ตอนที่ 924 ก้มศีรษะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“คุณเยี่ย พ…พวกเราอยู่ข้างในน่าจะปลอดภัยกว่ามั้งครับ?”

ตอนที่เดินตามเยี่ยเทียนออกจากที่ประชุมไปนั้น กู้ต้าจวินรู้สึกราวกับมีหนามแหลมทิ่มแทงหลังมาตลอดทาง หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ เขาคงจะตายไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ เสื้อผ้าเปียกชุ่มด้วยเหงื่อเย็นเยียบไปทั่วร่างแล้ว

แม้ฝ่ายผู้จัดงานประชุมผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้จะเป็นรัฐบาลของแต่ละประเทศ แต่ในเบื้องหน้านั้น คงไม่มีรัฐบาลประเทศไหนที่จะยอมรับเรื่องการจัดงานประชุมครั้งนี้แน่ ดังนั้นไม่ว่าในที่ประชุมจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น ก็จะไม่มีใครมาสืบสาวเอาความทั้งนั้น

อย่างเรื่องที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นราชครูจากไทยถูกเยี่ยเทียนสังหารไปด้วย ‘คัมภีร์เป็นตาย’ นั้น ไม่ว่ารัฐบาลไทยจะโมโหเดือดดาลเพียงใด ก็คงทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน ไม่มีทางมากล่าวโทษเยี่ยเทียนต่อหน้าสาธารณชนเด็ดขาด

ในทางเดียวกัน ต่อให้พวกเขาตายอยู่ที่นี่ รัฐบาลจีนก็คงจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เช่นกัน ในจุดนี้ แต่ละประเทศต่างตกลงกันเป็นเอกฉันท์แล้ว

“เหล่ากู้ คุณนี่ออกมาจากกองทัพเสียเปล่า มีความกล้าอยู่แค่นี้น่ะรึ?”

เมื่อได้ยินกู้ต้าจวินพูดเช่นนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เขากำลังเลือดร้อนเตรียมตัวจะฆ่าคนอยู่พอดี มีอารมณ์มาฟังคำพูดบ่อนทำลายขวัญแบบนี้ที่ไหนกัน?

“ผ…ผม พวกคุณถือเสียว่าผมไม่ได้พูดอะไรเลยก็แล้วกัน”

กู้ต้าจวินถูกโจวเซี่ยวเทียนว่าจนหน้าแดงก่ำ เขาย่อมไม่กล้าเถียง ตนนั้นเป็นทหารฝ่ายบุ๋นมาตลอด แม้จะอยู่ในกองกำลังพิเศษ แต่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองอิเล็กทรอนิกส์ จึงไม่เคยต้องออกไปปฏิบัติภารกิจชนิดที่ต้องเห็นเลือดเลย

“เหล่ากู้ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องบางอย่างคุณคงจะไม่เข้าใจ…”

เมื่อเห็นกลุ่มคนที่ตามหลังพวกเขาออกมาอย่างใจกล้าไม่หวาดเกรง เยี่ยเทียนจึงหรี่ตาแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

 “คนบางคนก็เปลี่ยนสันดานตัวเองไม่ได้ บรรพบุรุษเคยเป็นโจร จนถึงตอนนี้ก็เลยยังหลงเหลือกรรมพันธุ์ของโจรอยู่ วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับคนพวกนี้ก็คือ กำจัดกายเนื้อของพวกมันซะ!”

“อาจารย์ ให้ผมไปจัดการพวกมันไหมครับ?”

เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดเช่นนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ดวงตาเหลือบมองไปทางกลุ่มคนที่ตามออกมาอย่างไม่ประสงค์ดี ท่าทางกระตือรือร้นสุดขีด

“เพราะติงติงท้องแล้ว แกก็เลยนึกว่าตัวเองแน่มากใช่ไหม?”

