บทที่ 1752.2 เพราะหน้าตาไม่ดี (2)

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ทัพใหญ่ของจวนหัวหน้าภาคที่รักษาการณ์ที่เขาภูตพเนจร ตอนนี้ส่วนใหญ่เริ่มถอนกำลังแล้ว มุ่งตรงไปเก็บกวาดบริเวณทางเข้าน้ำพุวังเวง บอกว่าจะกวาดล้าง แต่ที่จริงแล้วไม่ต่างอะไรกับไปปล้น ถ้าพบคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ บริเวณน้ำพุวังเวงเมื่อไร ก็จะจับตัวคนพร้อมแย่งขอทันที ยึดสมบัติบนตัวเป็นของรัฐให้หมด ส่วนคนน่ะเหรอ พอจับได้แล้วก็จับหลอมเอายาเจี๋ยตัน ใครขัดขืนก็ฆ่าทิ้ง!

เมื่อใช้วิธีการที่เด็ดขาดรวดเร็วแบบนี้ ก็ทำให้พวกที่ดักกินของคนอื่นนอกน้ำพุวังเวงจนเคยชินตายบ้างหนีบ้าง ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จัดระเบียบบริเวณรอบนอกน้ำพุวังเวงเรียบร้อยแล้ว กำลังพลกลุ่มใหญ่เริ่มแบ่งพื้นที่ประจำการ ควบคุมทางเข้าน้ำพุวังเวงแบบเบ็ดเสร็จ จัดตั้งสถานที่และเตรียมคนไว้ใช้เก็บภาษีโดยเฉพาะ

เมื่อจัดการทางนั้นเสร็จแล้ว ทางตลาดผีก็ประกาศอีกครั้ง ว่าบุคคลที่มีเจตนาไม่ซื่อบริเวณทางเข้าน้ำพุวังเวงถูกจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลกวาดล้างหมดแล้ว ถ้าคนที่ไปล่าสัตว์ในน้ำพุวังเวงจ่ายภาษี ก็สามารถเข้าออกน้ำพุวังเวงได้อย่างสงบใจ

กฎที่มีมาตั้งกี่ปี แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน แค่คิดก็รู้ถึงปฏิกิริยาของผู้คนแล้ว ทว่าการจัดระเบียบภายในสี่ทัพยังดำเนินต่อเนื่อง สี่ทัพก็แค่จับตาดูความเคลื่อนไหวของแดนรัตติกาลไว้เท่านั้น ยังไม่อยากให้เกิดเรื่องปัญหาเพิ่มในเวลานี้  กอปรกับทางน้ำพุวังเวงไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของตัวเอง ในการประชุมราชสำนักจึงไม่มีความเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ตราบใดที่ไม่มีความเคลื่อนไหวในราชสำนัก เสียงสะท้อนจากแดนฝึกตนก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

นี่ก็เป็นสาเหตุที่เหมียวอี้รีบควบคุมทางเข้าน้ำพุวังเวงเอาไว้ ถ้าถ่วงเวลาไว้จัดการตอนหลังก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ตำหนักนารีสวรรค์กำลังจับตาดูเรื่องนี้ เมื่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เห็นว่าไม่มีอุปสรรคอะไร ก็เรียกได้ว่าโล่งใจไปหนึ่งเปราะ พบว่าตัวเองคิดมากไปแล้ว ยังเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่มองเห็นอะไรชัดเจน ในอนาคตจะต้องช่วยตนได้มากแน่นอน

“นายท่าน ด้านนอกมีคนมาขอพบ บอกว่าเป็นสหายของท่าน แซ่ก่วง”

เหมียวอี้กำลังคุยกับสวีถังหรานพลางเดินไปที่ตำหนักประชุม ระหว่างทางมีทหารเข้ามารายงาน พร้อมยื่นแผ่นหยกออกมาให้

