ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 91 ต่อรอง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 91 ต่อรอง

ณ สระหินทรายแดง

ถึงตอนนี้ไม่มีอสูรกายตัวใดคิดจะลงมือกับซูเฉินแล้ว

ตอนนี้ไม่มีผู้คุ้มกันอยู่ ซูเฉินจึงเดินขึ้นมาและส่งแก่นโลหิตหยดหนึ่งลงไปในบ่ออย่างง่ายดาย

แม้จะเป็นเลือดเพียงหยดเดียว แต่ก็เต็มไปด้วยพลังงานมหาศาลที่อสูรกายนับไม่ถ้วนยังไม่อาจมอบให้ได้

ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องลึก “เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้? แผนการล้มเหลวหรือ?”

“ตรงกันข้ามเลยทีเดียว จนถึงตอนนี้ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ด้วยดี”

“หืม?” ค้างคาวตัวหนึ่งบินขึ้นมา “เจ้าว่าอะไรนะ?”

“เป็นอย่างที่ท่านได้ยิน แผนการเป็นไปได้ด้วยดี”

“ตอนนี้อยู่ที่ขั้นใดแล้ว?”

“ทำลายปราการ”

ได้ยินดังนั้นบรรพชนเสวียจึงเงียบไป

หลังจากเงียบไปนาน ค้างคาวตัวน้อยก็กระพือปีก “นี่เป็นจุดที่สำคัญที่สุด เจ้าจะประมาทไม่ได้ เผ่าเทพไม่ถูกหลอกง่าย ๆ แน่ พลังศักดิ์สิทธิ์จะทำให้พวกเขามองคำลวงออก พวกเขาไม่ถูกหลอกอย่างง่ายดายหรอก”

“จริง ๆ แล้วข้าว่ากลับกันเลยต่างหาก พวกเขาถูกหลอกได้ง่ายมาก” ซูเฉินตอบ

“ว่าอย่างไรนะ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”

“เพราะว่าพวกเขาไม่เคยถูกหลอกไงล่ะ”

ไม่เคยถูกหลอก!

นี่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งให้ซูเฉินกล้าหลอกพวกเขา

เรื่องนี้ไม่เหมือนกับเรื่องพละกำลัง เชาวน์ปัญญาจำเป็นต้องมีทั้งความเฉลียวฉลาดและประสบการณ์ในการสร้างมันขึ้นมา ยิ่งมีประสบการณ์มาก ปัญญาก็จะกว้างไกลมากขึ้นด้วย

เผ่าเทพอาจมีประสบการณ์ในด้านอื่น แต่พวกเขามีประสบการณ์ด้านคำลวงและการหลอกลวงน้อยมาก

เพราะไม่มีใครกล้าหลอกพวกเขา

พวกเทพเจ้านั้นทรงพลังมาก

มากจนเกินไป!

และการมีพลังเช่นนี้ก็หมายความว่าเป็นผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีมาก ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “เจ้ากล้ามองเทพผู้ทรงเกียรติโดยตรงหรือ” “เจ้ากล้าเรียกชื่อเทพโดยตรงงั้นหรือ” และ “ความเมตตาของเทพลึกดั่งมหาสมุทร พลังอำนาจน่ากลัวดั่งนรกโลกันตร์!”

การกล่าวเกินจริงเช่นนี้ยกระดับสถานะของเผ่าเทพขึ้นจนดูสูงส่งเป็นพิเศษ

เป็นเช่นนี้ปกติมาหลายหมื่นปีแล้ว

ดังนั้นแม้ว่าเผ่าเทพจะคงอยู่มานาน แต่ก็มีประสบการณ์ในบางด้านจำกัด

เช่นในด้านของการหลอกลวง

ความเย่อหยิ่งลำพองฝังรากลึกลงในดวงจิต สุดท้ายเผ่าเทพจึงไม่คิดว่าตนจะถูกใครหลอกได้ แม้จะรู้ว่าอย่างไรก็ยังมีคนเจ้าเล่ห์หลอกลวงอยู่ แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถทำให้มองผ่านคำลวงได้ ทว่าหากอีกฝ่ายมีพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่เช่นนั้นเผ่าเทพก็จำเป็นต้องใช้เพียงสมองในการไขคำลวงเท่านั้น

