ตอนที่ 2289 คารวะบรรพบุรุษเก่าแก่

อัจฉริยะสมองเพชร

เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบส่งโทรจิตหาไก่น้อย “นี่ ออกมาดูหน่อยเถอะ แกจำนกฟีนิกซ์ตัวนี้ได้หรือเปล่า…”

ฟึ่บ!

ไก่น้อยปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียน

เมื่อเห็นประติมากรรมนกฟีนิกซ์ มันเอียงคอขณะที่น้ำลายเริ่มไหลย้อยจากมุมปาก ไก่น้อยจ้องนกฟีนิกซ์เขม็ง จากนั้นก็พึมพำ “หิว…”

มันกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ด้วยการงับเพียงครั้งเดียว ไก่น้อยกลืนประติมากรรมนกฟีนิกซ์เข้าไปทั้งตัว

“แก…ทำอะไรน่ะ!” ฝงหยวนชีกับคนอื่นๆถึงกับผงะ

ประติมากรรมนี้มีเจตจำนงของจอมราชันย์ของพวกเขา แต่เจ้าไก่นี่งาบลงไปทั้งตัว

จางเซวียนแสนจะพรั่นพรึง

ฉันเรียกแกให้ออกมาดูว่าพอจะจำอะไรได้บ้างไหม แต่แกก็กลับกลืนมันลงไปทั้งตัว…

แล้วฉันจะอธิบายกับพวกหัวหน้าตระกูลพวกนั้นอย่างไร?

พวกเขาคงหั่นฉันเป็นชิ้นๆแน่!

จางเซวียนค่อยๆหันกลับไปมองด้านหลังอย่างหวาดหวั่น และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ สายตาแผดเผาเชือดเฉือน 3 คู่กำลังจับจ้องมาที่เขา

ประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินคือของสำคัญยิ่งใหญ่ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าประจำชาติเลยทีเดียว การได้เห็นใครคนหนึ่งกลืนมันลงไปต่อหน้าต่อตาก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าพวกเขา

คงไม่มีใครยอมทนกับเรื่องแบบนี้ได้!

“ฝงเซวียน ส่งเจ้าไก่นั่นมาเดี๋ยวนี้!”

“คุณรนหาที่ตายแล้ว…”

หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 ตวาดก้องขณะระเบิดรังสีทรงพลังออกจากร่าง ทุกคนกำลังจะเปิดการโจมตี

แต่ยังไม่ทันจะได้เคลื่อนไหว พื้นดินก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ประติมากรรมนกฟีนิกซ์ไฟคือศูนย์กลางของตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ การหายไปของมันจึงส่งผลกระทบอย่างหนัก พลังจิตวิญญาณภายในตำหนักแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ สิ่งปลูกสร้างที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มทรุดตัว

หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 คนใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตั้งตัวได้

ครืนนนน!

ราวกับเกิดแผ่นดินไหวในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ พื้นที่กว่าครึ่งของมันพังทลาย และด้วยการรั่วไหลของพลังจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ดูเหมือนทั้งตำหนักพร้อมจะร่วงลงจากท้องฟ้าได้ทุกเมื่อ

“ฮะ…” จางเซวียนแทบปล่อยโฮขณะเฝ้ามองความพินาศวอดวายที่เกิดขึ้นตรงหน้า

เขารู้จากศิษย์สายตรงบางคนเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งเรียกเขาว่าเทพเจ้าแห่งความวอดวาย

ในครั้งนั้น เขายังออกจะสับสนว่าทำไมคนอื่นๆถึงตั้งสมญานี้ให้เขา เพราะเขาไม่เคยจงใจทำลายอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นความโชคร้ายและความบังเอิญ

จางเซวียนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาลงเอยด้วยการทำลายบ้านช่องของคนรักของตัวเอง

เหมือนกับลูกเขยที่ไปเยี่ยมบ้านพ่อตาเป็นครั้งแรก แต่ยังไม่ทันที่พ่อตาจะเปิดประตู เจ้าลูกเขยตัวดีก็ขว้างระเบิดใส่จนบ้านพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

สวรรค์โปรด*…ทำไมถึงกลั่นแกล้งผมแบบนี้?*

จางเซวียนอยากจะร่ำร้องออกมาดังๆว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ในเมื่อไก่น้อยเป็นอสูรของเขาและเขาก็เป็นคนเรียกมันออกมาเอง

คงไม่มีทางจะพูดอะไรแบบนั้นออกไปได้!

