ตอนที่ 999 ฟักไข่ล้มเหลว

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

หลิ่วหมิงอยู่ในหอหมื่นอสูรจนลืมเวลา

หลังจากผ่านไปห้าวันเต็มๆ แสงสีดำสายหนึ่งก็เหาะออกมาจากยอดเขายักษ์ที่ประตูใหญ่ของเขาอสูรสวรรค์ตั้งอยู่ มันพุ่งวูบเดียวกลายเป็นเงาคนสีดำร่างหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า หลิ่วหมิงนั่นเอง

ใบหน้าเขาดูเรียบเฉยนิ่งสงบ แต่ในใจกลับตื่นเต้นจนยากจะกดเอาไว้ แขนเสื้อสะบัดเบาๆ ครั้งหนึ่ง เรือหยกที่ทอแสงสีขาวลำหนึ่งก็ลอยอออกมา

หลิ่วหมิงพุ่งวูบเดียวขึ้นไปด้านบน “ฟึบ” จากนั้นเรือก็แหวกท้องฟ้าเหาะเร็วรี่จากไปไกล

เมื่อเขาเดินทางเหน็ดเหนื่อยกลับมาถึงเทือกเขาหมื่นวิญญาณก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าให้หลังแล้ว

ทันทีที่เขาเหยียบเข้ามาในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ เขาก็ตรงไปยังตลาดของนิกายโดยไม่แวะพัก

เกือบครึ่งวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงจึงมาถึงหอนานัปการของนิกาย เขาเสียแต้มคุณูปการไม่น้อยแลกกับของบางอย่างแล้วกลับไปยังถ้ำที่พักบนยอดเขาลั่วโยวทันที หลังเปิดชั้นจำกัดทั้งหมดอย่างไม่ยอมเสียเวลา เขาก็เข้าไปหมกตัวในห้องลับ

“นายท่าน ท่านหาความเป็นมาของไข่สีทองฟองนั้นพบแล้วหรือ?” ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ เสียงลุ้นระทึกของเซียเอ๋อร์ก็ดังออกมาจากถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ

ระหว่างที่อยู่ในเขาอสูรสวรรค์ เขาจงใจให้อสูรเลี้ยงสองตัวนี้หลับอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณด้วยกลัวว่าพวกมันทั้งสองจะถูกยอดฝีมือของเขาอสูรสวรรค์สนใจเข้า ดูท่าเซียเอ๋อร์จะตื่นขึ้นมาแล้ว

“นับว่าเดินทางไม่เสียเที่ยว” หลิ่วหมิงตอบกลับมาอย่างนิ่งสงบ เขายกแขนเสื้อขึ้น บนพื้นพลันมีวัตถุดิบกองหนึ่งปรากฏออกมา

หลังจากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือ แสงสีทองสว่างวูบ ไข่อสูรสีทองอ่อนที่เหมือนไข่ของอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎฟองก็ปรากฏขึ้น

เขามองไข่อสูรสีทองในมือแล้วเผยสีหน้าพึงพอใจออกมาเล็กน้อย

ครั้งนี้เขาลงทุนไปมากโข เวลาห้าวันเสียหินจิตวิญญาณไปสามสิบล้านเต็มๆ หลังจากอ่านข้อมูลกับหนังสือภาพเกี่ยวกับปีศาจอสูรนับไม่ถ้วนในหอหมื่นอสูร ในที่สุดเขาก็พบตำราโบราณที่ค่อนข้างเก่าเล่มหนึ่งบอกว่าไข่ที่คล้ายไข่ฝ่อใบนี้หาใช่ไข่ของอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎไม่ แต่เป็นไข่ของ ‘ซือเฉิน’ อสูรประหลาดสมัยโบราณที่สาบสูญจากแผ่นดินจงเทียนไปเนิ่นนานแล้ว

ซือเฉินเป็นอสูรประหลาดชนิดหนึ่งในโลก มันหน้าตาคล้ายกับไก่ตัวผู้ แต่ขนาดร่างกายมหึมากว่ามาก

อสูรตัวนี้เป็นหนึ่งในอสูรประหลาดจำนวนน้อยที่อาศัยอยู่ได้ทั้งในโลกคนเป็นและโลกวิญญาณ ซือเฉินที่โตเต็มที่อย่างแท้จริงไม่เพียงเป็นดาวข่มภูตผีวิญญาณทุกชนิด แต่ยังครอบครองพลังในการเดินทางข้ามโลกคนเป็นกับโลกคนตายอีกด้วย

แต่อสูรประหลาดตัวนี้เติบโตยากเย็นยิ่งนัก ต้องดูดซับปราณหยินบริสุทธิ์พร้อมกับปราณจิตวิญญาณฟ้าดินจากโลกคนเป็นจึงจะฟักออกมาแล้วเติบโตอย่างแท้จริงได้