จึงทำให้บรรพชนเสวียเชื่อว่าเผ่าเทพคงถูกหลอกได้ยาก ในขณะที่ซูเฉินกลับเชื่อต่างกันว่าพวกเขาถูกหลอกได้อย่างง่ายดาย

ได้ยินแล้ว บรรพชนเสวียก็นิ่งไปก่อนเอ่ยถาม “อีกนานเท่าไหร่?”

“ไม่นานแล้ว”

ภายในโบสถ์นภาไร้เงา

การประชุมของเหล่าทวยเทพยังดำเนินต่อ

เสียงเอ็ดอึงเซ็งแซ่ของบรรดาทวยเทพดังสะท้อนไปทั่วทั้งโถงใหญ่ดั่งเสียงระฆังกังวานสนั่นลั่นดังเข้าหูของหลินซวง

“เช่นนั้นนภาไร้เงาก็หลบอยู่ในปราการงั้นหรือ? หรือก็คือเขาเป็นคนควบคุมมันใช่หรือไม่?”

“ใช่ขอรับ!” หลินซวงตอบพร้อมก้มศีรษะ

“แล้วเขาเปิดปราการได้หรือไม่?”

“ได้ขอรับ”

พลันเกิดเสียงพูดคุยดังลั่นขึ้นไปอีกในฟากเผ่าเทพ

หากหลินซวงพูดจริง ไม่เท่ากับว่าพวกเขาลงมือโดยเสียเปล่างั้นหรือ? จะเสียเวลาไปทำลายปราการเพื่ออะไร? ถ้าหากมีนภาไร้เงา แค่ให้เขาเปิดประตูให้ก็ได้ไม่ใช่หรือ?

แน่นอนว่าตอนนี้ยังมีเวลาอยู่

เผ่าเทพสั่งทันที “เช่นนั้นก็ให้เขาเปิดปราการเสีย!”

คำพูดของเผ่าเทพมีพลังรุนแรงจนหลินซวงเกินทานทน เขาคำรามเสียงเจ็บปวด เลือดพุ่งออกจากร่าง ในเมื่อไม่สามารถใช้พลังอมตะฟื้นฟูร่างกายได้ จึงได้แต่ฝืนทนกับแรงกดดันบีบคั้นนี้ต่อไป

เคราะห์ดีที่เทพองค์นั้นรู้ตัวและเงียบไปทันที

รัศมีแสงทองส่องมายังร่างหลินซวง ให้ความรู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง

พระแม่เข้ามาขัดจังหวะได้อย่างทันท่วงที

หลินซวงใช้เวลาหายใจสักพักก่อนพูดขึ้นว่า “ปราการคือร่างของนายท่าน มันไม่มีประตูอยู่หรอกขอรับ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถเปิดมันได้ อีกทั้งการเปิดปราการก็เท่ากับเป็นการทำลายร่างของเขา หากปราการแตกสลายไป นายท่านก็จะสิ้น”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความกระตือรือร้นทั้งหลายก็ลดลงเล็กน้อย

เป็นเช่นนี้เองหรือ ไม่แปลกที่เทพนภาไร้เงาจึงไม่ได้เปิดปราการในทันที

หากปราการพังทลาย เขาก็ต้องตาย

“น่าเสียดายนัก หมายความว่าชะตาลิขิตให้เขาต้องกลายเป็นศัตรูไม่ใช่มิตรกับพวกเรางั้นหรือ?” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ใช้น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แต่เบื้องหลังคำพูดที่จริงใจของนางกลับเจือแววสังหาร

ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่หากมาขัดขวางการกลับมาของเหล่าทวยเทพก็จำต้องถูกสังหารให้สิ้นไป

หลินซวงรีบเอ่ย “นายท่านย่อมไม่อยากเป็นศัตรู ดังนั้นจึงพยายามหาทางเลี่ยงเรื่องนี้อยู่ขอรับ”

“หืม?”