เยี่ยเทียนตบด้านหลังศีรษะของลูกศิษย์ไปหนึ่งฉาด

“ไปเอารังสีอำมหิตมาจากไหนมากมายปานนั้น? ตอนนี้แกกำลังจะเลื่อนขั้นไปถึงระดับเซียนเทียนอยู่แล้ว อย่าทำให้จิตแห่งเต๋าสั่นคลอนสิ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ห้ามแกลงมือกับใครอีก!”

การเลื่อนขั้นในระหว่างการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น เยี่ยเทียนเคยประสบกับตัวเองมาแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าจะให้โจวเซี่ยวเทียนได้ลองเรียนรู้ดูบ้าง แต่คาดไม่ถึงเลยว่า โจวเซี่ยวเทียนกลับมีอาการราวกับมีมารอยู่ในใจ ซึ่งมีแต่จะเป็นภัยต่อการแปลงจิตของเขาในขั้นตอนสุดท้าย

“อาจารย์ พลังฝีมือศิษย์ยังอ่อนด้อย ขอบพระคุณที่ตักเตือนครับ!”

หลังจากฝ่ามือของเยี่ยเทียนฟาดลงไปบนศีรษะของโจวเซี่ยวเทียน ไอเย็นสายหนึ่งก็ถ่ายเทเข้าสู่ห้วงจิตของเขาทันที ทำให้โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกสมองปลอดโปร่ง แววคลุ้มคลั่งในดวงตาก็ค่อยๆ ลดลงไป

“ก็แค่พวกปลาเล็กปลาน้อยเท่านั้น มันคุ้มให้แกมาเกิดโทสะขนาดนี้ไหม?”

เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า แต่เมื่อเขามองไปทางประตูห้องประชุมแล้วก็กลับอึ้งไปทันที

“เอ๋? คนนี้ก็ออกมาด้วยรึ คิดจะทำอะไรกัน?”

ผู้ที่ออกมาจากที่ประชุมก็คือแดร็กคูล่าซึ่งเป็นแวมไพร์ชั้นดยุกผู้นั้นนั่นเอง และยังมี ‘เพื่อนเก่า’ ของเยี่ยเทียนอย่างรูดอล์ฟตามหลังมาอีกด้วย แต่ดูท่าทางเขาจะยังไม่ค่อยยอมรับคำพูดของแดร็กคูล่าเมื่อครู่เท่าไรนัก จึงมองมาที่เยี่ยเทียนด้วยสายตามาดร้ายอย่างเห็นได้ชัด

“เยี่ยเทียน การกระทำบางอย่างของแดร็กคูล่าในอดีตนั้น ได้สร้างความวุ่นวายให้แก่คุณไม่น้อย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ…”

เยี่ยเทียนและรูดอล์ฟรวมถึงทุกคนในสวนที่กำลังจับตาดูเยี่ยเทียนอยู่นั้นต่างคาดไม่ถึงเลยว่า แดร็กคูล่าจะออกมาขอโทษเยี่ยเทียนก่อนอื่นเป็นอันดับแรก และน้ำเสียงยังฟังดูจริงใจอย่างยิ่งอีกด้วย สองมือประสานกันไว้ที่หน้าอก แสดงความเคารพต่อเยี่ยเทียนแบบชนชั้นสูงในยุคโบราณ

“นายท่าน นี่ท่านจะ?”

รูดอล์ฟโพล่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“หุบปาก!”

แดร็กคูล่าหันหลังไปถลึงตาใส่รูดอล์ฟ ประกายเย็นเฉียบในดวงตานั้นทำให้รูดอล์ฟยอมหุบปากลงอย่างว่าง่าย

แดร็กคูล่าหันหน้ามามองเยี่ยเทียนแล้วพูดต่อ

“คุณเยี่ย ผมว่า…คุณคงจะยอมรับการขอโทษของผมอยู่ใช่ไหม?”

