บทที่ 92 เริ่มตอบโต้
เมื่อได้ยินแผนการของหลินซวง เผ่าเทพทั้งหลายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
โหยวหม่าเค่อเอ่ยขึ้น “ไร้เดียงสานัก คิดหรือว่าในพวกเราไม่มีใครเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังสูญ? หากใช้กฎแห่งพลังสูญเดินทางผ่านปราการได้จริง แล้วพวกเราจะยังติดอยู่เช่นนี้หรือไร?”
ปราการเผ่าเทพเป็นการแบ่งแยกดินแดนโดยสมบูรณ์ ไม่อาจใช้กฎแห่งพลังใดส่งอะไรข้ามปราการมาได้เลย
หากแต่จ้าวแห่งแดนฝันรู้สึกใจหล่นวูบ ความคิดหนึ่งพลันผุด “เทพนภาไร้เงาทำให้การแยกแดนพลังของปราการอ่อนลงได้หรือ?”
หลินซวงส่ายหน้าช้า ๆ “ทำไม่ได้ขอรับ การแยกแดนพลังเป็นคุณสมบัติพิเศษภายในของปราการ เป็นสิ่งที่เผ่าเทพเห็นชอบยามสร้างปราการขึ้นมาในคราแรก มันจะไม่อ่อนลงจนกว่าปราการจะถูกลายขอรับ”
ได้ยินแล้วทุกคนจึงถอนหายใจ
ใช่แล้ว มันเป็นคุณสมบัติที่เดิมทีเผ่าเทพเป็นคนตั้งขึ้นมานั่นเอง
สุดท้ายแล้วมันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาติดอยู่ที่นี่
“เช่นนั้นเราจะส่งเทพอสูรบรรพกาลข้ามมาฝั่งนี้ได้อย่างไร?” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ถาม
นางรู้ว่าเทพนภาไร้เงาดูจะมีแผนการอยู่ในใจแล้ว ตอนนี้คงกำลังเลียบ ๆ เคียง ๆ ตรวจสอบว่าเผ่าเทพรับได้เพียงไหนเพื่อนำมาต่อรองภายหลัง หากเป็นเช่นนั้นจริงอีกฝ่ายก็คงมีวิธีตระเตรียมไว้แล้ว
หลินซวงจึงว่าต่อ “ปกติแล้วย่อมทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้เป็นไปได้อยู่ขอรับ”
“คืออะไรกัน?”
“เมืองล่องนภา”
“เมืองล่องนภา?” เผ่าเทพเหลือบมองกันด้วยสายตาสงสัย จากนั้นหันไปมองพระแม่
เมืองล่องนภาของพวกปักษาเกี่ยวอะไรกับการส่งผ่านพลังสูญ?
พระแม่เองก็พิศวงไม่ต่างจากพวกเขา
จ้าวแห่งแดนฝันถามขึ้น “แล้วจะทำอย่างไร?”
หลินซวงตอบเสียงมั่น “หยิบยืมคุณสมบัติของสมอทะเลลึกมาใช้ขอรับ!”
สมอทะเลลึกเป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเคยใช้หลอกปักษามาก่อน แต่ก็ยังมีการออกแบบเป็นเอกลักษณ์ ที่สำคัญคือมันสามารถเป็นตัวเชื่อมกับทะเลพลังต้นกำเนิดได้อย่างถาวร
จึงเป็นเหตุให้เมืองล่องนภาเคลื่อนไหวไม่ได้อยู่นานหลายปี จนกระทั่งได้สมบัติล้ำค่าสองชิ้นมา จึงทำให้สามารถดึงสมอทะเลลึกกลับขึ้นมาได้
จากตัวอย่าง เห็นได้ชัดว่าสมอทะเลลึกมีเสถียรภาพเพียงไหน
พระแม่ได้ยินคำหลินซวงแล้วก็เหมือนเข้าใจ “เจ้าคิดจะปล่อยสมอทะเลลึกผ่านรอยแยกปราการเพื่อรบกวนการแยกแดนพลังหรือ?”