“นายท่านจำเป็นต้องมีร่างเทพ ถ้าหากมีร่างแล้ว เขาก็จะสามารถแยกตัวออกจากปราการได้ และเมื่อมันไม่มีนายท่านคอยช่วยเหลือ ปราการก็เหมือนขาดกระดูกสันหลัง ย่อมล่มสลายลงไปโดยปริยาย”

“การมอบร่างให้คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง? มีที่เหลือจากศึกเผ่าเทพตั้งมาก ต้องมีสักร่างที่ใช้ได้แน่”

“ยังไม่พอขอรับ” หลินซวงเอ่ยทันควัน เขาไม่ได้ปฏิเสธในทันที แต่หมายจะเอ่ยอธิบายให้ดูเหมาะมากขึ้น

“โอ้?”

หลินซวงเอ่ยอธิบายต่ออย่างไม่เกรงกลัว เขาถอนหายใจก่อนว่าต่อ “ศพเทพคงไม่เหมาะจะใช้บรรจุพลังและอำนาจของนายท่าน ให้มาสักพันร่างก็คงไม่มากพอ นายท่านจึงจำเป็นต้องมีร่างที่ทรงพลังมากกว่านี้ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นนายท่านแห่งปราการนะขอรับ”

เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้ยินแล้วจึงไม่พอใจ “เขาจะให้เราไปหามาจากไหน? ไม่มีร่างใดตอบสนองความต้องการเขาได้หรอก”

“จริง ๆ ก็มีอยู่นะขอรับ!” หลินซวงตอบ

เทพทั้งหลายดูชะงักไปเล็กน้อย

แต่เป็นตอนนั้นเองที่จ้าวแห่งแดนฝันถอนหายใจนิ่งสงบออกมา “เขากำลังพูดถึงเทพอสูรบรรพกาล”

เทพอสูรบรรพกาล?

เผ่าเทพเข้าใจแล้วก็ตะลึงไป

ใช่แล้ว เทพอสูรบรรพกาล

มันคงจะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีร่างกายแข็งแกร่งกว่าเผ่าเทพ

แม้ว่าเทพอสูรบรรพกาลจะแพ้สงครามกับเผ่าเทพ แต่มันก็มีร่างกายแข็งแกร่งกว่า

แม้ว่าเทพอสูรบรรพกาลจะพ่ายแพ้ไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันด้อยกว่าเผ่าเทพในทุกด้าน ในเรื่องของพละกำลังแล้ว ไม่อาจหาสิ่งมีชีวิตใดมาเทียบชั้นกับเทพอสูรบรรพกาลได้อีก

มนุษย์อาจเอาชนะและสังหารพยัคฆ์ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์มีพละกำลังหรือพลังชีวิตมากกว่ามัน จริง ๆ แล้วกลับกันเลยต่างหาก ถ้าหากมนุษย์ไร้ซึ่งความปรับตัว ไร้ซึ่งสติปัญญา พยัคฆ์ก็คงเป็นฝ่ายที่สามารถจัดการสังหารมนุษย์ได้หลายคนอย่างง่ายดายไปแล้ว

ความต่างระหว่างเผ่าเทพและเทพอสูรบรรพกาลก็เช่นกัน

จริง ๆ แล้วเผ่าเทพอ่อนแอกว่าเทพอสูรบรรพกาลทั้งในด้านพลังชีวิตและพละกำลัง เป็นความสามารถในการควบคุมกฎแห่งพลังและความสามารถในการปรับตัวที่ทำให้พวกเขาคว้าชัยไปได้

วิชาเหล่านี้ของเผ่าเทพก็เหมือนกับวิชาต้นกำเนิดและอาวุธที่มนุษย์ใช้เพื่อสังหารเทพอสูรนั้นเอง

คำขอของหลินซวงทำเผ่าเทพประหลาดใจไม่น้อย

หมายความว่าเทพนภาไร้เงาต้องการศพของเทพอสูรบรรพกาลงั้นหรือ?