“ได้ นับว่ายังพอมีคนฉลาดอยู่บ้าง ดยุกแดร็กคูล่า ถ้าคุณสามารถตอบคำถามต่างๆ ของผมได้ บางทีพวกเราอาจจะกลายมาเป็นมิตรกันได้อยู่!”

หลังจากฟังคำพูดของแดร็กคูล่าแล้ว เยี่ยเทียนก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ และในใจก็ประเมินพลังฝีมือของดยุกชั้นแวมไพร์ผู้นี้ในระดับที่สูงขึ้น

ผู้ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืดมนนั้น ย่อมมีความสามารถในการรับรู้ถึงอันตรายที่ไวอย่างยิ่ง เนื่องจากเยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงไอปราณของผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในโลหิตของแดร็กคูล่า จึงเกิดจิตสังหารต่ออีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆ แต่เยี่ยเทียนกลับคาดไม่ถึงว่า ฝ่ายนั้นจะรับรู้ถึงจิตสังหารของเขาได้ด้วย

“ได้เลย ตามที่คุณปรารถนา”

แดร็กคูล่ายืดกายยืนตรง ที่จริงในใจเขาเองก็มีความสงสัยอยู่ไม่น้อย เมื่อครั้งก่อนเขาเพียงแค่ส่งเคิร์ทไปสืบข้อมูลเกี่ยวกับเยี่ยเทียนเท่านั้นเอง และเคิร์ทก็ตายไปที่ไซบีเรียแล้ว ว่ากันตามเหตุผลแล้วเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ไม่รู้เพราะอะไรอีกฝ่ายถึงต้องมีจิตคิดสังหารตนด้วย

ตรงตามที่เยี่ยเทียนคาดไว้ หลังจากมีชีวิตอยู่มานานนับพันปี ความสามารถในด้านอื่นยังไม่ต้องเอ่ยถึง เฉพาะความสามารถในการรับรู้ถึงอันตราย แดร็กคูล่าก็เชื่อมั่นว่าไม่มีใครเหนือไปกว่าตนอีกแล้ว สายตาของเยี่ยเทียนที่มองมาทางเขาในตอนแรกที่มาถึงนั้น ทำให้แดร็กคูล่ารู้สึกขนลุกของพองขึ้นมาทันที เพราะเขาสัมผัสถึงจิตสังหารนั้นได้อย่างชัดเจน

ต่อมาเมื่อได้ประจักษ์ถึงความสามารถของเยี่ยเทียนแล้ว แดร็กคูล่าจึงตัดสินใจทันทีว่า ต่อให้เยี่ยเทียนถือเคียวยมทูตอยู่ เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาด และยังเป็นฝ่ายออกมากระชับความสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนเองอีกด้วย จะว่าไปแล้วทุกอย่างก็มีสาเหตุมาจากสายตาของเยี่ยเทียนในตอนนั้นทั้งสิ้น

“ดยุกแดร็กคูล่า คุณเคยเดินทางไปแถบตะวันออกมาก่อน น่าจะรู้เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญพรตอยู่สินะ?”

ดวงตาของเยี่ยเทียนหรี่ลง จับจ้องไปที่แดร็กคูล่า

“ผู้บำเพ็ญพรตที่แข็งแกร่งที่สุดที่คุณเคยเจอในตอนนั้น จะมีพลังฝีมือเป็นแบบไหนกันแน่?”

“ผมเคยไปจีนมาแล้วจริงๆ บอกโดยไม่ปิดบัง ผมยังเคยมีทายาทบริวารเป็นคนจีนด้วย แต่ตอนนั้นสองประเทศกำลังทำสงครามกันอยู่ ผมต้องขออภัยต่อคุณเกี่ยวกับเรื่องในสมัยนั้นด้วย!”

