บทที่ 977 โลกเบื้องบนสั่นสะเทือน

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บนโลกเบื้องบน ยอดเขาเต๋าเทวะ มหาราชวังราชันแห่งมวลมนุษย์ ภูเขาฟีนิกซ์และกองกำลังที่มีชื่อเสียงอีกหลายฝ่ายต่างตั้งตารอคอยเวลาที่ลูกหลานของพวกเขาจะขึ้นมายังโลกเบื้องบนอย่างใจจดใจจ่อ

จากนั้นจู่ ๆ เหล่าตัวตนระดับสูงทั้งหลายต่างก็มุ่งหน้าไปที่เมืองเทียนเหลียง ซึ่งทางด้านของต้วนฉิงที่คอยจับตาดูสถานการณ์อยู่แล้วก็บินออกจากคำหนักไร้หทัยไปพร้อมกับอาวุธเต๋าของเขา ดาบสะบั้นกรรม มุ่งหน้าไปที่เมืองเทียนเหลียงเช่นกัน

ทางด้านของเมืองเทียนเหลียง หลังจากเย่เจียงไห่จากไปคราวก่อนเมืองเทียนเหลียงก็กลับเข้าสู่ความสงบเหมือนเดิม โดยปกติแล้วทุกยุคจะมีผู้สำเร็จเต๋าขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างประมาณไม่เกิน 10 คน และสถานที่ที่แต่ละคนถูกส่งตัวขึ้นมาก็จะสุ่มไปทั่วโลกไม่ซ้ำกัน ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่เย่เจียงไห่ปรากฏกายขึ้นที่นี่มันจึงนับได้ว่าเป็นวาสนาของเมืองเทียนเหลียงอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม วันนี้ทั้งเมืองเทียนเหลียงต่างตกตะลึงอีกครั้ง แถมครั้งนี้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันใหญ่มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ลำแสงหลากสี 9 สายพุ่งทะลวงลงมาจากท้องฟ้าประทับลงสู่พื้นดิน จากนั้นร่างของคน 9 คนก็ปรากฏขึ้น

บรรดาผู้คนของเมืองเทียนเหลียงต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้างพร้อมกับคิดในใจ

‘ที่โลกเบื้องล่างเกิดอะไรขึ้น? ทำไมผู้สำเร็จเต๋าพวกนี้ถึงขึ้นมาพร้อมกันจำนวนมากแบบนี้?’

ลงมือดีไหม?

หากพวกเขาลงมือฆ่าผู้สำเร็จเต๋าเหล่านี้สำเร็จ มันจะหมายถึงว่าพวกเขาที่ยังไม่สำเร็จเต๋า 9 คนจะได้กลายเป็นผู้สำเร็จเต๋า 9 คนแทนที่พวกที่ขึ้นมาโลกเบื้องบนพวกนี้ทันที

อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาสู้กันจริง ๆ พวกเขาจะชนะได้รึเปล่า? แล้วพวกคนเหล่านี้ที่ขึ้นมาเป็นลูกหลานของเหล่าคนใหญ่คนโตหรือไม่?

แต่แล้วก่อนที่พวกเขาจะทันได้ลงมือ รอยแยกมิติขนาดยักษ์ปรากฎขึ้นที่นอกเมืองเทียนเหลียงและพร้อมกันนั้นตัวตนที่มีพายุมิติรายล้อมล้อมกายก็ปรากฏขึ้น

บรรดาผู้คนของเมืองเทียนเหลียงรู้ได้ทันทีว่าคนที่เพิ่งมาถึงไม่ใช่ตัวตนธรรมดาที่พวกเขาจะสามารถล่วงเกินได้ คนผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่บ่มเพาะพลังมิติไปจนถึงจุดสุดยอดแล้วแน่นอน

จากนั้นก่อนที่ผู้คนของเมืองเทียนเหลียงจะทันได้หายจากอาการตกตะลึง ร่างของชายผู้หนึ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมสีเขียวที่บ่งบอกว่าเป็นนักพรตเต๋าก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มองลงมาที่กลุ่มคนผู้สำเร็จเต๋าที่เพิ่งขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างด้วยแววตาพึงพอใจ

“เจ้าแห่งพรตเต๋า…”

บรรดาผู้คนของเมืองเทียนเหลียงต่างคุกเข่าคำนับทันที

เมืองเทียนเหลียงนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของยอดเขาเต๋าเทวะ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เป็นอย่างดีว่านักพรตผู้นี้เป็นใคร

นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าแห่งพรตเต๋าถึงได้มาปรากฏกายขึ้นแบบนี้?

