บทที่ 1026 ปีนเกียวอีกครั้ง + ตอนที่ 1027 เหมยเมหยคือเจ้าหญิงตัวน้อยตลอดไป

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1026 ปีนเกียวอีกครั้ง + ตอนที่ 1027 เหมยเมหยคือเจ้าหญิงตัวน้อยตลอดไป โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 1026 ปีนเกียวอีกครั้ง

 เหมยเหมยเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นเต้น  เหยียนหมิงซุ่นมองเธออยู่อย่างยิ้มๆ  ขยับกายเล็กน้อยแล้วยื่นมือออกไปโอบเอาคนสวยเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด

“ก็บอกเธอแล้ว…”

เหมยเหมยคล้องคอชายหนุ่มไว้ด้วยความพึงพอใจ ราวกับดีใจปนหงุดหงิด แต่ก็คล้องอยู่แบบนั้นจนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวซ่านที่หัวใจ ไวกว่าความคิดริมฝีปากก็กดลงจูบริมฝีปากสีแดงระเรื่อด้วยความห่วงหาอาทร

“อืมม…”

ราวกับเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พอเห็นเหมยเหมยเหมือนเริ่มจะขาดอากาศหายใจ เหยียนหมิงซุ่นถึงได้ยอมปล่อยเธอ อีกทั้งยังมองเธอด้วยรอยยิ้ม แต่เจ้ามือบ้าที่ไม่รักดีก็เอาแต่ลูบไล้ขึ้นไปเรื่อยๆ

“เพี้ยะ”

เหมยเหมยฟาดมือใส่เขาด้วยความโกรธระคนอาย พร้อมพูดขึ้นว่า “…พี่อย่าเอาแต่จับมั่วๆ…เดี๋ยวก็เป็นทุกข์อีกหรอก…”

ทุกครั้งที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง เหยียนหมิงซุ่นก็จะเป็นทุกข์จนแทบทนไม่ไหว เธอเห็นดังนั้นก็รู้สึกร้อนรนไปหมด เหยียนหมิงซุ่นลอบมองที่ข้อมือ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย พรุ่งนี้เหมยเหมยยังต้องไปเรียน ตัวเขาเองจะวุ่นวายมากก็ไม่ดี ช่างเถอะ ปล่อยยัยตัวแสบไปก่อนก็แล้วกัน!

พรุ่งนี้เขาค่อยกลับมาให้เร็วหน่อย…

เมื่อเห็นว่าเหยียนหมิงซุ่นดึงมือกลับอย่างว่าง่าย เหมยเหมยจึงลอบถอนหายใจเบาๆ แต่ก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจเล็กน้อยเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป

“พี่หมิงซุ่น คราวนี้พี่กลับมาอยู่กี่วัน?” เหมยเหมยมองเหยียนหมิงซุ่นอย่างมีหวัง

“ราว ๆ ครึ่งเดือน”

ฉับพลันนั้นเหมยเหมยก็รู้สึกดีใจจนออกนอกหน้า “ตาแก่จอมวิปริตเกิดเมตตาอะไรเข้าล่ะ ถึงยอมปล่อยให้พี่ได้หยุดหลายวันขนาดนี้” แต่ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ได้จางหายไป พลางเอ่ยถาม “ตาแก่จอมวิปริตนั่นคงไม่ได้แนะนำผู้หญิงให้พี่อีกใช่ไหม?”

เมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกของหญิงสาว เหยียนหมิงซุ่นจึงหลุดขำ พลางบีบจมูกของเหมยเหมยเบา ๆ “มีสิงโตตัวเมียอย่างเธออยู่ จะมีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าใกล้พี่ได้ล่ะ!”