หลังจากได้ยินคำถามของเยี่ยเทียน ในที่สุดแดร็กคูล่าก็เข้าใจแล้วว่าจิตสังหารของอีกฝ่ายนั้นมาจากสาเหตุใด เขาก็นับว่าเป็นคนใจนักเลงคนหนึ่ง ในเมื่อตัดสินใจจะก้มศีรษะแล้ว จึงเปิดเผยเรื่องราวในอดีตออกมาตรงๆ เลย ถ้าเยี่ยเทียนยังไม่ยอมให้อภัยอีก เขาเองก็คงไม่นั่งรอความตายอยู่เฉยๆ เหมือนกัน

“อืม คุณก็เป็นคนนิสัยดีเหมือนกันนะ ไว้พอการประชุมครั้งนี้จบลงแล้ว ผมจะมาสอบถามคุณอย่างละเอียดอีกที”

วาจาของแดร็กคูล่าทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกชื่นชมเขามากยิ่งขึ้น โลกแห่งความมืดนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายอะไร เพียงแต่ยึดหลักยกให้ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ การขอโทษและความเปิดเผยของแดร็กคูล่านั้น ก็มีสาเหตุมาจากพลังอันแข็งแกร่งของเยี่ยเทียนนั่นเอง

ส่วนเรื่องที่แดร็กคูล่าเคยดูดเลือดของผู้บำเพ็ญพรตนั้น เยี่ยเทียนกลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นก็ไม่ใช่บรรพบุรุษของเขาสักหน่อย แล้วจะไปสนใจทำไม ยิ่งไปกว่านั้น การรบราฆ่าฟันระหว่างผู้บำเพ็ญพรตด้วยกันเองนั้น ยังมีอัตราสูงกว่าการถูกชนชาติอื่นสังหารเสียอีก

“ขอบพระคุณ คุณเยี่ยมาก ถ้าคุณยอมให้เลือดผมสักหยดหนึ่ง ผมยินดีนำทุกสิ่งที่มีอยู่มาเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนทั้งหมดเลย!”

แดร็กคูล่ารู้ว่าการกระทำของตนนั้นชนะใจของเยี่ยเทียนได้แล้ว จึงเผยจุดประสงค์ของตนออกมาตรงๆ เลย

“เรื่องนี้ไว้ว่ากันทีหลัง คำถามของผมคุณยังตอบไม่หมดเลยนะ”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า การชื่นชมอีกฝ่ายนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไปเป็นสหายกับอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนั้น แต่บุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้ช่างเฉลียวฉลาดเหลือเกิน ถ้าเยี่ยเทียนปฏิเสธคำขอของเขาไป ภายหลังคงยากที่จะคิดหาทางจัดการเขาได้อีก

“คุณหมายถึงผู้บำเพ็ญพรตที่ประเทศจีนน่ะหรือ?”

ดวงตาของแดร็กคูล่าฉายแววหวาดหวั่นเล็กน้อย และตอบว่า

“ผมเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างคนจีนผู้หนึ่งกับแวมไพร์ชั้นดยุกมาแล้ว เพียงโจมตีครั้งเดียว ก็ผ่าภูเขาลูกหนึ่งออกเป็นสองซีกได้ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผมเคยเจอมาเลย…”

สมัยที่เดินทางไปจีนนั้นแดร็กคูล่ายังไม่ได้เป็นดยุก ในช่วงสำคัญของการทำศึกนั้น เขาจึงได้แต่หลบอยู่ด้านข้างพลางโห่ร้องให้กำลังใจ ผู้นำของฝ่ายแวมไพร์ในเวลานั้นก็คือดยุกคนนั้นนั่นเอง และเขาก็เป็นรองแต่เพียงราชาแวมไพร์เท่านั้น

สิ่งที่แดร็กคูล่าไม่ได้พูดออกมาก็คือ หลังจากที่แวมไพร์ชั้นดยุกผู้แข็งแกร่งผู้นี้แปลงกายเป็นค้างคาวดูดเลือดบินขึ้นฟ้าไปแล้ว กลับถูกคนจีนผู้นั้นฉีกร่างทั้งเป็น แก่นหัวใจก็ถูกกำจนแหลก ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรได้อีกแล้ว