ในเชิงทฤษฎีก็เป็นไปได้อยู่

ได้อาศัยอยู่ในร่างสุนัขที่ยังมีชีวิต อย่างไรก็คงดีกว่าต้องอาศัยอยู่ในกำแพงปราการ

“ย่อมได้ ถ้าหากเขาต้องการเช่นนั้นเราก็จะมอบให้ แต่ต้องให้เขาเปิดปราการก่อน เราจะได้ข้ามไปจับพวกมันที่ยังจำศีลอยู่ที่ฝั่งนั้นได้ ถึงเวลาแล้วเขาจะมีตัวเลือกเรียงรายมากมายทีเดียว” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์เอ่ยทันใด ในเมื่อจะหาศพเทพอสูรบรรพกาลได้ก็ต่อเมื่อปราการล่มสลายไปแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูด หรือก็คือเทพธิดาแห่งดวงจันทร์พร้อมกล่าวคำสัญญาอะไรก็ตามเพื่อทำให้ปราการล่มสลายเร็วขึ้น

หลินซวงยิ้มบาง “คงทำเช่นนั้นได้ยากขอรับ เมื่อปราการถูกทำลายแล้ว นายท่านก็จะตาย ดังนั้นเขาจำเป็นต้องย้ายร่างทันทีที่ปราการถูกทำลายขอรับ”

หลงเก๋อเทพอนารยะเริ่มไม่พอใจ “พวกข้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งของปราการ จะไปหาเทพอสูรบรรพกาลให้ได้อย่างไร?”

“เรื่องนั้นเป็นพวกท่านที่ต้องจัดการขอรับ” หลินซวงตอบเสียงเรียบ

“โอหังนัก!” หลงเก๋อโกรธเกรี้ยว เทพอนารยะผู้นี้คำรามเสียราวกับอยากจะลงมายังโบสถ์นภาไร้เงาเพื่อสั่งสอนหลินซวง สมกับชื่อทีเดียว

เคราะห์ดีที่จ้าวแห่งแดนฝันขัดขึ้น “อย่ารีบลงมือนักเลย หากสังหารเขา เทพนภาไร้เงาก็จะไม่ยอมต่อรองกับเรา”

“ยังมีอะไรต้องต่อรองอีก? เราทำให้เขาไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร อีกไม่กี่ปีปราการก็จะล่มสลายลงอยู่แล้ว”

หลินซวงเอ่ยเสียงเรียบ “นั่นก็เพราะนายท่านไม่เคยต่อต้านเต็มที่มาก่อน เขาต้องการให้พวกท่านทำให้ปราการอ่อนแอลงจนสามารถสื่อสารกันได้ก่อน ตอนนี้นายท่านสื่อสารได้แล้ว เขาก็สามารถ…”

หลินซวงว่าแล้ว พื้นที่โดยรอบโบสถ์ก็เหมือนถูกแช่แข็งไปทันใด

เรื่องมหัศจรรย์บางอย่างกำลังปรากฏสู่สายตา

บางครั้งก็จะมีแสงสีทองส่องแวบวาบอยู่ในอากาศ

จ้าวแห่งแดนฝัน พระแม่ และเทพองค์อื่น ๆ ร้องขึ้นเสียงตกใจ “ปราการแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งแล้ว!”

ถูกต้อง ในจังหวะนั้นเอง พวกเขาสัมผัสได้ว่าปราการแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง คลื่นพลังรุนแรงสายหนึ่งห้อมล้อมตัวปราการเอาไว้ ปกป้องไม่ให้มันถูกทำลายมากไปกว่าเดิม อีกทั้งมันยังแข็งแรงมาก มากเสียจนกระทั่งส่วนหนึ่งของปราการที่ถูกทำลายไปแล้วเริ่มฟื้นฟู

เทพองค์อื่น ๆ เริ่มแตกตื่นทันใด

ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะหลบหนีได้อย่างไรกัน?

