเหตุแบบนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไก่นั่นเป็นอสูรของคุณ คุณต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดของมัน…”
“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย จัดการเถอะ” ราชันย์เทพเจ้าขนนกพายุพูด
สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยกมือขึ้น โลกทั้งใบสั่นสะเทือนอย่างหนัก ราวกับวันสิ้นโลกกำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาพวกเขา
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ด้านหลัง ทำให้โลกดูจะมืดมิดลงไปอีก
“พวกคุณทั้งสามจะฆ่าผมหรือ? กล้าดีอย่างไร!”
ร่างมหึมาของนกฟีนิกซ์สีดำปรากฏขึ้นด้านหลังไก่น้อยสีเหลืองตัวเล็กจ้อย มันกางปีกที่ใหญ่โตจนแทบจะมีขนาดพอๆกับตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ไม่มีผู้พบเห็นคนไหนที่จะไม่รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของมัน
“จอมราชันย์…”
3 ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกลืนน้ำลายด้วยความอัศจรรย์ใจ พวกเขารีบทรุดตัวลงคุกเข่า
นกฟีนิกซ์สีดำโบยบินออกจากตัวไก่น้อยและผงาดเงื้อมอยู่เหนือศีรษะของทุกคน แม้ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็ดูจะเล็กไปถนัดตา
“นั่นคือ…จอมราชันย์อมตะ?” จางเซวียนตัวสั่นขณะมองไก่น้อยด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก
เขาเคยคิดว่าเรื่องนี้อาจเป็นไปได้ แต่ก็ตกตะลึงอยู่ดีเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า
ไม่แปลกใจแล้วที่เจ้าไก่น้อยพูดซ้ำซากมาตลอดว่าตัวมันคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน มันพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นน้ำเต้า ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเจ้านี่แค่คุยโม้ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันคือ 1 ใน 9 จอมราชันย์จริงๆ!
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยเมื่อเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย แถมบรรยากาศของการเสื่อมถอยก็ทำอะไรมันไม่ได้ ลงท้าย เมืองนั้นก็คือเมืองของไก่น้อยนี่เอง!
เขามีจอมราชันย์เป็นอสูรของตัวเอง…
ไม่ใช่สิ แบบนี้ไม่ถูก…
ในตอนนั้น จางเซวียนพลันเกิดความคิดใหม่ที่ทำให้ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ
ไก่น้อยคือเจตจำนงใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากความตายของจอมราชันย์อมตะซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้มันยอมจำนนให้เราอย่างง่ายดายส่วนนกฟีนิกซ์สีดำที่อยู่กลางอากาศนั้นมาจากจอมราชันย์อมตะคนก่อนซึ่งหากจอมราชันย์ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับไก่น้อยเราคงตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง*…*
จางเซวียนยังไม่เคยค้นหาความลับที่อยู่เบื้องหลังการฟื้นคืนชีพของจอมราชันย์อมตะ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือความทรงจำของไก่น้อยถูกปิดกั้นไว้ ทำให้มันไม่รู้อะไรเลย
จากมุมมองของนกฟีนิกซ์สีดำ คงดูเหมือนเขาหาประโยชน์จากจุดอ่อนของมันและบังคับอีกฝ่ายให้เป็นอสูรของตัวเอง ซึ่งหากนกฟีนิกซ์สีดำคิดแบบนี้…มันจะโกรธเกรี้ยวหรือเปล่า?
และราวกับความกังวลในเรื่องเลวร้ายที่สุดของจางเซวียนกำลังจะเป็นจริง นกฟีนิกซ์สีดำตัวใหญ่ที่อยู่กลางอากาศตวัดสายตาคมกริบมาที่เขา
ถึงมันจะไม่ได้พุ่งเข้าโจมตี แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ราวกับท้องฟ้าโถมน้ำหนักเข้าใส่ร่างของเขาจนหมด
ถึงจางเซวียนจะเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณมาได้หมาดๆ แต่ก็จนปัญญาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันระดับนี้ ร่างของเขาถูกบีบอัดเข้าหากันอย่างช้าๆ มันสั่นเทาอย่างอ่อนแรงด้วยอำนาจของแรงกดดัน
ไม่นะ*…*
จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อต้านทานแรงกดดันนั้น ร่างงองุ้มของเขาค่อยๆตั้งตรงขึ้นทีละน้อย
“สมญาจอมราชันย์อมตะของผมไม่ได้หมายความว่าผมอยู่เหนือความตายอย่างแท้จริง จิตวิญญาณของผมยังคงเสื่อมสลาย ร่างกายอาจสูญสิ้นสภาพเดิมได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็สามารถฟื้นคืนจากเถ้าถ่านและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง” นกฟีนิกซ์สีดำพูดด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความรู้สึก
“เพื่อปกป้องตัวผมในระหว่างกระบวนการฟื้นคืนชีพ ร่างกายของผมจึงปิดกั้นความทรงจำของมันไว้จนกว่าวรยุทธจะกลับสู่ระดับเดิม แต่คุณใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของผม เปลี่ยนผมให้กลายเป็นอสูรที่คุณสามารถบังคับได้…มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โอหังและโง่เง่าเสียจริงๆ…ในโลกนี้น่ะ ไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นที่คู่ควรกับการเป็นเจ้านายของจอมราชันย์อมตะ!”