“ลูกศิษย์ของข้า หลังจากที่เจ้าถูกไอ้พวกคนโฉดนั่นลักพาตัวไปในที่สุดเจ้าก็หาหนทางกลับมาหาอาจารย์จนได้!” เจ้าแห่งพรตเต๋าเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงว่านถิงรู้ทันทีว่าคนที่ปรากฏกายขึ้นเป็นใคร นางยิ้มและพูดว่า “ท่านอาจารย์ข้ากลับมาแล้ว! ข้าขอบคุณจริง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ท่านส่งศิษย์พี่ลงไปดูแลข้า แต่ท่านอาจารย์ข้าคงต้องแจ้งกับท่านว่าแทนที่เขาจะลงไปดูแลข้า เขากลับเป็นคนสร้างความลำบากให้กับข้าในโลกเบื้องล่าง!”

เมื่อนางเห็นอาจารย์ที่แท้จริงของนางเอง นางรีบฟ้องเรื่องนี้ทันที

เจ้าแห่งพรตเต๋าแสดงสีหน้าหงุดหงิดทันที “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงไอ้ศิษย์พี่ไม่รักดีของเจ้าอีกแล้ว ข้าได้ไล่มันออกไปจากยอดเขาเต๋าเทวะแล้วเรียบร้อย นับจากนี้ไม่ว่ามันจะอยู่หรือว่าจะตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา! เอาล่ะเดี๋ยวอาจารย์จะพาเจ้ากลับไปที่ยอดเขาเต๋าเทวะของพวกเราเดี๋ยวนี้”

จากนั้นเจ้าแห่งพรตเต๋าหันไปหาซวนหยวน “ส่วนเจ้า ข้าไม่แน่ใจว่าวัน ๆ หนึ่งที่พวกเจ้าอยู่โลกเบื้องล่างพวกเจ้าทำอะไรกันบ้าง ทำไมพวกเจ้าถึงไม่มีใครสำเร็จเต๋าได้เลยมาเป็นหมื่น ๆ ปี? เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ!”

ซวนหยวนยิ้มอย่างขมขื่น “ผู้เยาว์ขออภัยที่ทำให้บรรพบุรุษต้องอับอาย!”

เมื่อเจอกับคำตำหนิเช่นนี้ เขาจะพูดอะไรได้มากกว่าขอโทษกัน?

เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วหนึ่งในผู้สำเร็จเต๋าคือศิษย์ของเจ้าแห่งพรตเต๋า ผู้คนของเมืองเทียนเหลียงต่างรู้สึกโล่งอกที่พวกเขาไม่ได้ลงมือทำอะไรไปก่อน หากเมื่อครู่พวกเขาลงมือไปป่านนี้พวกเขาคงตายกันหมดแล้วจริงไหม?

จากนั้นแค่เพียงครู่เดียวชายผู้หนึ่งที่สวมเสื้อคลุมมังกรสีทองก็ปรากฏตัวขึ้น

เมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่มาใหม่ หลิงยี่เทียนรีบเดินเข้าไปหาและคุกเข่าลงคำนับทันที “ข้าแน่ใจว่าท่านคงเป็นพ่อของข้าใช่ไหม?”

พวกเขาคือราชันแห่งมวลมนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นแค่มองปราดเดียวพวกเขาก็รู้แล้วว่าฝั่งตรงข้ามเป็นใคร

ราชันแห่งมวลมนุษย์ยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าในอนาคตเจ้าจะไปได้ไกลกว่าพ่อแน่นอน!”

ราชันแห่งมวลมนุษย์สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังแห่งความศรัทธาที่มีอยู่ในร่างของหลิงยี่เทียนนั้นหนาแน่นเป็นอย่างมาก ซึ่งมันทำให้เขาเดาได้ทันทีว่าหลิงยี่เทียนจะต้องประสบความสำเร็จมากกว่าเขาในอนาคต

หลิงยี่เทียนลุกขึ้น จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ในยุคนี้ข้ามีชัยเหนือสันเขาหมื่นอสูร ข้าพรากชีวิตเหล่าอสูรไปนับไม่ถ้วนช่วยเหลือชีวิตมนุษย์นับพันล้านให้รอดจากหายนะ และทำให้ภูมิภาคทั้งห้าไม่นับเขตแดนอุดรทมิฬถูกปกครองโดยเผ่ามนุษย์ของเรา”

“เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ” ราชันแห่งมวลมนุษย์หัวเราะเสียงดัง “วีรกรรมที่เจ้าทำเหนือกว่าพ่อในอดีตซะอีก!”