“ช้าก่อน ผมรู้ว่าพวกคุณทุกคนกำลังร้อนใจ แต่ในฐานะผู้มีอารยธรรม พูดกันดีๆและไม่ใช้ความรุนแรงจะดีกว่า คุณก็เห็นแล้วนี่ ผมไม่ได้คิดเลยว่าเจ้าไก่ตัวนั้นจะทำแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลดีๆสิน่ะ ฟังผมอธิบายก่อนดีไหม?” จางเซวียนพูดขณะสร้างปราการปิดกั้นตัวเขาไว้ เผื่อหัวหน้าตระกูลทั้ง 3 นึกอยากจะเล่นงานเขาอีก

เขาไม่ได้สร้างปราการเพื่อป้องกันการถูกโจมตี แต่เพื่อปกป้องคนเหล่านั้นไม่ให้ถูกไก่น้อยทำร้ายต่างหาก

ถึงไก่น้อยจะดูน่ารักน่าชัง แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นสัตว์อันตรายที่พร้อมจะงาบทุกคนได้โดยไม่ลังเล

ถ้าไก่น้อยกินหัวหน้าทั้ง 3 ตระกูลเข้าไปด้วย เขาคงตกที่นั่งลำบากแน่

“ฮึ่มมม! ให้พวกเราจัดการคุณก่อน แล้วคุณค่อยอธิบายเหตุผลก็ได้”

ทั้งสามตวาดก้องขณะรวบรวมพละกำลังเพื่อฉีกกระชากปราการของจางเซวียน

ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ

“เกิดอะไรขึ้น?”

3 ร่างปรากฏตรงหน้า ทุกคนมีนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ

“คารวะบรรพบุรุษเก่าแก่…”

หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 รีบโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อร่างทั้งสาม

พวกเขาคือสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด…ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟ, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกน้ำแข็ง และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกพายุ!

สามบรรพบุรุษเก่าแก่รู้สึกได้ถึงความไม่เสถียรที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ จึงพากันปรากฏตัว

“พยุงตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณให้มั่นคงก่อนเถอะ แล้วค่อยจัดการเรื่องนี้…”

ส่วนหนึ่งของตำหนักพังทลายไปแล้ว และค่ายกลที่เสริมกำลังอยู่ก็กำลังสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว

สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติรีบรวบรวมพลังงานของพวกเขาเข้าด้วยกันอย่างไม่ลังเล พลังงานนั้นก่อตัวเป็นลูกทรงกลมขนาดใหญ่ที่โอบล้อมตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไว้ การพังทลายค่อยๆสงบลง และพลังจิตวิญญาณที่กำลังรั่วไหลก็ถูกกักเก็บไว้ภายในลูกทรงกลมนั้น

บริเวณที่พังเสียหายยังไม่ได้รับการซ่อมแซม แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ป้องกันสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นไว้ได้

เมื่อเสร็จเรียบร้อย ทั้ง 3 หันกลับมามองบรรดาหัวหน้าตระกูล ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟสั่งการ “อธิบายมา”

“บรรพบุรุษเก่าแก่ ฝงเซวียนคนนี้น่ะคืออัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลของเรา…” ฝงหยวนชีรีบอธิบายที่มาที่ไป

เขาพูดถึงการที่จางเซวียนยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดได้อย่างรวดเร็วทั้งที่อายุยังน้อย การที่จางเซวียนทำให้ดวงดาวทั้งหมดในแผนที่กลุ่มดาวเรืองแสงได้ รวมถึงการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของไก่น้อยที่กลืนกินประติมากรรมของจอมราชันย์เข้าไปทั้งตัว

“คุณทำให้ดวงดาวทั้งหมดบนแผนที่กลุ่มดาวเรืองแสงได้?”

สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมองจางเซวียนอย่างไม่อยากเชื่อ

แม้แต่พวกเขาก็ยังทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย!

“ผมบังเอิญโชคดีน่ะ” จางเซวียนประสานมือ “ไก่น้อยเป็นอสูรของผม และมันไม่ได้ตั้งใจกลืนกินประติมากรรมของจอมราชันย์เข้าไปหรอก ผมขอให้คุณอภัยให้มันด้วย…”

ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟคำรามขณะจับจ้องไก่น้อยด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ “ทำแบบนี้ถือเป็นการลบหลู่ศักดิ์ศรีของประติมากรรมของฝ่าบาท ทั้งยังไม่ให้ความเคารพต่อน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ต้องรับโทษถึงตายเท่านั้น!”

ราชันย์เทพเจ้าขนนกน้ำแข็งมองจางเซวียนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงคุณจะไม่ได้จงใจให้เกิดเหตุแบบนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไก่นั่นเป็นอสูรของคุณ คุณต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดของมัน…”

“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย จัดการเถอะ” ราชันย์เทพเจ้าขนนกพายุพูด

สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยกมือขึ้น โลกทั้งใบสั่นสะเทือนอย่างหนัก ราวกับวันสิ้นโลกกำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาพวกเขา

ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ด้านหลัง ทำให้โลกดูจะมืดมิดลงไปอีก

“พวกคุณทั้งสามจะฆ่าผมหรือ? กล้าดีอย่างไร!”