“มาคุยกันอย่างสันติดีกว่า!” เทพองค์เดิมรีบเอ่ยคำ

หลินซวงก้มหน้าลงพึมพำกับตนอยู่คำสองคำ พลังนั้นจึงหายไป ปราการกลับคืนสู่สภาวะเดิมราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน

เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ยังมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ “นี่… เรื่องจริงนั้นหรือ? ไม่ใช่วิชามายาใช่หรือไม่?”

จ้าวแห่งแดนฝันถอนหายใจ “เจ้าน่าจะรู้ว่าไม่ว่ามายาใดก็ไม่อาจหลอกตาข้าได้ เมื่อพริบตานั้นข้าสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีเจตจำนงอันทรงพลังกำลังโอบล้อมปราการ ทำให้มันฟื้นฟูตัว ตอนนี้มันได้หายไปแล้ว นั่นคงจะเป็นเทพนภาไร้เงา เขามีอยู่จริง และเป็นผู้ที่คอยควบคุมปราการ”

ได้ยินแล้วในใจเหล่าเทพพลันสิ้นหวังขึ้นมา

พระแม่เอ่ยขึ้น “พวกเรายังมีทางอื่นในการหาเทพอสูรบรรพกาลอยู่”

การหาเทพอสูรบรรพกาลก่อนปราการจะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่ถ้าหากพวกเขายอมแลกอะไรไปบ้าง อย่างไรก็ต้องมีหนทาง

เผ่าเทพทั้งหลายหันไปทางจ้าวแห่งแดนฝัน

ไม่มีใครเข้าใจแดนต้นกำเนิดลึกล้ำได้เท่าเขาแล้ว อีกทั้งเขายังมีอิทธิพลต่อแดนต้นกำเนิดผ่านทางปราการสูงที่สุด มากไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้ที่มีผู้ศรัทธาจากแดนต้นกำเนิดมากที่สุดอีกด้วย

เมื่อเห็นทุกคนจองมาด้วยสายตามีความหวังเช่นนี้ จ้าวแห่งแดนฝันจึงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ข้าสามารถสั่งให้คนของข้าปลุกเทพอสูรบรรพกาลและนำมันมายังปราการได้ แต่จะเป็นร่างที่เหมาะสมพอหรือไม่ข้าไม่อาจรู้”

หลินซวงตอบ “นายท่านต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการย้ายเข้าร่างใหม่ เทพอสูรบรรพกาลตื่นจากจำศีลแล้วไม่นานก็จะตาย ดังนั้นเราต้องส่งมันมาที่ฝั่งนี้ก่อนขอรับ มีแต่อาณาเขตคุนเท่านั้นที่มีพลังต้นกำเนิดมากพอจะให้เทพอสูรบรรพกาลใช้ชีวิตอยู่ได้”

“เช่นนั้นนายท่านของเจ้าก็ต้องอนุญาตให้มันผ่านเข้ามา” โหยวหม่าเค่อเอ่ย

เพราะมีพลังศักดิ์สิทธิ์ห่อหุ้มกายไว้ โหยวหม่าเค่อจึงจำหลินซวงไม่ได้

“นายท่านกล่าวว่าปราการไร้ประตู เปิดทางให้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นนายท่านก็คงเปิดทางให้พวกท่านผ่านไปได้ตั้งนานแล้ว” หลินซวงกล่าว

“แล้วจะนำเทพอสูรบรรพกาลผ่านปราการมาได้อย่างไรหากแม้แต่พวกเรายังผ่านไปไม่ได้?” เผ่าเทพถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอยู่บ้าง

นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการเลยไม่ใช่หรือไง?

ถ้าหากสามารถเคลื่อนย้ายเทพอสูรบรรพกาลผ่านปราการได้ เหตุใดพวกเขาไม่เป็นฝ่ายเคลื่อนย้ายไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งเลยเสียเล่า? หากทำได้ ยังมีความจำเป็นต้องทำลายปราการด้วยอีกหรือ?

“มีวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้”

“วิธีใด?”

“การส่งผ่านพลังสูญขอรับ”