เหมยเหมยกรอกตามองเขาอย่างระอา พลางบ่นออกมาว่า “ถึงยังไงก็ไม่อนุญาตให้พี่ไปคุยกับผู้หญิงคนอื่น พี่คุยกับฉันได้แค่คนเดียว”

เหยียนหมิงซุ่นเห็นท่าทีหึงหวงที่หาได้ยากของเหมยเหมย พลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ซึ่งแตกต่างไปจากท่าทีที่น่าสงสารของเธอในวัยเด็ก

ทั้งคู่ต่างพูดเย้าหยอกกันไปสักพัก เหมยเหมยจึงได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะร่วมมือกับสำนักพิมพ์ซิงซิง แต่เหยียนหมิงซุ่นก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก “เอาที่เหมยเหมยสบายใจเลย แต่ในช่วงที่เซ็นสัญญา จะต้องมีทนายหม่าอยู่ด้วย”

ทนายหม่าคือคนที่เขาตั้งใจเลือกมา เมื่อก่อนเคยเป็นเพื่อนในสนามรบด้วยกันกับเสี่ยวเหมิง หลังจากปลดประจำการก็สอบติดโรงเรียนกฎหมาย ตอนนี้เป็นทนายที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง มีทนายหม่าช่วยสอดส่อง เหยียนหมิงซุ่นถึงจะวางใจได้

“อืม พี่หมิงซุ่นฉันมีอะไรจะบอก ไม่กี่วันที่ผ่านมาฉันจัดการโอหยางซานซาน…”

เหมยเหมยพูดถึงเรื่องที่เธอได้สั่งสอนโอหยางซานซานอย่างร่าเริง และเรื่องของจูเหว่ยก็ถูกพูดรวมไปด้วย เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้สนใจเรื่องโอหยางซานซาน แต่พอเขาได้ยินว่าจูเหว่ยคิดไม่ซื่อกับผู้หญิงของตน แววตาก็พลันดุดันขึ้นมาในพริบตา แต่เพียงชั่วขณะก็กลับมาเป็นปกติ

“มีความเคลื่อนไหวทางฝั่งเฮ่อเหลียนเช่อ เหมยเหมย ตระกูลจ้าวอาจจะถึงคราวโชคร้ายเสียแล้ว”

เหยียนหมิงซุ่นดูมีท่าทีจริงจังเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้บอกให้เหมยเหมยรับรู้จะดีกว่า ให้เธอได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ

เหมยเหมยเลิกคิ้ว พลางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “นายใหญ่ถูกโค่นเหรอ?”

ตามความเป็นจริงคุณปู่ของตระกูลจ้าวก็คือคนสนิทของนายใหญ่ หากไม่ทิ้งร่องรอยหรือจุดอ่อนไว้ ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องกับตระกูลจ้าวได้ แต่ในตอนนี้…

เหยียนหมิงซุ่นส่ายหน้าไปมา พร้อมเอ่ย “ปัญหาอยู่ที่คุณอาสองของเธอ เฮ่อเหลียนเช่อเจอความผิดของอาสองเข้า”

“ความผิดอะไร?”

“จ้าวอิงสยงทุจริตต่อเงินเดือนทหาร ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่มาก” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยขึ้น

เหมยเหมยเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ จ้าวอิงสยงทุจริตเงิน?

เป็นไปได้ยังไง?

จ้าวอิงสยงและหานซู่ฉินสองสามีภรรยาต่างเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ ของกินของใช้ก็ดูจะเรียบง่าย สิบกว่าปีที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้น หากว่าจ้าวอิงสยงทุจริตเงินเดือนทหาร แล้วเงินที่เขาทุจริตมาเอาไปใช้ทำอะไร?

“จ้าวอิงสยงเป็นแขกประจำของสโมสรหมายเลขหนึ่ง โดยที่เขาใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีคู่ขาเป็นตัวเป็นตน เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยมาก” เหยียนหมิงซุ่นอธิบาย ดวงตาของเหมยเหมยพลันเบิกตากว้าง

………………………………………………..

