ตอนที่ 998 หอหมื่นอสูร

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

“ข้าเข้าใจ ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนักที่ช่วยให้สมปรารถนา” หลิ่วหมิงได้ยินก็ดีใจจนแสดงออกทางสีหน้าทันที

เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องหินจิตวิญญาณ หากอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยนั่นจะลำบากยิ่งนัก

ผู้เฒ่าชุดดำยิ้มน้อยๆ พลางโบกมือข้างหนึ่ง แสงสีเขียวดวงหนึ่งลอยออกมาจากแขนเสื้อ มันคือพังพอนน้อยขนสีเขียวตัวหนึ่ง

พังพอนน้อยม้วนตัวอยู่กลางอากาศ หลังจากแสงสีเขียวสว่างจ้า มันก็กลายเป็นหญิงสาวเยาว์วัยสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งลอยลงมาอย่างช้าๆ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในใจก็ประหลาดใจเล็กน้อย

“ลวี่ฉี่ พาศิษย์หลานหลิ่วคนนี้ไปหอหมื่นอสูรหน่อยเถิด เล่าเรื่องให้ศิษย์หลานซุนเข้าใจก็พอ” ผู้เฒ่าชุดดำสั่งเสียงเรียบ

“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว” เสียงของหญิงสาวชุดเขียวทั้งอ่อนโยนทั้งอ่อนหวาน

“รบกวนสหายแล้ว” หลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย เขาเพียงพยักหน้านิดๆ ให้หญิงสาวชุดเขียว

หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็คำนับผู้เฒ่าชุดดำอีกหนหนึ่งก่อนจะตามหญิงสาวชุดเขียวออกจากที่พักไป

“สี่ยอดนิกายใหญ่รากฐานมั่นคงนัก ในนิกายมีศิษย์ที่โดดเด่นมากมายนับไม่ถ้วน หลิ่วหมิงผู้นี้จิตสัมผัสแข็งแกร่งนัก เมื่อครู่เกือบถูกเขาจับร่องรอยของข้าได้แล้ว” หลิ่วหมิงกับหญิงสาวชุดเขียวเพิ่งเดินออกไปจากห้อง เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้น

จากนั้นแสงสีน้ำเงินก็ส่องสว่าง ข้างตัวผู้เฒ่าชุดดำปรากฏเงาคนสีน้ำเงินอ่อนร่างหนึ่ง ทั้งร่างถูกแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวชั้นหนึ่งล้อมเอาไว้ แลดูค่อนข้างลึกลับ

“วิชาลับซ่อนกายของเจ้าหลบได้กระทั่งผู้เฒ่าหมัวซินผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ แต่กลับหวิดจะถูกจับได้ ดูท่าคนผู้นี้จะไม่ใช่พวกดีแต่ชื่อ ก็ดี ครั้งนี้ถือว่าตอบแทนน้ำใจไป๋ฉี แล้วได้ผูกมิตรกับหลิ่วหมิงผู้นี้ด้วย” ผู้เฒ่าชุดดำเลิกคิ้วแล้วเอ่ยเช่นนี้

“เขาอสูรสวรรค์ของเราเพิ่งก่อตั้งนิกายมาสามหมื่นกว่าปีจึงยังเทียบกับนิกายยอดบริสุทธิ์สี่ยอดนิกายใหญ่เช่นนี้ไม่ได้ มิเช่นนั้นไยต้องจงใจผูกมิตรกับศิษย์สายในธรรมดาเช่นนี้” เงาคนกลางแสงสีน้ำเงินคล้ายจะแค่นเสียงเหอะอย่างดูแคลนอยู่บ้าง

ผู้เฒ่าชุดดำยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร

……

หลังจากหลิ่วหมิงออกจากถ้ำที่พักของฮั่วชั่น เขาก็ขี่เมฆเหาะตามหญิงสาวชุดเขียวเข้าไปในเทือกเขาอสูรสวรรค์

