ตอนที่ 925 ประกาศศักดา (1)

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“ฮือ…ฮือๆ…”

สายตาอันหวาดกลัวสุดขีดฉายออกมาจากดวงตาของรูดอล์ฟ เขาไม่นึกเลยว่า เพียงเพราะคำตำหนิธรรมดาๆ ประโยคเดียว จะถึงกับนำภัยมาสู่ชีวิตของตนเช่นนี้ และผู้ลงมือยังไม่ใช่เยี่ยเทียนอีกด้วย แต่กลับเป็นเจ้านายของเขาเอง

ในฐานะทายาทสายตรงของแดร็กคูล่า ยามนี้รูดอล์ฟนอกจากความสำนึกเสียใจแล้ว ในใจกลับไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อยนิด เมื่อโลหิตหลั่งไหลออกมาไม่หยุด ดวงตาของเขาจึงค่อยๆ เสียประกายของความมีชีวิตไป

เสียง “ตุบ” ดังขึ้นเบาๆ ร่างของรูดอล์ฟอ่อนระทวยล้มลงกับพื้น ตลอดร่างไม่มีไอปราณของความมีชีวิตหลงเหลืออยู่อีกเลย มีเพียงดวงตาที่ไร้ความรู้สึกคู่นั้น ที่ดูคล้ายจะกำลังถ่ายทอดความไม่ยินยอมออกมาจากลึกๆ ในใจ จนกระทั่งตายไปแล้ว รูดอล์ฟก็ยังไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดเจ้านายจึงต้องหวาดกลัวเยี่ยเทียนถึงเพียงนี้?

“คุณเยี่ย ต้องขออภัยอย่างมาก ผมว่า…แบบนี้คงพอจะชดเชยความผิดพลาดของผมได้แล้วกระมัง?”

แดร็กคูล่าเงยหน้าขึ้นมา ที่มุมปากยังคงมีฟันเขี้ยวโผล่ออกมาสองซี่ เขาแลบลิ้นสีแดงฉานออกมาเลียโลหิตที่มุมปาก เป็นภาพที่ดูพิสดารน่าขนลุกอย่างอธิบายไม่ถูก จนกลุ่มคนโดยรอบที่ตามออกมาเฝ้าสังเกตเยี่ยเทียนนั้น เห็นแล้วต่างรู้สึกใจหายวาบ ราวกับว่าอุณหภูมิโดยรอบพลันลดฮวบลงไปหลายองศา

“ผ…ผีดูดเลือด?”

คนเหล่านั้นต่างขากรรไกรสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือด อยากจะหันหลังเผ่นกลับเข้าไปในที่ประชุมเหลือเกิน แต่ขาทั้งสองข้างกลับอ่อนปวกเปียก มองไปที่แดร็กคูล่าด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“ม…ไม่ พวกแกจะมาเรียกแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์แบบนี้ไม่ได้ ฉันคือดยุกแดร็กคูล่านะ!”

แดร็กคูล่าเลียริมฝีปากอันแดงฉาน เขานึกคร้านที่จะไปตอแยกับพวกคนที่คิดจะมาฉกฉวยผลประโยชน์เหล่านั้น แต่หันไปยิ้มแย้มให้เยี่ยเทียนแล้วถามว่า

“คุณเยี่ย คุณคงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้าผมจะช่วยคุณปัดแมลงวันพวกนี้ให้?”

“มีแต่พวกกระจอกอ่อนแอทั้งนั้น ทำไมจะต้องเห็นคนพวกนี้อยู่ในสายตาด้วยละครับ?”

เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วหันกายเดินกลับเข้าไปในที่ประชุม เขาก็ไม่ได้เป็นสหายกับแดร็กคูล่าเสียหน่อย จึงไม่อยากที่จะต้องมาติดค้างน้ำใจของอีกฝ่ายเปล่าๆ นอกจากนี้แดร็กคูล่ายังเป็นคนอำมหิตโหดเหี้ยม ทำให้เยี่ยเทียนไม่ค่อยอยากจะคบค้าสมาคมด้วยนัก

“ไปซะ!”

รอจนเงาร่างของเยี่ยเทียนหายลับไปหลังประตูแล้ว แดร็กคูล่าก็พ่นสองคำนี้ออกมาเบาๆ กลุ่มคนห้าหกคนที่ตามเยี่ยเทียนออกมานั้นรู้สึกร่างเบาโหวงขึ้นมาทันที ล้มลุกคลุกคลานโถมกลับเข้าไปในที่ประชุม ราวกับว่าหากอยู่ในสถานที่ที่มีคนมากๆ แล้วจะทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยได้

หลังจากเข้าสู่ที่ประชุมแล้ว คนเหล่านี้กลับดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขึ้นมาก ดูจากการกระทำของแดร็กคูล่า และท่าทีที่เขามีต่อเยี่ยเทียนแล้ว ทำให้พวกเขาเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง เช่นว่าบางครั้งความโลภก็เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความตาย

“ท่านทั้งหลาย งานประชุมแลกเปลี่ยนจะเริ่มดำเนินต่อแล้ว เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบางอย่าง ที่ประชุมจึงบัญญัติกฎขึ้นใหม่ว่า หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตะโกนออกมาว่ายอมแพ้แล้ว การประลองของทั้งสองฝ่ายจะต้องยุติลงทันที ไม่เช่นนั้นทางเราจะใช้มาตรการบางอย่างในการจัดการ!”

