ตอนที่ 1000 หวนคืนชื่อที่แท้จริง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

“อาจารย์ชมเกินไปแล้ว ศิษย์เพียงมีโชคพอใช้เท่านั้นจึงโชคดีได้ของดีมาเล็กน้อย” หลิ่วหมิงตอบอย่างนอบน้อม

“เอาล่ะ หลิ่วหมิง! เจ้าไม่ต้องถ่อมตัวเกินไป ด้วยพลังตอนนี้ของเจ้า ในหมู่ศิษย์สายในมีน้อยคนนักจะเทียบได้ เมื่อผ่านการฝึกปรือระหว่างเดินทางในเศษซากโลกบนครั้งนี้ พลังก็คงก้าวหน้าไม่น้อย ไม่รู้ว่าเจ้าวางแผนฝึกฝนต่อไปอย่างไร?” อินจิ่วหลิงโบกมือให้เขาแล้วเอ่ยเช่นนี้

“ศิษย์คิดจะเก็บตัวทะลวงคอขวดสักหน่อย หากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งยังหาโอกาสเข้าสู่ระดับแก่นแท้ไม่ได้ ศิษย์คิดจะเข้าไปในทางปีศาจร้าย” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“อืม เรื่องฝึกฝน เจ้าทำตามแผนการของตนได้ หากต้องการสิ่งใดก็มาหาอาจารย์ได้ตลอดเวลา” อินจิ่วหลิงฟังแล้วก็พยักหน้า

“ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนัก” หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับ

หลังจากนั้นอินจิ่วหลิงก็ถามเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเศษซากโลกบนอีกเล็กน้อยแล้วส่งหลิ่วหมิงออกไป

เมื่อกลับมาถึงถ้ำที่พักหลิ่วหมิงก็เปิดชั้นจำกัดที่ประตูถ้ำแล้วหมกตัวอยู่ในห้องลับ เก็บตัวฝึกฝนไม่ยอมออกมา

หลังจากหลิ่วหมิงเริ่มเก็บตัวไม่นาน ทั่วทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์ก็เล่าลือข่าวที่จินเทียนชื่อเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์แล้วกลับมาใช้ชื่อจินเลี่ยหยาง!

ต้องรู้ว่าชื่อจินเลี่ยหยางนี้เมื่อเจ็ดถึงแปดร้อยปีก่อนเป็นบุคคลผู้เป็นตำนานเลื่องลือบนแผ่นดินจงเทียน ทั้งยังโด่งดังต่อเนื่องนานร้อยกว่าปี

วันนี้เมื่อเขากลับมาอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนอีกครั้ง เขาย่อมกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ทุกคนในนิกายกระตือรือร้นจะคุยบนโต๊ะน้ำชาหลังอาหาร

ในห้องโถงข้างแห่งหนึ่งบนยอดเขากระบี่สวรรค์ ชายหนุ่มผู้สวมอาภรณ์ไหมและกวานหยกคนหนึ่งนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้หยกสีเขียวล้วน ดวงตาเขาทอประกายระยิบระยับไม่หยุด ข้างกายเขามีสตรีกระโปรงสีม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ นางก็คือหลงเหยียนเฟย

“คิดไม่ถึงว่าเลิกเก็บตัวครั้งนี้จะได้ข่าวจินเทียนชื่อฟื้นกลับมาระดับดาราพยากรณ์ ก็ไม่รู้ว่าการเดินทางบนเศษซากโลกบนครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงทำให้เขาคลายผนึก…ใช่แล้ว การไปเศษซากโลกบนครั้งนี้เจ้าก็ไปด้วย รู้หรือไม่ว่าที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ชายหนุ่มผู้สวมกวานหยกก็คืออวี้เหิงเจินเหรินผู้ควบคุมยอดเขากระบี่สวรรค์นั่นเอง เขาเอ่ยถามขึ้นนิ่งๆ