แต่แล้วจู่ ๆ เสียงพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นแทรกพร้อมกับร่างอันใหญ่โตมโหฬารของคุนเป๋งก็ปรากฏขึ้นไม่ไกลนักจากจุดที่ทุกคนยืนอยู่

คุนเป๋งจ้องเขม็งไปที่หลิงยี่เทียนอย่างไม่วางตาด้วยสายตาอาฆาต

“ตาเฒ่าคุนเป๋ง เจ้าคิดจะหาเรื่องข้างั้นเหรอ?” ราชันแห่งมวลมนุษย์หรี่ตามองไปที่คุนเป๋ง

“ลูกชายของเจ้าสังหารลูกหลานของข้าไปมากมาย ข้าไม่มีสิทธิ์โมโหรึไง?” คุนเป๋งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ราชันแห่งมวลมนุษย์หัวเราะ “มันเป็นเพราะลูกหลานของเจ้ารนหาที่ตายเองรึเปล่า? จงอย่าลืมว่าในโลกเบื้องล่างเผ่ามนุษย์ของข้าคือผู้ที่ดูแลทุกอย่าง!”

“อย่าคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป!” คุนเป๋งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไอ้หนูตอบคำถามข้ามา ไอ้แก่ฆาตกรนั่นอยู่ที่ไหน? เมื่อไหร่มันจะกลับขึ้นมาบนนี้?”

ก่อนที่หลิงยี่เทียนจะได้ตอบกลับ เสียง ๆ หนึ่งที่ทรงอำนาจและเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารก็ดังขึ้นตอบแทน “คุนเป๋ง เจ้าคิดถึงอาจารย์ของข้ามากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอถึงได้อยากให้เขากลับมาเร็ว ๆ ขนาดนี้?”

เมื่อหันไปเห็นว่าต้นเสียงคือตัวตนผู้โด่งดัง ต้วนฉิง ศิษย์เอกของเทพมรณะ บรรดาผู้คนของเมืองเทียนเหลียงต่างรู้สึกวิงเวียนศีรษะจนกือบจะหมดสติเพราะความกลัว

ด้วยชื่อเสียงความโหดเหี้ยมของต้วนฉิง พวกเขากลัวเป็นอย่างมากว่าต้วนฉิงจะคิดบัญชีกับพวกเขาจากสาเหตุที่พวกเขาแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อเย่เจียงไห่เมื่อก่อนหน้านี้

ตั้งแต่ตอนนั้นพวกเขาเข้าใจกันว่า เย่เจียงไห่ที่ขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างคือคนของตำหนักไร้หทัย

เมื่อเห็นต้วนฉิงค่อย ๆ เดินเข้ามาหา คุนเป๋งถอยออกไปอยู่ในระยะปลอดภัยและตั้งท่าเตรียมต่อสู้

คุนเป๋งมั่นใจว่าถ้ามันเปิดช่องว่างเมื่อไหร่ ต้วนฉิงจะต้องโจมตีมันแน่นอน ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกันมานาน ดังนั้นมันจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสุภาพต่อกัน

“เอาคำของข้าไปบอกอาจารย์สารเลวของเจ้าด้วย เมื่อมันกลับมาเมื่อไหร่ข้าจะงานเลี้ยงต้อนรับมันเป็นอย่างดี!” คุนเป๋งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอาฆาต

ต้วนฉิงหัวเราะ “ได้! เจ้ารีบกลับไปเตรียมงานเลี้ยงบ้า ๆ บอ ๆ ของเจ้าได้เลย อาจารย์ของข้าไปร่วมงานเลี้ยงของเจ้าแน่”

คุนเป๋งพ่นลมหายใจ “ดี! ข้าจะรอต้อนรับพวกเจ้าหวังว่าพวกเจ้าจะมาจริง ๆ ตามที่เจ้าโอ้อวด!”

เมื่อพูดจบมันบินจากไปในทันที

จุดประสงค์ที่แท้จริงที่มันมาที่นี่ก็เพราะมันอยากจะเห็นว่าหลิงตู้ฉิงขึ้นมาด้วยรึเปล่า แต่เมื่อมันเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้ขึ้นมาและพ่อแม่ของเหล่าเด็ก ๆ ก็มากันเกือบครบแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่กล้าทำอะไร

แน่นอนว่ามันไม่กล้าจะรั้งอยู่นานเพราะราชันแห่งมวลมนุษย์และตำหนักไร้หทัยนั้นนับได้ว่ามีสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดต่อกัน ขืนมันอยู่ต่อไปมันอาจจะถูกทั้งสองฝ่ายรุมโจมตีก็เป็นได้

ต่อมาหลังจากที่คุนเป๋งจากไปเพียงครู่เดียว ฟีนิกซ์สีทองร่างยักษ์ก็ปรากฏกายขึ้น