หลิงรู้สึกอับจนหนทาง เขาลืมไปได้อย่างไรว่าในตอนนี้หลานสาวของตนเองนั้นเป็นท่านผู้นำตระกูลมู่ เป็นนายท่านของกองกำลังที่ใครก็ไม่อาจดูถูกได้

มู่เฉียนซีไม่มีเวลาอธิบายให้หลิงฟัง นางกล่าว “อารอง ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์”

“ซีเอ๋อร์ เจ้าไม่อยากเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วเหรอ?” หลิงกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มา มันยังไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสม หากข้าได้มันมาก็มีเพียงแค่เส้นทางแห่งความตายที่รออยู่”

และแน่นอนว่าหลิงเองก็ไม่อยากให้มู่เฉียนซีมีอันตราย เขากล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อารองก็จะฟังซีเอ๋อร์”

“อารอง กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้นอันตรายมาก ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะบอกให้อารองออกไปจากที่นี่”

“ท่านหัวหน้าตำหนักมีคำสั่งว่าไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ต้องเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาให้ได้ ผู้อาวุโสสูงสุดก็มีคำสั่งมาด้วย ข้าไม่อาจจากไปไหนได้ ต้องเข้าร่วมการแย่งชิงในครั้งนี้ ซีเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ซีเอ๋อร์รีบออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ!”

“ไม่ได้เด็ดขาด หากอารองไม่ไป ข้าก็จะไม่ไป”

“ซีเอ๋อร์…” หลิงขมวดคิ้วขึ้น

“อารอง ในดินแดนสี่ทิศแห่งนี้ คาดว่ามีเพียงแค่อารองเท่านั้นแล้วที่เป็นญาติของข้า กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มันน่ากลัวมาก ข้าไม่อยากให้ศพเดินได้ในตอนนี้อย่างอารองต้องเป็นอันตรายถึงขั้นดวงจิตดับสลาย ความอันตรายของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้น ข้าเข้าใจดีกว่าทุกคน”

“เจ้าเด็กโง่ เจ้าก็บอกแล้วว่าอารองเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเจ้า ข้าจะตายง่าย ๆ ได้ยังไงกันล่ะ!” หลิงส่ายหน้าพลางกล่าว

“เช่นนั้นการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ข้าจะร่วมกับอารองด้วย!” มู่เฉียนซีกล่าว

“ไม่ได้! หากผู้อาวุโสสูงสุดรู้ถึงสถานะของเจ้า เขาจะต้องฆ่าเจ้าแน่ ตำหนักเป่ยหานมันอันตรายเกินไปสำหรับเจ้า”

“ไม่ได้! ครั้งนี้มีโอกาสมากที่จะต้องเผชิญกับเจ้าพิฆาตวิญญาณปีศาจคลั่งกระหายเลือดนั่น อารองต้องอยู่ในสายตาตลอด ข้าถึงจะวางใจ”

หากถูกพิฆาตวิญญาณกลืนกินวิญญาณจริง ๆ ดวงจิตดับสลาย ต่อให้นางเป็นผู้รับมรดกจากมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ก็ไม่สามารถทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้

“ไม่ได้!”

“คัดค้านก็ไม่มีประโยชน์!”

“อารองขวางข้าไม่ได้”

“ข้าจะตีเจ้าให้สลบแล้วส่งเจ้ากลับไป!”

มู่เฉียนซีเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และกล่าวว่า “เช่นนั้นอารองก็ตีข้าเลยสิ! ลองตีข้าดูสิ”

มู่เฉียนซีไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด และหลิงก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันใด หลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขา เขาจะทำใจลงมือกับนางได้อย่างไรกันเล่า

“เจ้านี่นะ! นี่จับจุดอ่อนของอารองของเจ้าชัด ๆ ข้าหมดหนทางแล้วจริง ๆ”

มู่เฉียนซีกล่าว “อันที่จริงแล้วขอเพียงแค่ฝีมือการแสดงดี ผู้อาวุโสสูงสุดก็จะไม่สงสัยแน่นอน เช่นนั้นเราเอาอย่างนี้…”

“ไม่ได้ นี่มันเสี่ยงเกินไป”

มู่เฉียนซีกล่าว “คนที่ปกป้องข้าแอบซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ หากมีอันตรายเขาจะลงมือช่วยทันที”

“ยอดฝีมือทั้งหมดของตำหนักเป่ยหานเคลื่อนไหวแล้ว ต่อให้ซีเอ๋อร์เตรียมคนเอาไว้พร้อมแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ลงมือขึ้นมาแล้วละก็มันก็อันตรายต่อเจ้ามากเหมือนกัน อีกอย่าง พลังของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าได้จินตนาการเอาไว้มาก”

“ข้ายังรู้จักยอดฝีมือคนหนึ่งของตำหนักเป่ยหานของพวกท่านด้วย การที่ตำหนักเป่ยหานส่งยอดฝีมือลงมือในครั้งนี้ เขาก็ต้องอยู่ด้วยแน่นอน ฉะนั้นอารองไม่ต้องเป็นห่วง!”