“ตอบผู้อาวุโส ยามนั้นศิษย์ถูกแบ่งไปอยู่กับกลุ่มของศิษย์พี่ฉิว ต่อมาจึงได้รู้จากพวกศิษย์น้องหลัว เรื่องที่พวกเขาถูกพวกต่างเผ่ากลุ่มหนึ่งดักโจมตีระหว่างสำรวจซากโบราณสถานแห่งหนึ่ง แล้วศิษย์พี่จินคลายผนึกเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์เพื่อปกป้องศิษย์น้องคนอื่น แต่ศิษย์พี่จินกลับเป็นจินเลี่ยนหยางในตำนาน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” หลงเหยียนเฟยเอ่ยตอบตามจริง แต่นางยังคงประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องจินเลี่ยนหยาง

“เฮ้อ หากไม่ใช่เพราะเรื่องไม่คาดฝันเมื่อยามนั้น ด้วยพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของเขา นิกายของเราไม่แน่อาจมีผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน…ส่วนต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดของนิกาย ข้าไม่สะดวกเล่าอย่างละเอียด การเดินทางไปเศษซากโลกบนครั้งนี้กล่าวได้ว่าอันตรายยิ่งนัก…” ชายหนุ่มผู้สวมกวานหยกฉับพลันเปลี่ยนประเด็นถามขึ้นมา

หลงเหยียนเฟยรู้สถานการณ์จึงไม่ถามมาก นางเริ่มเล่าเจื้อยแจ้วถึงสิ่งที่ได้พบได้เห็นระหว่างหนึ่งปีนี้บนเศษซากโลกบนให้อวี้เหิงเจินเหรินฟัง

……

ในศาลาแปดเหลี่ยมหลังหนึ่งตรงไหล่เขาของยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ ศิษย์แห่งยอดเขาสวรรค์ลี้ลับผู้สวมอาภรณ์ไหมสีเงินหลายคนกำลังรวมตัวกันอยู่ พวกเขากำลังสนทนาออกรสถึงบางสิ่ง

ในหมู่คนเหล่านี้ชายหนุ่มหน้าหมดจดคนหนึ่งในนั้นเหมือนจะเป็นหัวหน้า คนผู้นี้ก็คือหลัวเทียนเฉิงผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณตูเทียนนั่นเอง

“จินเทียนชื่อก็คือผู้อาวุโสจินเลี่ยนหยางคนนั้นในสมัยนั้น พวกเจ้าว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่?” ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา

“สมัยข้าเพิ่งเข้าสู่นิกายสายในเคยได้ยินศิษย์พี่ฟ่านเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ของเขา จิ๊ๆ เขาเป็นเป้าหมายที่ข้าพยายามไปให้ถึงเชียวนะ!” ชายหนุ่มอ้วนเตี้ยอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้านับถือ

“ใช่แล้ว เทียนเฉิง ได้ยินว่าการเดินทางบนเศษซากโลกบนครั้งนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดหลายคนของนิกายสายในตั้งใจให้เขากดระดับพลังเพื่อปกป้องศิษย์หน้าใหม่ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” ศิษย์รูปร่างค่อนข้างสูง หน้าตาโฉดชั่วอีกคนหนึ่งฉับพลันหันมาถามหลัวเทียนเฉิง คนผู้นี้ก็คือฟ่านเจิ้งลูกพี่ลูกน้องของหลัวเทียนเฉิงที่เคยขัดแย้งกับหลิ่วหมิงนั่นเอง

“ในซากโบราณสถาน ศิษย์พี่เทียนชื่อพลังเพียงระดับแก่นแท้ก็ต้านทานมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์จากแผ่นดินว่านหมัวได้แล้ว ดูจากจุดนี้ หากเขาคือจินเลี่ยหยางจริงข้าก็รู้สึกว่าไม่แปลกอันใด แต่ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่เทียนชื่อหน้าตาแตกต่างจากจินเลี่ยนหยางอย่างสิ้นเชิง เรื่องนี้กลับแปลกอยู่บ้าง” หลัวเทียนเฉิงตอบอย่างนิ่งสงบ แต่ในดวงตาฉายแววสงสัย