ผู้ที่ยืนอยู่บนเวทียังคงเป็นมิสเตอร์แฟรงก์คนเดิม เพียงแต่คราวนี้ข้างหลังเขามีทหารติดอาวุธปืนในชุดลายพรางยืนอยู่แปดนาย มิสเตอร์แฟรงก์จึงกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ คนที่มีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ ก็มักจะมีความเชื่อมั่นต่ออาวุธจำพวกปืนและระเบิดอย่างหนักแน่นเช่นนี้เสมอ

“เอาละครับ ตอนนี้ทุกท่านดำเนินต่อได้เลยครับ!”

แฟรงก์ประกาศให้งานชุมนุมเริ่มขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกลี้ลุกลนกลับไปหลบอยู่ที่ตำแหน่งของเขาซึ่งอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นสูงสุด เพราะหากมีแมลงพิษปรากฏขึ้นเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีก ต่อให้มีทหารคุ้มกันก็คงยากที่จะอยู่รอดปลอดภัยได้

แต่ทหารแปดนายนั้นกลับยังคงประจำอยู่ข้างเวที พลางจ้องมองฝูงชนทั้งหลายในที่ประชุมนั้นอย่างถมึงทึง พวกเขาเป็นเพียงทหารจากกองกำลังพิเศษเท่านั้น จึงไม่รู้สึกถึงไอปราณอันแข็งแกร่งในที่ประชุมนั้นเลยแม้แต่น้อย ดั่งภาษิตว่า ผู้ไม่รู้ย่อมไม่หวาดกลัวนั่นเอง

“คุณเยี่ย เราไม่ได้อยากจะประมือกับคุณ เพียงแต่อยากจะขอยืมดูหนังสือเล่มนั้นสักหน่อย ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”

หลังจากแฟรงก์ออกจากเวทีไปได้สองนาทีกว่าๆ ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาในที่ประชุม โดยใช้ภาษาที่พบเห็นได้น้อยอย่างยิ่งภาษาหนึ่ง จากนั้นหลายนาทีให้หลัง เครื่องแปลภาษาแบบแปลทันทีที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ในที่ประชุมจึงจะแปลความหมายของคำพูดเหล่านี้ออกมา

“ภาษาทมิฬจากอินเดียงั้นรึ? ภาษาแบบนี้น่าจะใกล้สูญพันธุ์เต็มทีแล้วนี่นา?”

เยี่ยเทียนมองไปตามเสียง แล้วใบหน้าก็แสดงความตกตะลึงออกมา เอ่ยขึ้นว่า

“ไต้ซือทั้งหลายเป็นผู้สละแล้วซึ่งโลกีย์ แล้วเหตุใดจึงต้องเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งเหล่านี้ด้วยเล่า? หรือว่าในใจพวกท่านก็เกิดกิเลสขึ้นมาแล้วเช่นกัน?”

สมัยที่เยี่ยเทียนกำลังบ้าสะสมตำราคัมภีร์ต่างๆ ทั้งของพุทธและเต๋าอยู่นั้น เคยได้หนังสือภาษาอินเดียโบราณมาเล่มหนึ่ง จึงนำไปให้นักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่งถอดความในนั้นออกมา ดังนั้นเขาจึงพอจะรู้จักการออกเสียงในภาษาประเภทนี้อยู่บ้าง

“คุณเยี่ยช่างเป็นผู้รอบรู้โดยแท้ นี่คือภาษาทมิฬจริงๆ!”

พราหมณ์เฒ่าชาวอินเดียร่างผอมแห้ง ใบหน้าดำคล้ำผู้หนึ่งค่อยๆ ลุกขึ้นมา

“พระพรหมได้สร้างโลกนี้ขึ้น แต่ในโลกนี้ก็ยังมีปีศาจ มาร และผีร้ายทั้งปวงออกอาละวาดอยู่ หนังสือที่คุณเยี่ยถือครองอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งนัก คล้ายจะเป็นเศษส่วนที่นาคอสูรได้หลงเหลือไว้ สมควรที่จะถูกฝังผนึกไว้ใต้เจดีย์!”