“ก่วง…” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ได้มาจริงๆ หรอกใช่มั้ย?  เมื่อรับแผ่นหยกมาอ่าน ก็เห็นตราอิทธิฤทธิ์ข้างใน เขารีบหยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาเทียบ เป็นอย่างที่คาดไว้ สอดคล้องกับตราอิทธิฤทธิ์ของก่วงเม่ยเอ๋อร์

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว บอกสวีถังหรานว่า “เจ้าเข้าไปก่อน ให้พวกเขารอสักประเดี๋ยว”

“ขอรับ!” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะ จากนั้นรีบเดินออกไป

เหมียวอี้ลังเลนิดหน่อย หากเป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์มาจริงๆ ด้วยฐานะอย่างนั้นของอีกฝ่าย เขาก็ไม่สะดวกจะวางมาด คิดไปคิดมาก็ยังไปต้อนรับด้วยตัวเอง

จวนแม่ทัพภาคตลาดผี มีคนหลายคนถูกกันไว้ข้างนอก ชายหนุ่มร่างผอมที่นำหน้ามากำลังเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย พอเห็นเหมียวอี้ปรากฎตัวในลานบ้าน ก็ตะโกนเรียกทันที “พี่ใหญ่หนิว”

เป็นเสียงตะโกนของผู้หญิง พอเหมียวอี้ได้ยินก็แอบยิ้มเจื่อนทันที เป็นผู้หญิงคนนี้จริงๆ ด้วย เขาจึงโบกมือให้ปล่อยคนเข้ามา

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่แต่งตัวเป็นชายกำชับกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังไม่กี่คำ พวกเขาซึ่งเป็นองครักษ์ก็วางใจแล้วเช่นกัน หันตัวเดินออกไปทันที เหมือนไม่กังวลความปลอดภัยของก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเลยสักนิด

ก่วงเม่ยเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาข้างหน้า มายืนตรงหน้าเหมียวอี้ ดึงหน้ากากบนใบหน้าออก เผยใบหน้างามเย้ายวน ยืนมองเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม

เหมียวอี้มองนางศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง สายตาไปหยุดอยู่บนหน้าอกแบนราบของนาง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์หน้าแดงเรื่อทันที เพราะไม่อยากให้คนอื่นมองออกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง จึงรัดหน้าอกเอาไว้

“คารวะท่านหญิง” เหมียวอี้ทักทาย

ก่วงเม่ยเอ๋อร์กุมหมัดคารวะด้วยท่าทางจริงจังทันที “คารวะท่านหัวหน้าภาค” หลังจากวางมือลง นางก็ถามกลับว่า “เป็นสหายกันจำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้เลยเหรอ?”

“เจ้ามาได้ยังไง?” เหมียวอี้หัวเราะแห้งแล้วเอ่ยถาม

“ทำไมล่ะ? ไม่ต้อนรับเหรอ?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถามกลับ

“เหอะๆ เชิญ!” เหมียวอี้หันตัวยื่นมือเชิญ

“ได้ยินว่าเดิมทีที่นี่คือวัดพระกษิติครรภ์ แต่ตอนหลังพระกลุ่มใหญ่โดนท่านวางกับดักแล้ว เลยเปลี่ยนเป็นจวนแม่ทัพภาคเหรอ?” พอเข้ามาข้างใน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เหลียวซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าสงสัย

เหมียวอี้ยิ้มโดยไม่ตอบ ระหว่างทางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว เรียกให้มาที่ห้องรับแขกสักรอบ

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว อวิ๋นจือชิวก็นำเชียนเอ๋อร์เดินเข้ามา นางเองก็ทำความเคารพเช่นกัน “คำนับท่านหญิง”

“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเป็นสหายของพี่ใหญ่หนิว เรียกข้าว่าเม่ยเอ๋อร์เถอะ” เห็นได้ชัดว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์ค่อนข้างอึดอัด แต่สายตากลับจ้องประเมินอวิ๋นจือชิวไม่หยุด อยากจะรู้มากว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงดึงดูดหนิวโหย่วเต๋อมากขนาดนี้