ปราการที่ปกติสมบูรณ์ย่อมไม่อาจถูกทะลวงผ่าน แม้จะใช้สมอทะเลลึกก็ตาม
ทว่าตอนนี้มันเต็มไปด้วยรอยแยกรอยแตกมากมาย
รอยแยกขนาดเล็กก็สามารถทำให้พื้นที่โดยรอบปั่นป่วนได้บ้าง หมายความว่าเผ่าเทพยังไม่สามารถออกไปผ่านรอยแยกนั้นได้
แต่การส่งสมอทะเลลึกผ่านรอยแยกปราการนั้น พื้นที่โดยรอบก็จะกลับมามั่นคง เกิดเป็นเส้นทางข้ามแดนอันปลอดภัยขึ้นมา
ทางผ่านนี้ใช้เดินทางผ่านไม่ได้ แต่สามารถขัดคุณสมบัติในการแยกแดนพลังของปราการได้
เมื่อมีทางผ่านที่มั่นคงพอ จุดอ่อนปราการก็จะปรากฏหากเหล่าเทพรวมพลังกัน และปราการก็สามารถทำงานร่วมกันได้ด้วย เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะสามารถเคลื่อนย้ายเทพอสูรบรรพกาลผ่านปราการได้
“หากทางผ่านนี่สามารถส่งเทพอสูรบรรพกาลมาฝั่งนี้ได้ เหตุใดพวกเราไม่ใช้มันออกไปอีกฝั่งเล่า?” เทพองค์หนึ่งถาม
เผ่าเทพอยากไปเยือนแดนต้นกำเนิดมาก เพราะว่าถ้าส่งเทพอสูรบรรพกาลไปได้ แล้วเหตุใดจึงส่งตัวพวกเขาเองไปไม่ได้เล่า?
หลินซวงหัวเราะ “นายท่านไม่ขัดข้องหากพวกท่านจะใช้ทางผ่านนี้เพื่อเดินทางออกไป แต่เขาอยากจะย้ำเตือนพวกท่านว่าข้างนอกนั้นยังมีเทพอสูรบรรพกาลที่ยังมีชีวิตอยู่ดีอาศัยอยู่นะขอรับ”
ได้ยินแล้วเทพทั้งหลายจึงเงียบไป
ใช่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แม้ใจอยากรุกรานแดนต้นกำเนิด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะเจ้าของแดนโดยง่าย ยังมีเทพอสูรบรรพกาลและเทพอสูรอีกมากมายที่ยังจำศีลอยู่ที่นั่น
หากไม่มีแรงสนับสนุนจากผู้ศรัทธา เผ่าเทพก็คงไม่ได้เปรียบกว่าเทพอสูรบรรพกาลเท่าไหร่นัก ยิ่งตอนนี้พวกเขายังอยู่ในสภาวะอ่อนแอเช่นนี้
ถ้าหากบุกไปแล้วเกิดปลุกเทพอสูรบรรพกาลขึ้นมาก็นับเป็นปัญหาใหญ่ คงถูกล้อมและอาจถูกสังหารจนสิ้นได้
จ้าวแห่งแดนฝันเอ่ย “ในเมื่ออีกไม่นานปราการก็จะล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องรายละเอียดหรือเรื่องความเสี่ยงใด ๆ อีก ในมุมมองข้า เราควรทำตามคำแนะนำของเทพนภาไร้เงา ล่อเทพอสูรบรรพกาลมายังฝั่งนี้ เขาได้ร่างกายคืนเมื่อไหร่ ปราการก็จะล่มสลายลงเอง พวกเราก็จะสามารถข้ามไปอีกฝั่งและบุกตะลุยไปยัง แดนต้นกำเนิดได้”
“แล้วเราจะบังคับสมอทะเลลึกผ่านปราการอย่างไร?”
“นั่นขึ้นอยู่กับข่าซีหมีเอ่อร์” จ้าวแห่งแดนฝันตอบเสียงนิ่ง
พระแม่คำราม “แม้ปักษาจะปราชัย แต่หลายคนก็ยังซื่อสัตย์ต่อข้า รอการกลับมา รอคำสั่งข้าอยู่ ข้าสั่งคำเดียวพวกเขาก็พร้อมก่อกบฏ เข้าควบคุมแกนกลางเมืองได้ แม้เผ่ามนุษย์จะแกร่ง แต่หากซูเฉินไม่อยู่แล้ว ลูกน้องข้าก็สามารถทำงานนี้ได้”
หลินซวงตอบเสียงเคารพ “ปักษาผู้ซื่อสัตย์ทั้งหลายย่อมกลับคืนสู่อ้อมกอดแห่งพระแม่ขอรับ พรแห่งเผ่าเทพนับว่าอยู่กับเราแล้ว”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์เอ่ย “สิบวันหลังจากนี้ เราจะดำเนินการตามแผน”
“เหมือนเจ้าลืมบางอย่างไปนะ” จ้าวแห่งแดนฝันพลันขัดขึ้น
“อะไรหรือ?” เทพทั้งหลายดูสับสน
จ้าวแห่งแดนฝันจึงตอบ “ยังมีผู้หนึ่งที่ยังหลบอยู่ในเงามืดอย่างไรเล่า”
“สายลับผู้นั้นน่ะหรือ?” เผ่าเทพพลันนึกถึงศัตรูแต่กาลก่อนที่ก่อปัญหาขึ้นมากมายในชั่วระยะเวลาหลายพันปีขึ้นมาได้
พวกเขาตามหาคนผู้นี้มายาวนานมาก สุดท้ายจึงตระหนักว่าเป็นไปได้ว่าคนผู้นี้อาจอยู่ในหมู่พวกเขาเอง
แต่เพราะสนธิสัญญานิรันดร์กาล เผ่าเทพจึงไม่สามารถต่อสู้กันเองได้ ดังนั้นจึงได้แต่คาดเดาไปเช่นนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจระบุตัวได้
จ้าวแห่งแดนฝันจึงเอ่ย “หากเจ้าคนทรยศนั่นปล่อยแผนการเล็ดลอดไปถึงหูซูเฉิน แผนการต้องล้มเหลวแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอย่าให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น”
“แล้วเราจะทำอะไรได้บ้างเล่า?”