ร่างมหึมาของนกฟีนิกซ์สีดำปรากฏขึ้นด้านหลังไก่น้อยสีเหลืองตัวเล็กจ้อย มันกางปีกที่ใหญ่โตจนแทบจะมีขนาดพอๆกับตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ไม่มีผู้พบเห็นคนไหนที่จะไม่รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของมัน

“จอมราชันย์…”

3 ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกลืนน้ำลายด้วยความอัศจรรย์ใจ พวกเขารีบทรุดตัวลงคุกเข่า

นกฟีนิกซ์สีดำโบยบินออกจากตัวไก่น้อยและผงาดเงื้อมอยู่เหนือศีรษะของทุกคน แม้ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็ดูจะเล็กไปถนัดตา

“นั่นคือ…จอมราชันย์อมตะ?” จางเซวียนตัวสั่นขณะมองไก่น้อยด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก

เขาเคยคิดว่าเรื่องนี้อาจเป็นไปได้ แต่ก็ตกตะลึงอยู่ดีเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า

ไม่แปลกใจแล้วที่เจ้าไก่น้อยพูดซ้ำซากมาตลอดว่าตัวมันคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน มันพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นน้ำเต้า ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเจ้านี่แค่คุยโม้ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันคือ 1 ใน 9 จอมราชันย์จริงๆ!

จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยเมื่อเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย แถมบรรยากาศของการเสื่อมถอยก็ทำอะไรมันไม่ได้ ลงท้าย เมืองนั้นก็คือเมืองของไก่น้อยนี่เอง!

เขามีจอมราชันย์เป็นอสูรของตัวเอง…

ไม่ใช่สิ แบบนี้ไม่ถูก…

ในตอนนั้น จางเซวียนพลันเกิดความคิดใหม่ที่ทำให้ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ

ไก่น้อยคือเจตจำนงใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากความตายของจอมราชันย์อมตะซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้มันยอมจำนนให้เราอย่างง่ายดายส่วนนกฟีนิกซ์สีดำที่อยู่กลางอากาศนั้นมาจากจอมราชันย์อมตะคนก่อนซึ่งหากจอมราชันย์ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับไก่น้อยเราคงตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง*…*

จางเซวียนยังไม่เคยค้นหาความลับที่อยู่เบื้องหลังการฟื้นคืนชีพของจอมราชันย์อมตะ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือความทรงจำของไก่น้อยถูกปิดกั้นไว้ ทำให้มันไม่รู้อะไรเลย

จากมุมมองของนกฟีนิกซ์สีดำ คงดูเหมือนเขาหาประโยชน์จากจุดอ่อนของมันและบังคับอีกฝ่ายให้เป็นอสูรของตัวเอง ซึ่งหากนกฟีนิกซ์สีดำคิดแบบนี้…มันจะโกรธเกรี้ยวหรือเปล่า?

และราวกับความกังวลในเรื่องเลวร้ายที่สุดของจางเซวียนกำลังจะเป็นจริง นกฟีนิกซ์สีดำตัวใหญ่ที่อยู่กลางอากาศตวัดสายตาคมกริบมาที่เขา

ถึงมันจะไม่ได้พุ่งเข้าโจมตี แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ราวกับท้องฟ้าโถมน้ำหนักเข้าใส่ร่างของเขาจนหมด

ถึงจางเซวียนจะเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณมาได้หมาดๆ แต่ก็จนปัญญาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันระดับนี้ ร่างของเขาถูกบีบอัดเข้าหากันอย่างช้าๆ มันสั่นเทาอย่างอ่อนแรงด้วยอำนาจของแรงกดดัน

ไม่นะ*…*

จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อต้านทานแรงกดดันนั้น ร่างงองุ้มของเขาค่อยๆตั้งตรงขึ้นทีละน้อย

“สมญาจอมราชันย์อมตะของผมไม่ได้หมายความว่าผมอยู่เหนือความตายอย่างแท้จริง จิตวิญญาณของผมยังคงเสื่อมสลาย ร่างกายอาจสูญสิ้นสภาพเดิมได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็สามารถฟื้นคืนจากเถ้าถ่านและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง” นกฟีนิกซ์สีดำพูดด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความรู้สึก

“เพื่อปกป้องตัวผมในระหว่างกระบวนการฟื้นคืนชีพ ร่างกายของผมจึงปิดกั้นความทรงจำของมันไว้จนกว่าวรยุทธจะกลับสู่ระดับเดิม แต่คุณใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของผม เปลี่ยนผมให้กลายเป็นอสูรที่คุณสามารถบังคับได้…มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โอหังและโง่เง่าเสียจริงๆ…ในโลกนี้น่ะ ไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นที่คู่ควรกับการเป็นเจ้านายของจอมราชันย์อมตะ!”