“เหอะๆ เม่ยเอ๋อร์ ข้ายังมีธุระต้องจัดการอีกนิดหน่อย อยู่เป็นเพื่อนนางไปก่อน” หลังจากส่งก่วงเม่ยเอ๋อร์ให้อวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะแล้วเดินออกไป

“งั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว เรียกเจ้าว่าน้องสาวแล้วกัน”

อวิ๋นจือชิวที่สังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่งเป็นฝ่ายจูงมือก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปนั่งด้วยกัน

อวิ๋นจือชิวสังเกตคนจากสีหน้าและคำพูด ชำนาญเรื่องการผูกมิตรมาก ไม่นานก็คลายความอึดอัดให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้ ทั้งสองเริ่มพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนิทสนมแล้ว

ในตำหนักประชุม สวีถังหรานกำลังคุยกับคนสองคน คนหนึ่งชื่อหยวนกง คนหนึ่งชื่อโม่ซิ่นสง ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือระดับบงกชกลาย

พอเหมียวอี้เข้ามา ทั้งสามก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “นายท่าน!”

เหมียวอี้เดินมานั่งลง สายตาหยุดที่ใบหน้าหยวนกงครู่เดียว พอเห็นใบหน้านี้ก็พอจะเชื่อแล้วว่าเป็นเชื้อสายของตระกูลเซี่ยโห้ว เพราะหน้าตาไม่ค่อยดีเท่าไร ถึงแม้โม่ซิ่นสงที่อยู่ข้างกายจะหน้าตาไม่ดีเหมือนกันก็ตาม

พอย้ายสายตาออกจากใบหน้าโม่ซิ่นสงแล้ว ถึงได้เอ่ยถามว่า “ทั้งสอง เมื่อครู่นี้สวีถังหรานคงบอกแล้วว่าเรียกพวกเจ้าสองคนมาทำไม”

ทั้งสองพยักหน้า

เหมียวอี้พูดต่อ “กำลังพลหนึ่งแสนของพวกเรา ถ้าอาศัยค่าจ้างตายตัวก็อยู่ไม่ไหว สาเหตุเพราะอะไรคงไม่ต้องให้ข้าพูดมาก ถึงแม้ตอนนี้จะเปิดช่องทางทำเงินที่น้ำพุวังเวงแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันความเสี่ยง ตอนนี้สี่ทัพกำลังจัดระเบียบภายใน ยังไม่มาสนใจพวกเรา แต่ต่อไปสถานการณ์จะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ ควรจะขยายช่องทางทำเงิน รองหัวหน้าภาคสวีหาช่องทางข้างนอกไว้บ้างแล้วนิดหน่อย พวกเจ้าสองคนต้องให้ความร่วมมือเต็มที่ พยายามรักษาความปลอดภัยให้เขา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ข้าจะมาเอาเรื่องพวกเจ้าสองคน! แน่นอนว่าข้าไม่ให้พวกเราไปมือเปล่า จะดึงตัวทหารเก่งๆ ให้พวกเจ้าหนึ่งพันคน แล้วก็ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกหนึ่งพันคัน”

สวีถังหรานอมยิ้ม ที่จริงก็แอบรู้สึกจนใจอยู่หลายส่วน เพราะตั้งแต่วันนี้ไป เขาก็จะต้องออกไปวิ่งเต้นข้างนอกบ่อยๆ แล้ว เหมียวอี้มอบหน้าที่หาช่องทางทำเงินข้างนอกให้เขารับผิดชอบ แค่ให้งานนี้ก็ว่าหนักแล้ว ยังจะเตรียมเจ้าพวกน่ากลัวมาให้เขาอีก แต่เขาก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ สิ่งนี้นับเป็นความเชื่อใจที่นายท่านมีต่อเขา อีกทั้งยังผลักดันให้เขาขึ้นตำแหน่งรองหัวหน้าภาคด้วย

หยวนกงเหมือนจะกังวลอยู่บ้าง “นายท่าน จะดีจะร้ายพวกเราก็เป็นกำลังพลตำหนักสวรรค์ แอบออกไปหาเงินข้างแบบนี้ ทั้งยังเป็นการค้าขายที่เปิดเผยไม่ได้ ทำแบบนี้จะเหมาะสมจริงเหรอขอรับ?”