ระหว่างทางหญิงสาวเหมือนจะสนใจหลิ่วหมิงยิ่งนัก นางถามนู่นถามนี่ไม่หยุด ส่วนใหญ่หลิ่วหมิงล้วนเงียบไม่เอ่ยวาจา บางครั้งถึงจะตอบประโยคสองประโยค ทำให้หญิงสาวชุดเขียวรู้สึกหมดสนุกอย่างยิ่ง

เขาอสูรสวรรค์กว้างใหญ่ยิ่งนัก แม้เทียบไม่ได้กับเทือกเขาหมื่นวิญญาณของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลานานนับอนันต์ แต่เทียบกับเทือกเขาหยกฝันของตระกูลโอวหยางก็ไม่ด้อยกว่าเท่าไร

หลังเวลาชั่วมื้ออาหาร พวกหลิ่วหมิงก็มาถึงท้องฟ้าเหนือหุบเขาสูงชันแห่งหนึ่ง

“สหายหลิ่ว หอหมื่นอสูรอยู่ใต้หุบเขาแห่งนี้” หญิงสาวชุดเขียวชี้นิ้วดุจแท่งเทียนไปใต้หุบผา ขณะที่ดวงตาทอประกายประหลาด

“หอหมื่นอสูรอยู่ที่นี่หรือ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ร่างกายเหาะไปเหนือหุบผาแล้วมองลงไป สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

เทือกเขาสองฝั่งของหุบเขาแคบแห่งนี้ไม่สูงแต่ขรุขระและตัดชัน มันเหมือนกับอสรพิษร่างยาวสองตัวกำลังเลื้อยล้อมฐานหุบเขาที่เป็นรูปกระสวยไว้ตรงกลาง

ฐานของหุบเขาแคบแห่งนี้มีหมอกเมฆสีขาวจางๆ ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อมองทะลุเมฆหมอกไปจะเห็นสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ไม่ธรรมดาที่ก่อจากศิลาสีน้ำเงินทั้งหลังสร้างพิงเขาจนเหมือนฝังอยู่บนกำแพงศิลามีเพียงส่วนหนึ่งโผล่ออกมาด้านนอก

บนกำแพงศิลาสองฝั่งซ้ายขวาประตูใหญ่ของสิ่งก่อสร้างต่างสลักภาพปีศาจอสูรที่ดูราวกับมีชีวิตไว้หกตัว ดวงตาปีศาจอสูรทอแสงเรืองๆ ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าซ่อนชั้นจำกัดบางอย่างไว้

ตรงประตูใหญ่ของสิ่งก่อสร้างมีป้ายศิลายักษ์แผ่นหนึ่งตั้งอยู่ มันสลักตัวอักษรสีแดงตัวใหญ่ไว้ว่า ‘หอหมื่นอสูร’

หลังหลิ่วหมิงอ่านจบ คิ้วเรียวก็เลิกขึ้น ร่างกายขยับเหาะลงไปทันที

ตอนนี้เองเมฆหมอกเบื้องล่างพลันปั่นป่วน วิหคประหลาดที่ผอมจนติดกระดูกและมีปีกสีน้ำเงินเข้มตัวหนึ่งทะลวงออกมา มันอ้าปากกว้างหมายจะกลืนหลิ่วหมิงลงไป

วิหคตัวนี้เร็วดุจสะเก็ดไฟแลบ พริบตาเดียวก็อยู่ห่างหลิ่วหมิงไม่ถึงสองสามจั้ง

หลิ่วหมิงปฏิกิริยาว่องไวอย่างที่สุด พริบตาที่วิหคประหลาดปรากฏตัว มือของเขาก็ทำท่าเคล็ดวิชา ร่างกายเลือนหายวูบเดียวพุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้ง หลบพ้นการโจมตีของวิหคประหลาดง่ายดายดุจยกฝ่ามือ ปล่อยให้มันพลาดเป้าอย่างสิ้นเชิง

หญิงสาวชุดเขียวมองหลิ่วหมิงเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย ทันใดนั้นบนฝ่ามือนางก็ส่องแสงสีขาว ป้ายคำสั่งสีทองแดงแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นนางก็แกว่งเบาๆ ใส่วิหคประหลาดที่เหมือนยังอยากจะเข้าโจมตีอยู่

ป้ายคำสั่งส่องแสงสีขาวขึ้นวูบหนึ่งในทันใด!