“จากนี้ไป เผ่าเทพต้องอยู่ด้วยกันตลอด จะแยกกันไม่ได้” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์เอ่ยขึ้น
“แล้วปราการเล่า?”
“หากแผนสำเร็จ เราไม่จำเป็นต้องทำลายปราการอีกด้วยซ้ำ จากนี้ไปอีกสิบวันมันจะทำลายตัวเอง”
“แต่เจ้าคนทรยศนั่นสามารถสร้างกองทัพร่างแยกได้ ถึงเราจะจับตัวเขาไว้ที่นี่ได้ แต่ร่างแยกก็ยังปล่อยข่าวได้อยู่ดี”
“เช่นนั้นก็ควรผนึกที่นี่เสีย ไม่ให้ส่งพลังจิตด้วย เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องข้อมูลรั่วไหลอีก”
“แต่เช่นนั้นเราก็จะขาดหูตาไป”
“แค่สิบวันเอง เวลาสั้นเช่นนั้นจะเกิดอะไรได้?”
“พริบตาเดียวก็สิบวันแล้ว”
“เกรงว่าเราได้ลืมตาอีกทีใต้หล้าจะพลิกกลับน่ะสิ”
“นั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าเพียงสงสัยว่าพวกเราตื่นขึ้นอีกทีใต้หล้าจะมีสีสันเช่นไร”
“จะสีใดได้อีก? ก็ต้องสีแดงสิ สีเลือดอย่างไรเล่า”
“เลือดหลากสีคงจะงดงามที่สุด!” ฝูเหม่ยลาเอ่ยขึ้นอย่างคนเขลา
เผ่าเทพยังคงปรึกษาว่าจะจัดการสายลับอย่างไรกันต่อ
ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เสนอเรื่องขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเผ่าเทพเองก็สามารถหูตาบอดได้หากพวกเขาเต็มใจทำเช่นนี้
หลินซวงเอ่ย “นายท่านขอบคุณที่เผ่าเทพให้ความร่วมมือ ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว พวกข้าจะรอความสำเร็จของพวกท่านนะขอรับ”
กลับมายังเมืองล่องนภา
หยงเยี่ยหลิวกวงนั่งอยู่บนบัลลังก์ไม่ขยับเคลื่อน กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง
ขุนนางปักษาผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า “ฝ่าบาท เราเตรียมการเสร็จแล้ว เหลือแค่จับตัวคนทรยศพวกนั้น…”
“คนทรยศ…” หยงเยี่ยหลิวกวงครุ่นคิดกับคำพูดนั้น
ยังมีปักษาที่ศรัทธาในพระแม่และไม่ยอมจำนนต่อมนุษย์อยู่
พวกเขาเป็นคนทรยศแน่หรือ?
ในใจพวกเขา คงมองว่าเขาเป็นฝ่ายทรยศเสียมากกว่ากระมัง?
หยงเยี่ยหลิวกวงอดรู้สึกอยากหัวเราะขมขื่นในสถานการณ์น่าขันเช่นนี้ไม่ได้
“ฝ่าบาท?” ขุนนางเอ่ยคำเสียงระมัดระวัง
หยงเยี่ยหลิวกวงจึงได้สติแล้วเอ่ยเร็วไว “ไปจับพวกมันมา”
“ขอรับ!”