……

แม้หลิ่วหมิงเก็บตัวอยู่ แต่ก็ยังได้รับข่าวจากหลงเหยียนเฟย เขาจึงรู้เรื่องนี้เช่นกัน

จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้เขาก็เคยเสียเวลาคิดหาความจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมลึกลับมากมายของจินเทียนชื่อ รวมถึงระดับพลังที่ก้าวหน้าพรวดพราดของเขา แต่ข้อมูลเกี่ยวกับจินเทียนชื่อในนิกายน้อยยิ่งกว่าน้อย กระทั่งเขาสังกัดยอดเขาไหนก็ไม่มีใครรู้ เขาจึงไม่ได้สืบเรื่องนี้ต่อ

ยามนี้ได้รู้ว่าเขาคือจินเลี่ยนหยาง นี่ทำให้ในใจเขารู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง

คิดไม่ถึงว่าศิษย์ลับผู้ปรากฏตัวหมื่นปีครั้งของนิกายยอดบริสุทธิ์คนนี้กลับเคยยุ่งเกี่ยวกับตนหลายครั้งเช่นนี้

เขานึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่พบเขา รวมถึงเรื่องราวน่าสงสัยที่ไม่ได้รับคำตอบมากมายหลังจากนั้น ยามนี้ทั้งหมดล้วนไขกระจ่าง

ในเมื่อวันนี้จินเทียนชื่อกลับคืนสู่ฐานะของจินเลี่ยนหยางแล้ว ย่อมจินตนาการถึงตำแหน่งในนิกายของเขาได้ วันหน้าเกรงว่าคงยุ่งเกี่ยวกับตนน้อยยิ่งกว่าน้อย

หลิ่วหมิงถอนหายใจอีกครั้งแล้วหลับตาทั้งสองข้างใหม่ ตั้งสมาธิฝึกฝนต่อ

ฝึกฝนไม่สนวันคืน เวลาสามปีผ่านไปราวกับดีดนิ้ว

ในระหว่างนี้หลิ่วหมิงออกจากถ้ำที่พักเพียงครั้งเดียวเมื่อตอนเจียหลานทะลวงผ่านคอขวดอย่างราบรื่น เวลาที่เหลือเขาล้วนหมกตัวอยู่ในห้องลับตั้งใจฝึกฝน

แม้เป็นเช่นนี้ ตัวเขาที่พลังเวทในร่างบรรลุถึงสภาพสูงสุดแล้วถึงจะลองสารพัดวิธี สุดท้ายก็ยังไม่พบโอกาสผนึกแก่นแท้

แต่เขาฝึกวิชาลับโล่โลหิตที่ได้มาจากเศษซากโลกบนจนสำเร็จขั้นต้นแล้ว อีกทั้งยังอาศัยวิชาปรุงโอสถที่ตนค่อนข้างชำนาญ ทดลองปรุงปะการังเจ็ดสีต้นนั้นกับหญ้าตามวิญญาณอายุพันปีเป็นโอสถสงบจิตระดับธรรมดาเม็ดหนึ่งได้สำเร็จ

แต่สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดที่สุดก็คือจนกระทั่งวันนี้หลัวโหวก็ยังไม่ตื่น ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองสักนิด ตอนนั้นอีกฝ่ายเคยสัญญาว่าจะใช้กรงขังช่วยเขา ซึ่งนั่นก็เป็นความช่วยเหลือที่สำคัญที่สุดในการผนึกแก่นแท้ของเขาด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้หลังจากเขาครุ่นคิดจึงตัดสินใจไปหาอินจิ่วหลิงอาจารย์ของตนเพื่อปรึกษาสักหน่อย เขาคิดว่าจะเข้าไปในทางปีศาจร้ายเลย อย่างไรเวลาที่เขาเหลืออยู่ก็มีจำกัด