ตอนที่ 1027 เหมยเมหยคือเจ้าหญิงตัวน้อยตลอดไป

 บุคคลที่เหยียนหมิงซุ่นกำลังเอ่ยถึงคือคนที่มีมานะอดทนและเรียบง่าย มักบอกกับลูกชายเสมอว่าอย่าได้ลืมตน อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่มักจะบอกให้เชฟหยวนทำอาหารแห่งความทรงจำ[1]อยู่บ่อยครั้ง คนอย่างจ้าวอิงสยงเนี่ยนะ?

“พี่หมิงซุ่น พี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? อาสองเนี่ยแม้แต่ถุงเท้าที่มีรูพรุนยังไม่ยอมทิ้งมันเลย ท่านจะกล้าใช้จ่ายเงินก้อนโตอย่างฟุ่มเฟือยได้ยังไง? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…”

เหมยเหมยส่ายหน้าไปมา เธอไม่อาจเชื่อได้ว่าจ้าวอิงสยงจะเป็นคนแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นนายทหารเก่าที่มีความจริงจังและละเอียดมาก!

แต่เธอเองก็ไม่มีทางที่จะไม่เชื่อเหยียนหมิงซุ่น จึงขมวดคิ้วแน่นไม่วาง

“พี่หมิงซุ่น ตระกูลจ้าวจะเป็นยังไงเหรอ?” เหมยเหมยเอ่ยถาม

เหยียนหมิงซุ่นกระตุกยิ้มอย่างผ่อนคลาย พลางลูบศีรษะของเธออย่างแผ่วเบา พร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้เฮ่อเหลียนเช่อยกเรื่องนี้ขึ้นมาข่มขู่คุณปู่ของเธอ พี่คิดว่าปู่ของเธอน่าจะประนีประนอมได้ อาสองและอาสามของเธออาจจะถูกลดตำแหน่งมั้ง จากตระกูลชั้นหนึ่งลดลงมาอยู่ในชั้นสามชั้นสี่ กระทั่งอาจจะไม่เหลือ”

เหมยเหมยที่ได้ยินว่าไม่ถึงกับชีวิต จึงเลิกกังวลไปโดยปริยาย “เขาจะอยู่ระดับไหนก็ช่าง ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้สนใจ ขอแค่พี่หมิงซุ่นเป็นที่หนึ่งก็พอแล้ว”

การประจบสอพลอเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอนั้นได้ผลจนเหยียนหมิงซุ่นรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วร่าง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจได้ เหมยเหมยคือเจ้าหญิงตัวน้อยตลอดไป จะไม่มีใครกล้ารังแกเธอ!”

เหมยเหมยแอบอิงพิงซบอยู่ในอกล่ำบึกของชายหนุ่ม พร้อมกับจามออกมาไม่กี่ครั้ง แววตาเริ่มพร่ามัว ริมฝีปากเจือไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน มือของเหยียนหมิงซุ่นค่อย ๆ สัมผัสเข้าที่ใบหน้าอันบอบบางและเรียบเนียนของหญิงสาว อุ้งมือสาก ๆ ที่สัมผัสทำให้เหมยเหมยใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทรา

เหยียนหมิงซุ่นส่ายหน้าพร้อมฉีกยิ้ม เดิมทีตั้งใจจะพูดถึงตระกูลจ้าวกับเหมยเหมย แต่กลับเป็นแบบนี้ไปเสียได้ เกรงว่าพูดไปเธอก็คงจะไม่รับรู้มัน พรุ่งนี้ค่อยคุยอีกทีก็แล้วกัน

เขาจูบลงบนหน้าผากของหญิงสาว จากนั้นก็วางเหมยเหมยไว้บนเตียง พร้อมห่มผ้าให้ และจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์

สถานการณ์ของตระกูลจ้าวในตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก คงต้องบอกว่าย่ำแย่เอามาก

ภายในห้องหนังสือ ชายชรามีสีหน้าซีดเขียว มองจ้าวอิงสยงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยสายตาผิดหวัง ด้านข้างยังมีจ้าวอิงหย่งยืนอยู่ด้วย

“พ่อครับ ขอร้องช่วยผมด้วย พ่ออย่าเอาแต่ไม่สนใจลูกสิ…”

จ้าวอิงสยงปราศจากความน่าเกรงขามในอดีตจนหมดสิ้น รูปลักษณ์ดูน่าสมเพชเวทนา กอดขาชายแก่ไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้โฮ ราวกับเด็กที่ร้องขอลูกกวาด

จ้าวอิงหย่งเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “พี่สองมาร้องไห้เอาตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นเหมือนวันนี้ ทำไมยังทำอีก?”