“ก็ยังไม่ได้อยู่ดี!”

“อารองจะให้ความร่วมมือ หรือจะให้ข้าลงมือด้วยตัวเอง แต่ยังไงอารองก็ต้องให้ความร่วมมืออยู่ดี” มู่เฉียนซีให้หลิงเลือกสองข้อ

“เจ้านี่นะ!” สุดท้ายหลิงก็ยอมจำนนแล้ว บอกว่าไม่ได้ไปหลายต่อหลายครั้ง แต่หลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาก็ไม่ฟังอยู่ดี!

เขากล่าว “ช่วงนี้ข้าต้องออกตามหาข่าว ไม่รีบกลับไป ซีเอ๋อร์ก็อยู่ข้างกายข้านี่แหละ!”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “อารองวางใจได้ ถึงแม้ว่าพลังของข้าจะอยู่ในระดับที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ทักษะที่ซ่อนอยู่และท่าร่างของข้านั้นไม่เลวเลยนะ”

หลังจากที่ได้ตามเสาะหาข่าวกับมู่เฉียนซี สุดท้ายก็ได้รู้เรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้น

“เจ้ารู้ข่าวหรือไม่ มีแม่นางน้อยผู้หนึ่งลงมือมือเติบเพื่อตามหาองครักษ์ฝ่ายซ้ายหลิงแห่งตำหนักเป่ยหานน่ะ!”

“แต่ข้าว่าไม่ใช่องครักษ์ฝ่ายซ้ายหรอก ข้าว่าต้องเป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหานแน่นอน ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของหลิงจะหล่อเหลา แต่ก็ไม่อาจเทียบกับสถานะอันสูงส่งของหัวหน้าตำหนักได้หรอก!”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเป็นสาวน้อยตระกูลไหนที่ทำเรื่องล้างผลาญเงินทองของตระกูลได้เช่นนี้”

หลิงหันมองมู่เฉียนซี

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ดูเหมือนว่าคนที่พวกเขากำลังพูดถึงนั้นจะเป็นข้า!”

“ข่าวลือไปเช่นนี้แล้ว เมื่อถึงคราวต้องเล่นละครตบตา พวกเขาก็ยิ่งเชื่อแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นอารองก็ต้องให้ความร่วมมือดี ๆ ล่ะ” มู่เฉียนซีย้ำ

ทว่า หลิงกลับรู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก “เห็น ๆ กันอยู่ว่าซีเอ๋อร์ตามหาข้า แต่นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะสงสัยว่าเจ้าชอบหัวหน้าตำหนักไปได้”

เมื่อนึกถึงความสง่างามของคนผู้นั้นแล้ว หลิงก็รู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา

เขากล่าวถามว่า “ซีเอ๋อร์ก็รู้สึกเหมือนกันใช่หรือไม่ว่าหน้าตาอารองของเจ้าสู้หัวหน้าตำหนักไม่ได้ รวมไปถึงสถานะอันสูงส่งนั่นด้วย!”

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้นเลยนะ! อารองของข้าดีที่สุดแล้ว ในดินแดนสี่ทิศแห่งนี้ไม่มีบุรุษใดที่จะเทียบอารองของข้าได้ หัวหน้าตำหนักผู้นั่นเป็นถึงยอดฝีมือขั้นสูงสุด คาดว่าคงจะเป็นตาเฒ่าแก่หัวหงอกคนนึงไปแล้ว รูปร่างหน้าตาจะหล่อเหลาเทียบกับอารองของข้าได้ยังไงกัน”

หลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนยกย่องเชยชมตนเองถึงเพียงนี้ อารมณ์ของหลิงจึงดีขึ้นไม่น้อยเลย

ในค่ายที่พักของตำหนักเป่ยหาน มีบางคนรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้น

“ผู้อาวุโสสูงสุด ตกลงว่าข่าวลือนั่นเป็นความจริงหรือไม่ สาวน้อยผู้แปลกประหลาดและลึกลับคนหนึ่งมาถามหาตำหนักเป่ยหานของพวกเราอย่างเปิดเผยเช่นนี้ด้วยเหตุใดกัน?”