วิหคประหลาดเห็นเช่นนี้ก็หยุดโจมตีทันที แววตาดุร้ายเหลือบมองหญิงสาวแวบหนึ่ง ศีรษะสีน้ำเงินเข้มก็ผงกครั้งสองครั้งก่อนที่มันจะกางปีกหมุนตัวบินกลับเข้าไปในหุบเขาแคบ หายไปไม่เห็นร่องรอย

“ขออภัย เมื่อครู่ลืมบอกสหายหลิ่วไป สถานที่สำคัญต่างๆ ของเขาอสูรสวรรค์ล้วนมีอสูรจิตวิญญาณลอบเฝ้าอยู่ นอกหอหมื่นอสูรแห่งนี้ก็คือวิหคปีกกระดูกระดับผลึกขั้นปลายตัวนี้ ไม่ว่าผู้ใดพยายามเข้าใกล้ล้วนจะถูกมันโจมตี” หญิงสาวเม้มปากยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมา

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นจึงผ่อนคลายลง

เห็นชัดว่าสตรีนางนี้ใช้เรื่องนี้เป็นการแก้แค้นเล็กๆ สำหรับเรื่องที่ถูกเขาเมินเมื่อครู่ แต่เขาอยู่ที่นิกายของผู้อื่น อีกทั้งกำลังขอร้องผู้อื่นอยู่จึงไม่สะดวกถือสานาง เขากระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“วิหคตัวนี้รู้จักเก็บงำลมปราณทั้งหมดบนร่าง ข้าตกใจจนสะดุ้งจริงๆ นี่ก็เป็นวิชาลับฝึกอสูรของเขาอสูรสวรรค์หรือ?”

“สหายพูดอะไรกันเล่า วิหคปีกกระดูกเป็นอสูรธาตุหยินที่หายาก เกิดมาก็มีพลังในการเก็บซ่อนลมปราณอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่วิชาลับอันใดของเขาอสูรสวรรค์” หญิงสาวชุดเขียวเม้มปากยิ้ม จากนั้นใต้ร่างก็ปรากฏแสงสีเขียวแถบหนึ่งเหาะลึกเข้าไปในหุบเขาแคบ

หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจก็จิ๊ปากเอ่ยชม

เขาเองก็นับว่าเป็นคนรอบรู้ ทว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินนามวิหคปีกกระดูกนี้มาก่อน เขาอสูรสวรรค์ไม่เสียทีเป็นนิกายใหญ่ในด้านการควบคุมอสูร ถึงกับใช้อสูรประหลาดเช่นนี้เฝ้าสถานที่สำคัญของนิกายไว้

พร้อมกับที่ในใจเขาทอดถอนใจ เขาก็ยิ่งคาดหวังกับการเดินทางมาเยือนหอหมื่นอสูรครั้งนี้ บนร่างเปล่งแสงสีดำ เหาะตามหญิงสาวชุดเขียวเข้าไปในหุบเขาแคบ

ระหว่างที่หลิ่วหมิงเหาะลงมา เขาก็พบว่าท่ามกลางหมอกสีขาวในหุบเขาแคบมีเงาดำเคลื่อนไหวอยู่รางๆ วิหคปีกกระดูกที่ซุ่มซ่อนอยู่ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว ไม่รู้ว่าเพราะป้ายคำสั่งในมือหญิงสาวชุดเขียวเมื่อครู่หรือไม่ วิหคประหลาดเหล่านี้จึงไม่ได้โผเข้ามา

หลายลมหายใจหลังจากนั้นหลิ่วหมิงกับหญิงสาวชุดเขียวก็ร่อนลงบนลานกว้างเบื้องหน้าประตูของหอหมื่นอสูรตามต่อกัน

สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านรูปสลักนูนของปีศาจอสูรบนกำแพงศิลาสองฝั่งของประตูใหญ่อย่างเร็วไว จากนั้นเดินตามหญิงสาวชุดเขียวไปที่ประตูใหญ่

รอบประตูศิลาของหอหมื่นอสูรไม่มีผู้ใดเฝ้า หญิงสาวชุดเขียวเรียกป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมาแกว่งอีกครั้ง ประตูศิลาก็เปิดออกเสียงดัง

หญิงสาวชุดเขียวหันกายมาพยักหน้าให้หลิ่วหมิงจากนั้นจึงพาเขาเดินเข้าไป

ตรงกลางห้องโถงใหญ่คือโต๊ะยาวตัวหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนผู้หน้าซีดอยู่บ้างคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง เขากำลังอ่านตำราเล่มหนาอย่างขะมักเขม้น เมื่อได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้นมา สายตากวาดผ่านบนร่างหญิงสาวชุดเขียวแล้วจับจ้องอยู่บนร่างของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผิวหนังของเขาจุดที่ถูกสายตาของบุรุษวัยกลางคนมองเจ็บแปลบเลือนรางราวกับถูกไฟเผา

บุรุษวัยกลางคนใบหน้าซีดเซียวผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นสมบูรณ์คนหนึ่ง ลมปราณบนร่างคลับคล้ายกับระดับดาราพยากรณ์

“ผู้อาวุโสซุน ผู้นี้คือหลิ่วหมิงจากนิกายยอดบริสุทธิ์ เขาต้องการเข้าหอหมื่นอสูรเพื่อหาข้อมูลบางอย่าง ผู้อาวุโสฮั่วชั่นอนุญาตแล้ว” หญิงสาวชุดเขียวคำนับบุรุษวัยกลางคนครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยแจ้ง จากนั้นริมฝีผากก็ขมุบขมิบส่งกระแสจิตเอ่ยอีกสองสามประโยค

“หอหมื่นอสูรเปิดให้เฉพาะศิษย์เขาอสูรสวรรค์เท่านั้น คนของนิกายอื่นเข้าไม่ได้ แต่ในเมื่อผู้อาวุโสฮั่วตกลงแล้ว ตามที่เคยเป็นมาแต่ละชั่วยามต้องจ่ายหินจิตวิญญาณห้าแสนก้อน แล้วถ้าหากต้องการคัดลอกคัมภีร์หรือตำราเล่มใดด้านในต้องจ่ายอีกต่างหาก เจ้าเข้าใจชัดไหม?” บุรุษวัยกลางคนวางตำราในมือลงแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ขอรับ ผู้เยาว์เข้าใจกระจ่างแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้า แต่ในใจกลับอดบ่นไม่ได้

หนึ่งชั่วยามต่อหินจิตวิญญาณห้าแสนก้อน หนึ่งวันก็หกล้านก้อน แม้นี่จะเป็นเพียงเงินเล็กน้อยสำหรับเขา แต่ราคานี่ก็ซื้อต้นแบบอาวุธเวทสักชิ้นในโลกภายนอกได้เลยทีเดียว หอหมื่นอสูรแห่งนี้ช่างดำมืดจริงๆ

“นำความมาบอกเรียบร้อยแล้ว ถ้าเช่นนั้นบ่าวขอตัว” หญิงสาวชุดเขียวคำนับอย่างอ่อนช้อยครั้งหนึ่ง มองหลิ่วหมิงแวบหนึ่งจากนั้นก็ลอยขึ้นฟ้าจากไปอย่างรวดเร็ว

“ตำราทั้งหมดอยู่ชั้นบน เจ้าไปค้นหาเองเถิด ตอนออกมาค่อยคิดหินจิตวิญญาณทีเดียว หากหินจิตวิญญาณไม่พอก็เอาอสูรจิตวิญญาณที่เอวเจ้ามาแทน” บุรุษวัยกลางคนโยนป้ายคำสั่งสีขาวแผ่นหนึ่งให้หลิ่วหมิง จากนั้นสายตาก็กวาดผ่านถุงอสูรจิตวิญญาณสองใบตรงเอวหลิ่วหมิงแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างขะมักเขม้นต่อโดยไม่สนใจอีก