ในวันนั้นก็เกิดการเข่นฆ่านองเลือดขึ้นในเมืองล่องนภา
ปักษาชั้นสูงนับไม่ถ้วนถูกลากออกจากเรือนมายังกำแพงเมือง โดยมีการสอบปากคำและการประหารที่ไร้ปรานีรออยู่
ในตอนนั้น เผ่าเทพเพิ่งปิดหูปิดตาได้ไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ ราวกับว่าถูกวางแผนมาแล้ว
ภายในวังไร้ขอบเขต
ซูเฉินยืนอยู่บนศาลามองนภา กำลังพิจารณาบางสิ่งอยู่
ตอนนั้นเองที่กู่ชิงลั่วเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม และเอนตัวซบอีกฝ่ายด้วยความถวิลหา “ทุกอย่างเป็นไปตามแผนดี เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ?”
ซูเฉินเอื้อมมาดึงตัวภรรยาไปกอดอย่างนุ่มนวล “ไม่มีอะไร เพียงแต่คิดเรื่องที่เรากำลังจะท้าทายเผ่าเทพ เลยอดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้เท่านั้น”
กู่ชิงลั่วหัวเราะคิก “เจ้าเองก็กังวลเป็นเหมือนกันสินะ”
ซูเฉินไม่รู้จะเอ่ยคำใด
เขาจะไม่วิตกได้หรือ?
ไม่กังวลได้หรือ?
อย่างไรนั่นก็เป็นถึงเทพเจ้า กระทั่งเทพอสูรบรรพกาลยังไม่อาจเอาชนะพวกเขาได้เลย
แต่กระนั้นก็เป็นเหตุให้ซูเฉินอยากลองดู!
ไม่ว่าอย่างไรจะให้เผ่ามนุษย์ต้องตกเป็นทาสของเผ่าเทพไม่ได้!
เผ่ามนุษย์มีสิทธิ์ชี้ชะตาตนเอง!
แม้การตอบโต้กลับจะนำไปสู่ความทุกข์ความทรมานแสนสาหัสชั่วนิรันดร์ก็ตาม
คิดถึงจุดนี้ ใจซูเฉินก็เริ่มร้อนระอุขึ้นมา ความวิตกทั้งหลายเลือนหายไป เหลือไว้เพียงความอาจหาญ
กู่ชิงลั่วสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสามีตน
เขาคงตัดสินใจได้แล้วเป็นแน่
กู่ชิงลั่วยิ่งจับมือเขาแน่นขึ้น
ศึกครั้งนี้ต้องมีคนตายจำนวนมากแน่นอน
กระทั่งซูเฉินก็ยังเสี่ยงชีวิต ดังนั้นนางจึงไม่ยอมปล่อยมือเขาไป
จังหวะเดียวกันกับที่เกิดการเข่นฆ่าในเมืองล่องนภา และจังหวะที่ความตึงเครียดในวังไร้ขอบเขตดีดขึ้นถึงจุดสูงสุด ในป่ารกร้างอันกว้างขวางก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเช่นกัน
ค้างคาวสีเลือดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งกำลังบินอยู่ท่ามกลางป่าทุรกันดาร
หลังจากค้างคาวตัวเล็ก ๆ ตัวนั้นโฉบผ่านไป ก็มีร่างขนาดใหญ่กว่าไม่รู้กี่เท่าเริ่มโผล่ขึ้นมาจากพื้น ปลดปล่อยเสียงคำรามทรงพลังออกมา
สัตว์อสูรที่กำลังจำศีลจำนวนมากโผล่ขึ้นจากผืนพสุธา ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสุดเส้นขอบฟ้า
ไม่เกิดการต่อสู้หรือการนองเลือดขึ้นแต่อย่างใด จะมีก็แต่การเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดหย่อนเท่านั้น
มนุษย์บางคนที่ยังปวารณาตนเป็นผู้นับถือศรัทธาเทพในแดนต้นกำเนิดก็เริ่มสวดอ้อนวอนต่อทวยเทพแห่งตนอย่างแรงกล้า หมายจะกล่าววาจาถึงเทพเจ้าว่ากำลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นตรงหน้าพวกเขา
น่าเสียดายที่ท่านเทพของพวกเขาไม่อาจได้ยินเสียงร่ำร้องนั่นได้อีกต่อไป
สมอทะเลลึกทอดดิ่งลงสู่ทะเลพลังต้นกำเนิด และเคลื่อนผ่านรอยแยกปราการไป
เริ่มปรากฏค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมา
เทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลรุดหน้าต่อไป
และการตอบโต้จากแดนต้นกำเนิดก็ได้เริ่มขึ้นเช่นกัน