เหมียวอี้บอกว่า “มีอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม? มีขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์มีใครบ้างที่ไม่แอบทำการค้า เจ้าดูที่ตลาดผีสิ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเป็นของตระกูลเซี่ยโห้ว ขนาดตระกูลเซี่ยโห้วยังทำเรื่องลับลวงพรางโดยเฉพาะเลย ทำไมพวกเราจะทำบ้างไม่ได้”

“นายท่าน ข้ามีอีกเรื่องที่สงสัย ทำไมไม่ให้คนอื่นไป ทำไมต้องเป็นพวกเราสองคน?” โม่ซิ่นสงขมวดคิ้ว

หยวนกงเหลือบตาขึ้น สังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้เงียบๆ

เหมียวอี้ชี้ไปที่พวกเขาสองคน “เพราะพวกเจ้าสองคนถูกลดตำแหน่งมานานพอแล้ว คนที่รู้จักพวกเจ้ามีไม่เยอะ ประการต่อมา พวกเจ้าสองคนมีวรยุทธ์ค่อนข้างสูงในบรรดานักพรตระดับบงกชกลาย ข้าไม่สะดวกจะส่งยอดฝีมือไปเยอะ เลยทำได้แค่ส่งพวกเจ้าสองคนไป แล้วสุดท้าย พวกเจ้าสองคนหน้าตาไม่ค่อยดี ไม่สะดุดตา ไม่มีใครสนใจง่ายๆ”

เหตุผลนี้ช่าง…สวีถังหรานใบหน้ากระตุกเล็กน้อย ช่างคิดออกมาได้เนอะ

หยวนกงกับโม่ซิ่นสงสบตากันอย่างพูดไม่ออก แค่เหตุผลสองข้อแรกก็พอแล้ว เหตุผลข้อสุดท้ายที่บอกว่าหน้าตาไม่ดี มันช่าง… นายท่านช่างเป็นคนพูดตรง ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด!

ชำเลืองปฏิกิริยาของทั้งสองครู่หนึ่ง เหมียวอี้ทำหน้าเข้มทันที ถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “ทำไม? หรือว่าพวกเจ้าไม่อยากไป?”

ทั้งสองสบตากัน จากนั้นกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ยินดีฟังคำสั่งนายท่าน”

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ! ตกลงตามนี้ พวกเจ้าจำไว้นะ เป้าหมายของพวกเจ้าก็คือหาเงิน พยายามคิดหาวิธีบุกเบิกช่องทางทำเงินให้จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ยิ่งหาเงินได้มาก พวกเจ้าก็ยิ่งได้ผลงานใหญ่ ยิ่งทุกคนได้มีส่วนแบ่งกับเงินที่พวกเจ้าหามาอย่างยากลำบาก เมื่อถึงเวลาเลื่อนตำแหน่ง ข้าก็เอนเอียงไปทางพวกเจ้าได้สะดวก ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครว่าอะไรได้แล้ว ในทางกลับกัน มีรางวัลก็ย่อมมีทำโทษ แน่นอนว่าข้ามั่นใจในความสามารถของรองหัวหน้าภาคสวี ดังนั้นพวกเจ้าสองคนต้องให้ความร่วมมือเต็มที่!”