หากอสูรตัวนี้ดูดซับแต่เฉพาะปราณหยิน ไม่ได้ดูดซับปราณจิตวิญญาณ สุดท้ายมันจะกลายเป็นอสูรมืดที่น่ากลัวตัวหนึ่ง ไม่เพียงดุร้ายกระหายเลือดแต่ยังไม่อาจปรากฏตัวใต้แสงตะวันอีกด้วย ในทางตรงกันข้ามหากมันดูดซับแต่ปราณจิตวิญญาณของโลกคนเป็น ไม่ได้ดูดซับปราณหยิน มันก็จะกลายเป็นอสูรจิตวิญญาณธรรมดาตัวหนึ่งและสูญเสียพลังที่มีมาแต่กำเนิดมากมายไป

ทว่าซือเฉินสาบสูญไปตั้งแต่ยุคโบราณ ดังนั้นข้อมูลที่ตกทอดมาจึงน้อยจนน่าเวทนา มีแต่นิกายใหญ่ทางด้านการควบคุมอสูรเช่นนี้อย่างเขาอสูรสวรรค์เท่านั้นที่มีข้อมูลเกี่ยวกับอสูรตัวนี้อยู่บ้าง

จากสิ่งที่บันทึกไว้ในตำราโบราณเล่มนั้น ไข่ของอสูรซือเฉินขณะที่ยังไม่ฟักจะแทบไม่มีคลื่นพลังชีวิตใดๆ จนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นไข่ฝ่อใบหนึ่งได้ง่ายดายยิ่งนัก แต่การที่ไข่อสูรล้ำค่าเช่นนี้ถูกทิ้งไว้อย่างไม่ไยดีคงจะต้องมีเหตุผลอื่นแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลิ่วหมิงต้องใส่ใจในตอนนี้

สิ่งที่หลิ่วหมิงสนใจคือหากฟักอสูรประหลาดซือเฉินตัวนี้ออกมาได้ พลังแต่กำเนิดในการข่มภูตผีของมันย่อมมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนภายภาคหน้าของเขาอย่างมากแน่นอน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกไม่นานหลังจากนี้เขาคิดจะเข้าไปในทางปีศาจร้าย

ที่บังเอิญก็คือส่วนท้ายของตำราโบราณเล่มนั้นบันทึกวิชาลับที่จะกระตุ้นไข่ซือเฉินให้มีชีวิตไว้ด้วย นี่เป็นสาเหตุที่หลิ่วหมิงรีบร้อนออกมาจากเขาอสูรสวรรค์เช่นนี้

หลังจากหลิ่วหมิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก็พลิกมือเรียกชามหยกขาวใบน้อยใบหนึ่งออกมา แล้ววางไข่อสูรสีทองลงไปในชามอย่างระมัดระวัง

จากนั้นเขาก็วางขวดหยกใบหนึ่งลงบนพื้น รินของเหลวสีเงินจำนวนเล็กน้อยลงในชามหยก กลิ่นคาวเบาบางสายหนึ่งลอยอบอวลในห้องลับทันที

หลิ่วหมิงหลับตาทั้งสองข้าง ทบทวนกระบวนการหลอมในสมองอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอ้าปากพ่นพลังเวทบริสุทธิ์สายหนึ่งลงไปในชามหยก

“พรึ่บ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ท่ามกลางของเหลวสีเงินฉับพลันมีดวงไฟสีเงินอ่อนลุกไหม้

หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก ผงกระดูกสีเหลืองอ่อนกล่องหนึ่งบนพื้นลอยขึ้นมาสาดผสานเข้าไปในเพลิงสีเงิน หลังจากนั้นก็ตามด้วยศิลามืดสีเทาก้อนหนึ่งที่แผ่ปราณหยินจางๆ  และก้านหญ้าจิตวิญญาณหนาเท่าสามนิ้วมือ…

หลังจากใส่วัตถุดิบสิบกว่าชนิดลงไปในชามหยกอย่างต่อเนื่อง ลูกไฟสีเงินในชามก็ขยายใหญ่กลายเป็นเปลวเพลิงสูงหนึ่งฉื่อกว่า พร้อมกับที่สีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน

หลิ่วหมิงทำท่าเคล็ดวิชาด้วยมือทั้งสองข้าง ยิงเคล็ดวิชาหลายสายออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นชี้นิ้วใส่แสงสีเหลืองแล้วตวาดออกมาเบาๆ

เปลวเพลิงสีทองอ่อนลุกโหมสองสามครั้งก่อนจะหดเล็กลงอย่างเชื่องช้า ขณะที่สีสันสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ

ไข่อสูรสีทองเริ่มหลอมละลายอย่างเชื่องช้า เมื่อเปลวเพลิงสีทองลามเลีย ไข่ใบน้อยขนาดเท่าไข่ไก่ที่บนผิวมีจุดสีขาวจางๆ ก็เริ่มแผ่แสงเรืองๆ ไข่อสูรที่เดิมทีไม่มีพลังชีวิตสักนิดเริ่มแผ่ลมปราณของสิ่งมีชีวิตออกมาเลือนราง

เขาแสดงสีหน้ายินดีแล้วลอบโล่งใจอยู่เงียบๆ เขาอสูรสวรรค์รู้เกี่ยวกับวิชาลับนี้จริง จากนั้นเขาก็กัดปลายลิ้นจนเป็นแผลพ่นเลือดบริสุทธิ์คำหนึ่งออกมาแล้วโบกมือยิงเคล็ดวิชา

โลหิตบริสุทธิ์ก้อนนี้หมุนติ้วแล้วค่อยๆ รวมตัวกลายเป็นยันต์โบราณสีแดงสดตัวหนึ่งกลางอากาศ

เขาท่องมนตร์ ยันต์ค่อยๆ ก่อตัวชัดขึ้นจากนั้นผสานเข้าไปในไข่อสูรด้านล่างอย่างเชื่องช้า

หลิ่วหมิงสีหน้าผ่อนคลายลง สิบนิ้วที่สองมือแปรเปลี่ยนประหนึ่งวงล้ออยู่พักหนึ่ง เขาก็ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกไปควบคุมเปลวเพลิงสีทองในชามให้หุ้มไข่อสูรสีทองไว้

ตามที่วิชาลับนั้นกล่าวไว้หลังจากสลักยันต์กักพลังจิตวิญญาณที่สร้างจากโลหิตบริสุทธิ์ของผู้ฝึกฝนลงไปในไข่อสูรของซือเฉินแล้วต้องหลอมอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน พลังชีวิตในไข่ของซือเฉินจึงจะถูกปลุกขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย หลังจากนั้นเกือบครึ่งวัน เปลือกของไข่อสูรสีทองในชามหยกก็เริ่มแผ่พลังชีวิตลักษณะคล้ายยางที่เหนียวข้นขึ้นเรื่อยๆ ออกมา

สายตาของหลิ่วหมิงไม่ละจากไข่อสูรสักนิด เมื่อเห็นสถาการณ์เช่นนี้ ในใจก็มีไฟขึ้นมาเล็กน้อย

ทว่าในตอนนี้เอง ฉับพลันไข่อสูรก็สั่นไหวอย่างรุนแรง แสงสว่างบนผิวทอแสงสับสน พลังชีวิตด้านในเริ่มไม่มั่นคง

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด สองมือทำท่าเคล็ดวิชาอย่างต่อเนื่อง ต้องการหาวิธีทำให้มันมั่นคง

แต่ไข่อสูรสั่นไหวรุนแรงขึ้นทุกที จากนั้นเสียง “ฟุบ” แผ่วเบาก็ดังขึ้น จุดสีขาวบนไข่อสูรฉับพลันสิ้นแสง จากนั้นอ่อนตัวละลายหายไป

เปลวเพลิงสีทองในชามหยกดับลงพร้อมเสียงดังกึกก้อง ควันสีดำลอยขโมงขึ้นมา ไข่อสูรส่งกลิ่นที่พิกลบางอย่างออกมาคล้ายกลิ่นคาวปลา แต่ก็คล้ายกลิ่นสาบสัตว์ ประหลาดอย่างยิ่ง

หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ สีหน้าก็เขียวคล้ำในทันที เขาจ้องชามหยกตรงหน้าเขม็ง

ความผิดปกติของไข่อสูรเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนเขาทำอันใดไม่ทันทั้งสิ้น เขาขบคิดอย่างรวดเร็วแต่ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเกิดปัญหาที่ตรงไหน ทว่าเห็นได้ชัดว่าการกระตุ้นพลังชีวิตครั้งนี้เหมือนจะล้มเหลวแล้ว

ในตอนนี้เองถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวเขากลับขยับปูดนูน “ฟึบ” ปราณสีดำม้วนตัวออกมา ห่อหุ้มไข่อสูรไว้ด้านในภายในพริบตา จากนั้นเสียงหงุบหงับก็ดังออกมาจากด้านใน

หลิ่วหมิงตาโตอ้าปากค้าง!

ด้านในปราณสีดำแมงป่องขนาดเท่าฝ่ามือกำลังอ้าปากเขมือบไข่ของซือเฉินอยู่ เพียงไม่กี่ครั้งก็กลืนทั้งหมดเข้าไปในท้อง

“เซียเอ๋อร์!”