จะว่าไปแล้วคนมากมายก็ติดอยู่ในระดับแก่นเสมือนเพราะตามหาโอกาสผนึกแก่นแท้ไม่ได้ หลายสิบปีจนไปถึงนับร้อยปีก็ไม่แปลกอันใดนัก อย่างไรผู้ฝึกฝนระดับผลึกร้อยคนสุดท้ายมีสักคนเลื่อนขั้นเป็นระดับแก่นแท้ได้ก็นับว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว

ก็เพราะเหตุผลนี้ คนบางส่วนจึงรีบร้อนอยากประสบผลสำเร็จจนสุดท้ายหยิบยืมพลังภายนอกฝืนทะลวงแก่นแท้ เช่นนั้นเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะผนึกได้แก่นแท้ระดับล่างสามทวาร นับจากนี้หนทางการฝึกฝนย่อมหยุดอยู่เท่านี้

แต่สถานการณ์เช่นนี้พบค่อนข้างบ่อยในหมู่ผู้ฝึกฝนอิสระ ในนิกายใหญ่อย่างเช่นนิกายยอดบริสุทธิ์ เพราะมีทรัพยากรมากมาย ศิษย์ส่วนใหญ่จึงค้นหาโอกาสผนึกแก่นแท้จากวิธีการฝึกปรือต่างๆ นานา หากไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ยืมพลังภายนอกฝืนผนึกแก่นแท้เด็ดขาด

ด้านข้างวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว ในห้องโถงด้านข้างที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง อินจิ่วหลิงกำลังหารือกับหลิ่วหมิงเรื่องการเข้าไปในทางปีศาจร้าย

“อาจารย์ ตอนนี้ศิษย์เก็บตัวฝึกฝนมาสามปีแล้วก็ยังไม่อาจหาโอกาสทะลวงขึ้นสู่ระดับแก่นแท้ได้ ศิษย์คิดว่าจะเข้าไปฝึกปรือในทางปีศาจร้ายสักครั้ง ตามหาโชควาสนา” หลิ่วหมิงประสานมือทั้งสองข้างแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เอาเถิด เจ้าไปฝึกปรือในทางปีศาจร้ายนั่นสักครั้งเถอะ อาจารย์จะยื่นขอต่อนิกายสายในให้เจ้า นี่คือตราของข้า เจ้าจงเก็บเอาไว้ อีกอย่างเสี่ยวอู่จากไปครั้งนี้ก็นานหลายสิบปีแล้ว พอดีเจ้าจะได้ไปดูนางสักหน่อยว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรกันแน่” อินจิ่วหลิงฟังแล้วก็พยักหน้า หลังจากกำชับหลายประโยคก็ยกมือขึ้น ป้ายคำสั่งที่ทอแสงสีเลือดขมุกขมัวแผ่นหนึ่งพุ่งออกมาจากในแขนเสื้อของเขา

“ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนัก ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นกำป้ายคำสั่งไว้ในมือ แล้วประสานมือเอ่ยตอบ

“ก่อนเข้าไป พยายามเตรียมพร้อมให้มาก แม้สี่ยอดนิกายใหญ่ล้วนส่งคนไปเฝ้า อีกทั้งยังมีของจำเป็นสารพัดสิ่งขาย แต่เพราะของจำเป็นที่ต้องใช้ในทางปีศาจร้ายมีมากมายนัก ราคาของพวกมันจึงแพงอย่างยิ่งขณะที่คุณภาพกลับต่ำต้อย แล้วยังเกิดสถานการณ์ของขาดบ่อยครั้ง อีกเรื่องหนึ่งหญ้าจิตวิญญาณกับสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีประโยชน์ต่อการทะลวงระดับแก่นแท้จำไว้ว่าต้องพกติดตัวตลอดเวลาเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่มาถึงกะทันหัน คว้าโอกาสผนึกแก่นแท้ที่มาถึงได้ทันท่วงที” อินจิ่วหลิงเอ่ยเตือนอย่างนิ่งสงบ