“ขอรับ!” ทั้งสองเอ่ยรับ

“ถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อข้าได้ทุกเมื่อ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้ารับผิดชอบเอ” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป

“ไปกันเถอะ เก็บขอเตรียมตัวเดินทาง” สวีถังหรานพูดทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปอย่างร่าเริง

สองคนในห้องมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วสุดท้ายก็ส่ายหน้าถอนหายใจพร้อมกัน

จวนท่านปู่สวรรค์อสวนต้องห้ามอเซี่ยโห้วท่ายังคงชอบนอนงีบใต้ต้นไม้ใหญ่ที่สุด

เว่ยซูที่เดินสาวเท้าเข้ามารีบผ่อนฝีเท้าให้เบาลง จากนั้นก้มตัวพูดว่า “นายท่าน ทางคุณชายหกส่งข่าวมาแล้วขอรับ ทางนั้นพบปัญหานิดหน่อย”

เซี่ยโห้วท่าพลันลืมตา แล้วเอียงหน้ามอง “ปัญหาอะไร?”

“หนิวโหย่วเต๋อส่งคุณชายหกให้ติดตามสวีถังหรานออกไปทำงานผิดกฎหมายข้างนอกเพื่อบุกเบิกช่องทางรายได้ให้จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล…” เว่ยซูเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

เซี่ยโห้วท่าลุกพรวด แล้วหรี่ตาถาม “คุณชายหกถูกเปิดโปงตัวตนแล้วหรือเปล่า?”

เว่ยซูส่ายหน้า “ตามการตัดสินของคุณชายหก น่าจะยังไม่ถูกเปิดโปง คนที่ไปไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ยังมีอีกคนที่ชื่อโม่ซิ่นสง วรยุทธ์พอๆ กับเขา นอกจากนี้ยังให้กำลังพลพวกเขาอีกหนึ่งพันคน”

“โม่ซิ่นสง?” เซี่ยโห้วท่าแววตาวูบไหว แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ “ต่อให้มีโม่ซิ่นสงอีกคน แต่หนิวโหย่วเต๋อก็มียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามสิบคน ทำไมดันมาเลือกเจ้าหกได้ เจ้าไม่รู้สึกว่ามีปัญหาเหรอ?”

เว่ยซูถอนหายใจ “ตามที่คุณชายหกบอก เหตุผลก็คือ หนิวโหย่วเต๋อส่งพวกเขาสองคนไปก็สมเหตุสมผลแล้วจริงๆ ถึงขั้นพิจารณาโจวเสียง”

“โจวเสียง?” เซี่ยโห้วท่าสงสัย “โจวเสียงอยู่ที่ไหน?”

เว่ยซูตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อเลือกคุณชายหก สาเหตุกก็เพราะพวกเขาสองคนถูกลดตำแหน่งมานานมากพอแล้ว ถ้าให้ไปทำเรื่องผิดกฎหมาย คนข้างนอกที่รู้จักพวกเขาก็มีไม่เยอะ ประการต่อมา หนิวโหย่วเต๋อไม่สะดวกจะส่งยอดฝีมือบงกชกลายออกไปข้างนอกเยอะเกิน ส่งชิงเยว่กับหลงซิ่นไปทำเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แล้ว อีกทั้งคุณชายหกและอีกคนวรยุทธ์ค่อนข้างสูงในบรรดานักพรตระดับบงกชกลายด้วยกัน อีกสาเหตุก็คือ…”

ตั้งใจฟัง เซี่ยโห้วท่าที่กำลังครุ่นคิดอย่างละเอียดเหล่ตามอง “ยังมีอะไร? มีอะไรไม่สะดวกพูด?”

เว่ยซูค่อนข้างอึดอัด “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าคุณชายหกกับอีกคนหน้าตาไม่ดี ไม่สะดุดตาคน ไม่เป็นจุดสนใจได้ง่ายๆ ขอรับ”

“…” เซี่ยโห้วท่าพูดไม่ออก ยกมือลูบใบหน้าตัวเองโดยจิตใต้สำนึก ในจุดนี้แม้แต่ตัวเองก็ยังต้องยอมรับ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีใครหน้าตาดีสักคนเลยจริงๆ เพียงแต่การส่งไปทำงานเทาๆ เพราะหน้าตาไม่ดี เหตุผลนี้มันออกจะ…ใบหน้าเขากระตุกอย่างรุนแรงครู่หนึ่ง

……………………