หลิ่วหมิงตกตะลึง เขารีบร้อนตะโกนเรียก แต่แมงป่องกระดูกเหมือนไม่ได้ยิน หลังจากกลืนไข่อสูรของซือเฉินลงไป ร่างกายก็โอนเอนราวกับดื่มสุราจนเมามายไปพิงอยู่กับขอบ จากนั้นร่างกายก็อ่อนยวบฟุบลงไปหลับลึกทันที

หลิ่วหมิงรีบปล่อยจิตสัมผัสออกไปตรวจสอบสภาพของแมงป่องกระดูกหลายครั้ง แต่พบว่ามันเพียงแค่หลับใหลเท่านั้นจริงๆ ไม่มีความผิดปกติอื่นใดจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

“นายท่าน พี่สาวเซียเอ๋อร์เป็นอะไรไป?” ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณอีกใบหนึ่งขยับ เฟยเอ๋อร์กลายร่างเป็นเด็กชายเหาะออกมา เขาโคลงศีรษะมองแมงป่องกระดูกที่หลับใหลอยู่ในชามแล้วถามงึมงำ

“ข้าก็ไม่รู้ชัดนัก น่าจะเป็นเพราะลมปราณของไข่อสูรที่ฟักล้มเหลวฟองนี้ไปกระตุ้นสัญชาตญาณบางอย่างของเซียเอ๋อร์เข้า…” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยเดา

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!” เฟยเอ๋อร์ได้ยินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

ผลปรากฏว่าครั้งนี้เซียเอ๋อร์หลับไปนานสามวันสามคืน จนกระทั่งเช้าตรู่วันที่สี่นางจึงกลายร่างเป็นหญิงสาวแล้วได้สติคืนมา

หลิ่วหมิงฝึกฝนอยู่ในห้องลับอีกห้องหนึ่งอยู่ตลอด หลังจากสัมผัสลมปราณได้ว่าเซียเอ๋อร์ตื่นแล้วจึงก้าวเร็วไวเข้ามา ปรากฏว่าทันทีที่เห็นเซียเอ๋อร์เขาก็อดไม่ได้หลุดปากพูดขึ้น

“เซียเอ๋อร์ หน้าผากของเจ้า…”

ตรงกลางหว่างคิ้วของหญิงสาวมีสัญลักษณ์มงกุฎสีทองที่ไม่ทราบว่าคือสิ่งใดเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“นายท่าน ข้าเป็นอะไรไป? มึนศีรษะไปหมด…” เซียเอ๋อร์นวดหน้าผาก ใบหน้าเผยสีหน้างุนงง

“เจ้ากินไข่อสูรซือเฉินที่ฟักล้มเหลวลงไปแล้วหลับไปสามวันเต็มๆ” หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา

“ข้าเหมือนจะจำได้อยู่รางๆ ว่า…ได้กลิ่นประหลาด หลังจากนั้นสติก็พร่าเลือน…” เซียเอ๋อร์พยายามนึกย้อน แต่เห็นชัดว่าเปล่าประโยชน์

ระหว่างที่สนทนา หลิ่วหมิงก็ใช้จิตสัมผัสสำรวจร่างกายของเซียเอ๋อร์อย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากหน้าผากของนางที่มีสัญลักษณ์มงกุฎสีทองเพิ่มขึ้นมาดวงหนึ่งก็ไม่มีความผิดปกติที่อื่นเป็นพิเศษอีก

ตัวเซียเอ๋อร์เองก็ไม่รู้สึกว่าในร่างผิดปกติอย่างใด

หลิ่วหมิงคิดแล้วคิดอีกก็ไม่เข้าใจ จึงได้แต่เลิกคิดเรื่องนี้ไปชั่วคราว

เขาเก็บกวาดห้องลับพักหนึ่งก็เก็บเซียเอ๋อร์เข้าไปในถุงอสูรจิตวิญญาณข้างเอว เตรียมจะออกจากถ้ำที่พักไปคารวะอินจิ่วหลิง

นับดูตั้งแต่การเดินทางในเศษซากโลกบนจบลง เขาก็มีธุระสารพันเรียงรายเข้ามาจนไม่ทันได้มาเยี่ยมเยือนอาจารย์คนนี้ ในใจรู้สึกละอายอยู่บ้าง

เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง ณ วิหารใหญ่บนยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงนิ่งหลังตรงอยู่บนตำแหน่งประธานมองหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ

“หลิ่วหมิง การเดินทางในเศษซากโลกบนครั้งนี้ เจ้าทำความชอบใหญ่หลวง ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงให้แก่ยอดเขาลั่วโยวอีกครั้ง เมื่อวานนิกายยังมอบต้นห้วงสมุทรวิญญาณที่เจ้านำกลับมาจากเศษซากโลกบนมาให้ เป็นเช่นนี้มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของศิษย์ยอดเขาลั่วโยวยิ่งนัก”