หลิ่วหมิงรับป้ายคำสั่งมาแล้วคำนับครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็อ้อมโต๊ะยาว เดินขึ้นบันไดไม้ด้านหลังเขาขึ้นไปยังชั้นสองโดยไม่พูดพร่ำคำใดอีก

ชั้นสองของหอหมื่นอสูรกว้างขวางสว่างไสวอย่างยิ่ง มันกว้างถึงหลายหมู่ ชั้นหนังสือสูงเรียงรายเป็นแถว มีมากถึงห้าหกร้อยแถว บนนั้นวางตำรากระดาษ คัมภีร์ไม้ไผ่ไว้กองแล้วกองเล่าอย่างเป็นระเบียบ แล้วยังมีชั้นหนังสืออีกส่วนหนึ่งวางคัมภีร์หยกไว้จำนวนหนึ่งด้วย

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองก็พบว่าบนชั้นหนังสือมีแสงของชั้นจำกัดสีขาวชั้นหนึ่งครอบไว้ เบื้องหน้าชั้นหนังสือแต่ละชั้นมีตัวอักษรโบราณขนาดเล็กระบุไว้เช่น อสูรเดินดิน แมลง วิหค ปีศาจสมุทร หมานฮวงเป็นต้น

หลิ่วหมิงพยักหน้าอยู่เงียบๆ ดูท่าเขาอสูรสวรรค์จะแบ่งข้อมูลของปีศาจอสูรชนิดต่างๆ เอาไว้อย่างดีเพื่อให้ศิษย์ที่มาเยือนหาอ่านได้สะดวก

ตำราที่นี่อย่างน้อยก็มีนับหมื่นเล่ม แต่ห้องสมุดมหึมาในเวลานี้กลับมีศิษย์เขาอสูรสวรรค์น้อยนิดเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่อ่านหนังสืออยู่ ศิษย์สองคนที่ยืนอยู่ใกล้บันไดเหลือบมองหลิ่วหมิงแวบหนึ่ง แล้วละสายตาไปอย่างไม่ใส่ใจ อ่านตำราในมือต่อ

หลิ่วหมิงไม่ได้รีบร้อนไปเปิดตำราอ่าน เขามองสำรวจตำราและคัมภีร์หยกบนชั้นหนังสือรอบด้าน

ตำรามากมายเช่นนี้มีบางส่วนที่ปกเริ่มซีดเหลืองแล้ว เห็นชัดว่าเป็นของที่อยู่มานมนาน

หลังจากเขาสำรวจชั้นสองคร่าวๆ รอบหนึ่ง เขาก็พบบันไดไม้ที่ขึ้นไปยังชั้นสามตรงมุมของชั้นสองแต่บนบันไดมีชั้นจำกัดอยู่ เขาลองยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่ป้ายคำสั่งในมือแต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นผล

หลิ่วหมิงถามศิษย์เขาอสูรสวรรค์ที่กำลังอ่านตำราอยู่ใกล้ๆ คนหนึ่งจึงทราบว่าสิ่งที่อยู่บนชั้นสามล้วนเป็นวิชาลับควบคุมอสูรที่เขาอสูรสวรรค์เก็บเอาไว้ ศิษย์ธรรมดาหากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสจะเข้าไปอ่านไม่ได้

หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจวิชาของเขาอสูรสวรรค์แต่อย่างใด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เดินไปยังส่วนที่วางตำราเกี่ยวกับปีศาจอสูรจำพวกวิหค แล้วแกว่งป้ายคำสั่งในมือเล็กน้อย แสงพิสุทธิ์สายหนึ่งพุ่งออกมาตกต้องบนชั้นหนังสือชั้นหนึ่ง

“ปัง” ชั้นจำกัดสีขาวบนชั้นหนังสือแหวกออกเป็นช่องว่าง

หลิ่วหมิงก้าวเข้าไปดึงตำราหนาเล่มหนึ่งออกมาแล้วเปิดอ่านทันที