จ้าวอิงสยงไม่ได้เอ่ยปากแต่อย่างใด ได้แต่ร้องไห้อ้อนวอนต่อคุณปู่จ้าว เขารู้ คนที่จะช่วยเขาได้ในตอนนี้ มีเพียงแค่ชายชราในบ้านเขาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาได้ ดังนั้นเขาจะต้องกอดไว้ให้แน่นสิ!

คุณปู่จ้าวที่ได้เห็นท่าทีไร้ที่พึ่งของเขาจึงเกิดอารมณ์โมโห ยกเท้าถีบไปอย่างหนักหน่วง แต่ตัวเขาเองกลับเหนื่อยหอบแฮก ๆ ช่วงสามปีมานี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สมรรถภาพทางร่างกายถึงลดลงไปทุกที แค่ชกต่อยเป็นชุดก็รู้สึกเหนื่อยไปหมด

หากเป็นเมื่อก่อนอย่าว่าแต่ชกหมัดเป็นชุดเลย  ต่อให้เป็นหมัดชกติดต่อกันระรัวยังไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยเลย ราวกับเขากำลังจะกลับเข้าสู่อาการป่วยในตอนนั้นอีกครั้ง

ชายชรายังนับได้ว่าแข็งแรง แต่หญิงชรานั้นยิ่งย้ำแย่เข้าไปใหญ่ มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองปีก่อน ร่างกายของเธอกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ในหนึ่งปีต้องนอนอยู่บนเตียงนานนับครึ่งปี อีกทั้งความอยากอาหารก็ลดลง ทรุดลงอย่างรวดเร็ว

ทีมแพทย์ที่คอยดูแลตระกูลจ้าวมาหลายสิบปีต่างลงความเห็นส่วนตัว ซึ่งเกรงว่าคุณย่าอาจจะอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปี จึงได้บอกให้คนในตระกูลจ้าวเตรียมใจเอาไว้

ส่วนคุณปู่จ้าวนั้น ด้วยพื้นฐานร่างกายของเขาแข็งแรงกว่าคุณย่าอยู่แล้ว รวมถึงหลายเดือนที่ผ่านมามีเหมยเหมยคอยป้อนยาให้ เพราะงั้นเขาถึงไม่ล้มง่าย ๆ แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีนัก

จ้าวอิงหย่งประคองคุณปู่จ้าวไว้ ลอบมองใบหน้าของผู้เป็นพ่อที่มีริ้วรอยแห่งวัย รวมถึงผิวพรรณที่หย่อนคล้อย เขารู้สึกไม่สบายใจเอามาก และยิ่งโกรธแค้นต่อจ้าวอิงสยงมากกว่าเดิม

คุณปู่จ้าวลอบสูดหายใจเข้าปอดให้ลึก พร้อมเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น “แกอยากให้ฉันช่วยแกยังไง?”

………………………………………………

[1] ในภาษาจีนเรียก 忆苦思甜饭 จี้-ขู่-ซือ-เถียน-ฟ่าน เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมที่จัดในช่วงปฏิวัติทางวัฒนธรรม เป็นการเรียนรู้ และเพื่อให้ระลึกถึงความยากเย็นแสนเข็ญ ความจน ของผู้คนในสังคมก่อนสมัยปฏิวัติ ซึ่งกับข้าวที่ทำออกมาทานยากเสียยิ่งกว่าอาหารหมู