“สาวน้อยผู้นั้นต้องมีปัญหาแน่ ๆ หากนางมาถึง จับนางแล้วไต่สวนนางให้ละเอียด มีโอกาสเป็นไปได้มากว่าตำหนักตงจี๋จะเป็นคนส่งนางมา” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวเสียงขรึม

“คนผู้นั้นรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร?” น้ำเสียงอันเย็นชาไร้อารมณ์และความรู้สึกดังขึ้น

ทุกคนได้ยินเสียงนี้ต่างก็ตกตะลึงขึ้น เหตุใดเขาถึงได้สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว

ผู้อาวุโสสูงสุดตอบ “จากที่คนมารายงาน นางเป็นสาวน้อยวัยเยาว์ผู้หนึ่ง อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี สวมชุดสีม่วง”

“แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ข้าสงสัย สิ่งที่ทำให้ข้าสงสัยก็คือ นางเป็นเพียงแค่สาวน้อยวัยสาวคนหนึ่งแต่กลับใช้ยาลูกกลอนจำนวนมากเพื่อถามหาตำหนักเป่ยหานของพวกเรา อีกอย่างคุณภาพของยาลูกกลอนนั้นไม่ใช่ยาระดับต่ำเลย ในดินแดนสี่ทิศ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคนที่ลงมืออย่างมือเติบกับยาลูกกลอนเช่นนี้”

“อืม! ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ!”

ภายในกระโจม ความกังวลได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันเย็นชาและสูงศักดิ์นั้น

เขากล่าวเสียงต่ำว่า “ต้องเป็นนางแน่นอน!”

ร่างในชุดขาวกระพริบไป และเขาก็ได้อันตรธานหายไปจากในกระโจมโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้

กองกำลังอันแข็งแกร่งหลายกองกำลังล้วนแต่อยู่ในบริเวณนี้ ยอดฝีมือมากมายก็ได้รวมตัวกัน สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายมาก เขาไม่อยากให้นางต้องมาเสี่ยงอันตราย

กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เขาจะแย่งชิงมันมาให้ได้

เขาก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าทันทีที่เขาได้ย่างเท้าออกจากค่ายที่พักของตำหนักเป่ยหาน กลับเห็นมู่เฉียนซีกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

และทั้งสองก็ทำเหมือนกับไม่ได้เห็นหน้ากันมาก่อน

“หลิง ข้าบอกให้เจ้าหยุดเจ้าไม่ได้ยินเหรอ!” ภายในป่าศิลาเพลิง มีเสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น

ทว่า ร่างอันสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าผู้นั้นกลับเดินมาด้วยสีหน้าที่เฉยเมย

“ข้าบอกให้เจ้าหยุดยังไงเล่า หยุด! นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าเพิกเฉยต่อข้าเช่นนี้” หญิงสาวชุดม่วงที่วิ่งตามอยู่ด้านหลังนั้นกล่าวอย่างกระหืดกระหอบ

ฝีเท้าของหลิงยิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ แม่นางน้อยชุดม่วงที่ตามหลังอยู่ผู้นั้นพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะตามมาให้ทัน

เมื่อคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ได้ยินเข้าก็อดที่จะสอดรู้สอดเห็นไม่ได้ หากรอสอบถามข่าวก็คงต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่ง พวกเขาอยู่ในตรงนี้ก็มีแต่หินมีแต่ป่า ช่างน่าเบื่อหน่าย ดังนั้นจึงเริ่มไปสอดแนมแล้ว

“ดูท่าข้าจะเดาถูกนะ สาวน้อยผู้สุรุ่ยสุร่ายผู้นี้ชอบท่านหลิงเข้าแล้วจริง ๆ!”

“ท่านหลิงมีความเป็นสุภาพบุรุษมาก ดีกว่าท่านหัวหน้าตำหนักผู้ที่ไม่สำรวมตนผู้นั้นมาก”

“ท่านหลิงเองก็ใจโหดเหมือนกันนะ สาวน้อยรูปร่างหน้าตางดงามถึงเพียงนี้แล้ว แต่เขายังปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชาและไร้ความรู้สึกอยู่ได้”