สาเหตุที่ตอนนั้นกองทัพพันธมิตรแปดชาติบุกยึดเมืองหลวงได้แล้ว แต่กลับถอนกำลังออกไปอีกนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับศึกนั้น แม้ว่าแดร็กคูล่าจะได้ประโยชน์มากมายจากสงครามบุกรุกจีนครั้งนั้น แต่ในเวลาหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ เขาก็ไม่กล้าเหยียบย่างเข้าสู่ประเทศจีนอีกแม้แต่ก้าวเดียว

“ผ่าภูเขาได้ในการโจมตีครั้งเดียว? สงสัยแม้แต่ผู้บำเพ็ญระดับจินตันยังทำไม่ได้เลยมั้งเนี่ย?”

เยี่ยเทียนถอนหายใจ ที่แท้เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ในมิติที่เขาอยู่นี้ก็ยังมีกลุ่มบุคคลผู้แข็งแกร่งหลงเหลืออยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในปัจจุบันจึงสูญหายไปจนหมด

“ดยุก คุณรู้ไหมว่า ทำไมปัจจุบันปราณวิเศษในธรรมชาติถึงได้เหลืออยู่น้อยนิดแบบนี้?”

“ปราณวิเศษ?”

แดร็กคูล่าฟังคำถามนั้นแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามกลับอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า

“คุณเยี่ยหมายถึงพลังงานในอากาศที่มนุษย์สามารถดูดรับไปใช้ได้พวกนั้นน่ะหรือ?”

“ใช่แล้ว!” เยี่ยเทียนพยักหน้า

“ดูเหมือนว่าเมื่อสมัยหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน พลังงานชนิดนี้จะลดลงไปอย่างกะทันหัน สาเหตุนั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

แดร็กคูล่าแบมือทั้งสองข้าง แวมไพร์ฝึกพลังโดยอาศัยการดูดเลือดเป็นอาหาร ไม่สามารถรับพลังงานในอากาศมาหลอมแปลงสภาพได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

“เอาเถอะ ใกล้จะได้เวลาแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะนะ”

เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เยี่ยเทียนจึงค่อนข้างจะรู้สึกผิดหวัง และไม่มีอารมณ์จะสนทนากับแดร็กคูล่าต่อไปอีก โบกมือลาแล้วพาโจวเซี่ยวเทียนเดินกลับไปทางที่ประชุม

แต่ที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงคือ เขาเพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงรูดอล์ฟก็พูดขึ้นมาจากข้างหลังว่า

“คนแซ่เยี่ย แกจะไร้มารยาทมากเกินไปแล้วมั้ง?”

“อ้อ? แกอยากจะสอนฉันไหมล่ะว่าอะไรคือที่เรียกว่ามีมารยาท?”

เยี่ยเทียนหยุดฝีเท้าลง ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าแดร็กคูล่า รูดอล์ฟยังจะมีโอกาสได้มายืนพูดกับเขาอยู่ตรงนี้อีกหรือ?

“เยี่ยเทียน ขอโทษนะ เป็นเพราะผมสั่งสอนไม่ดีเอง!”

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยุดยืนนิ่ง แดร็กคูล่าก็อดโอดครวญขึ้นมาไม่ได้ และฉุดลากรูดอล์ฟมาด่าว่า

“เจ้างั่งนี่ ฉันจะสอนแกเองว่ามารยาทน่ะเป็นแบบไหน!”

ขณะเดียวกับที่กำลังพูด ใบหน้าของแดร็กคูล่าก็ซีดขาวยิ่งขึ้น ริมฝีปากแดงฉานราวกับจะหลั่งโลหิตออกมา ฟันเขี้ยวอันแหลมคมสองซี่โผล่ออกมานอกปาก รูดอล์ฟยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไร ฟันคู่นั้นก็ฝังลึกลงไปในลำคอของเขาแล้ว

………………………………..