หลิ่วหมิงประสานมือเอ่ยขอบคุณอีกครั้งก่อนจะบอกลาอินจิ่วหลิง จากนั้นก็ขี่เมฆแหวกท้องฟ้ามุ่งไปยังตลาดในนิกาย

หลังจากนั้นครึ่งวันเต็ม หลิ่วหมิงก็เดินเอื่อยเฉื่อยออกมาจากตลาดของนิกาย

ร่างกายของเขาในตอนนี้ คุณภาพข้าวของในตลาดของนิกายไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของเขาได้เลย โอสถจิตวิญญาณและสมุนไพรจิตวิญญาณระดับต่ำเหล่านั้นเขาไม่ชายตาแล ส่วนของระดับกลางหรือระดับสูงก็น้อยยิ่งกว่าน้อย โอสถที่มีอิทธิฤทธิ์ยอดเยี่ยมในการรักษาส่วนใหญ่ต้องอาศัยแลกแต้มคุณูปการที่วิหารไท่เจินของนิกาย

ด้วยเหตุนี้เขาจึงซื้อเพียงยันต์กับโอสถที่จำเป็นบางส่วนเท่านั้นแล้วมุ่งหน้าไปวิหารไท่เจิน

ที่นั่นเขาอาศัยแต้มคุณูปการล้านแต้มที่ตนได้รางวัลมาในครั้งนี้แลกสมุนไพรจิตวิญญาณจำนวนมาก ในเวลาเดียวกันก็แลกโอสถจิตวิญญาณกับสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีประโยชน์ในการทะลวงแก่นแท้อยู่บ้างมาหลายอย่างโดยไม่สนราคาแพงลิบลิ่ว อย่างไรเสียโอกาสผนึกแก่นแท้ก็เป็นสิ่งที่ต่อให้ปรารถนาก็หาไม่ได้ หากพบพานเข้า เขาย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านไป

สามวันให้หลัง หลิ่วหมิงก็เตรียมทุกสิ่งพร้อมสรรพแล้วเดินทางออกจากถ้ำที่พักไปอีกครั้ง

เนื่องจากตอนนี้หลิ่วหมิงมีชื่อเสียงโด่งดังในนิกาย เป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย ดังนั้นเรื่องที่หลิ่วหมิงจะเข้าไปในทางปีศาจร้ายอย่างไม่เสียดายแต้มคุณูปการล้านแต้มจึงเล่าลือกระจายไปอย่างรวดเร็ว

“หลิ่วหมิง เจ้าหนูคนนี้จะเข้าไปในทางปีศาจร้ายแล้ว น่าเสียดายที่ข้ายังขาดอีกนิดหนึ่งถึงจะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน น่าชังนัก!”

ในห้องลับของถ้ำที่พักแห่งหนึ่งบนยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ หลัวเทียนเฉิงกำยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งไว้ในมือ เขานั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าไม่ใคร่ยินดีแล้วเอ่ยกับตนเองอย่างเย็นชา

ในถ้ำที่พักอันเร้นลับอีกแห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ ชายหนุ่มผู้สวมชุดทองหลวมโพรกคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่

ทันใดนั้นตาสองข้างก็ปรือลืมขึ้น ละอองแสงดาวบนร่างไหลวนไม่หยุด

คนผู้นี้ก็คือจินเลี่ยหยางที่เข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ไม่นานก่อนหน้านี้

“ในที่สุดเจ้าหนูหลิ่วหมิงก็จะเข้าไปในทางปีศาจร้ายแล้ว หากราบรื่น พบกันอีกครั้งเจ้าหนูคนนี้คงจะเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว ไม่เลวๆ! น่าเสียดายเลื่อนระดับครั้งนี้มีงานของนิกายกองโตต้องจัดการ มิเช่นนั้นคงจะข้ามไปดูฝั่งนั้นสักหน่อย นับดูก็ไม่ได้ไปเนิ่นนานแล้ว” จินเลี่ยหยางหัวเราะฮ่าๆ แล้วเผยสีหน้าจนปัญญาเล็กน้อยขณะที่เอ่ยพึมพำ