กล่าวตามตรง ผู้ที่จะมาเข้าร่วมงานประชุมแบบนี้ได้นั้น ย่อมเป็นผู้ที่ยังไม่อาจละจากเรื่องทางโลกได้ และจิตใจก็ยังไม่ได้ปล่อยวางอย่างแท้จริง พราหมณ์เฒ่าชาวอินเดียเหล่านี้ก็นับรวมอยู่ในกรณีนี้เช่นกัน

แม้จะกล่าวได้ว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าประสูติที่อินเดียสมัยโบราณ แต่ที่อินเดียนั้น ศาสนาพุทธกลับไม่ได้เป็นที่แพร่หลาย จวบจนปัจจุบันก็ยังมีผู้ศรัทธาอยู่เพียงยี่สิบล้านคน ส่วนศาสนาที่รุ่งเรืองที่สุดในอินเดียนั้น กลับเป็นศาสนาฮินดู

ศาสนาฮินดูก่อร่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ในสมัยศตวรรษที่ 8 โดยเป็นศาสนาใหม่ที่ผสมผสานความเชื่อในศาสนาต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยมีศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธเป็นหลัก และได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูงของอินเดียในสมัยนั้น ในช่วงทศวรรษที่ 90 ของศตวรรษก่อนก็มีผู้ศรัทธาถึงหนึ่งพันล้านคนแล้ว เป็นรองเพียงศาสนาคริสต์ซึ่งมีผู้ศรัทธาจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยล้านคน และศาสนาอิสลามที่มีผู้ศรัทธาจำนวนหนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านคนเท่านั้น

ศาสนาฮินดูมีการจัดตั้งคณะนักบวชและศาสนสถานอย่างแพร่หลาย และมีสถานะที่สูงส่งอย่างยิ่งในหมู่ประชาชนชาวอินเดีย เพียงแต่ในศาสนาฮินดูนั้น ก็ยังมีการแบ่งเป็นพวกที่สละทางโลกและพวกที่ปะปนกับทางโลก

พวกที่สละทางโลก ก็คือเหล่าฤๅษีผู้บำเพ็ญตบะ ข่มกิเลสตัณหา ปฏิบัติตามหลักคำสอนที่มาจากศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด และส่วนมากมักจะเร้นกายอยู่ตามเทวสถานที่ค่อนข้างทรุดโทรม มีการติดต่อกับโลกภายนอกน้อยอย่างยิ่ง

ส่วนพวกที่ปะปนกับทางโลกนั้น ก็คือเหล่านักบวชที่มีการข้องเกี่ยวกับผู้คนนั่นเอง ลำดับชนชั้นที่สูงที่สุดในศาสนาฮินดูเรียกว่าวรรณะพราหมณ์ ซึ่งก็คือนักบวชในศาสนานี้นั่นเอง รองลงมาก็คือวรรณะกษัตริย์ อันได้แก่นักรบและผู้ปกครองแว่นแคว้น ถัดลงมาอีกก็คือวรรณะแพศย์ (พ่อค้า) และวรรณะศูทร (ช่างฝีมือและแรงงาน)

นอกจากนี้ยังมีชนชั้นที่เรียกว่า ‘วรรณะจัณฑาล’ อีกด้วย แต่ชนชั้นนี้ไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ร่วมกับชนชั้นอื่นๆ และมีสถานะที่ต่ำต้อย แน่นอนว่า วรรณะจัณฑาลยังเป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุดในอินเดียด้วยเช่นกัน

ในฐานะที่วรรณะพราหมณ์อยู่เหนือกฎหมายของรัฐ เพียงนึกดูก็รู้แล้วว่าชนกลุ่มนี้จะมีอำนาจมากขนาดไหน และพราหมณ์ทั้งสามที่มาร่วมงานประชุมครั้งนี้ ก็คือพราหมณ์ปุโรหิตผู้มีอำนาจมากที่สุดในอินเดีย ณ ปัจจุบัน

ที่อินเดียนั้นเรียกได้ว่า พวกเขาสามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ใจปรารถนา สามารถเสพสุขกับสตรีคนใดก็ได้ที่ตนรู้สึกต้องตา และสามารถตัดสินความเป็นความตายของคนวรรณะจัณฑาลและเหล่าทาสทั้งหลายได้ ดังนั้นว่ากันตามตรงแล้ว ผู้เฒ่าเหล่านี้แม้ภายนอกจะดูเหมือนพราหมณ์ปุโรหิตผู้ทรงธรรม แต่เนื้อแท้ในกระดูกนั้นกลับไม่มีดีเลยสักคน

เยี่ยเทียนมองไปที่พราหมณ์เฒ่าผู้นั้นอย่างเย้ยหยัน ยิ้มพลางถามว่า

“ท่านหมายความว่า ผมควรจะยกหนังสือเล่มนี้ให้ท่านอย่างนั้นน่ะหรือ?”

เยี่ยเทียนมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาฮินดูอย่างค่อนข้างลึกซึ้ง ยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศที่เรียกว่า ‘น้ำมันอินเดียวิเศษ’ ซึ่งเคยเป็นที่นิยมในจีนสมัยก่อนนั้น ที่จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่แพร่หลายมาจากศาสนาฮินดูนั่นเอง นิกายที่วันๆ มัวแต่หมกมุ่นกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้ ก็ไม่แปลกที่สาวกจะไม่มีดีเลยสักคน

“ประเสริฐแท้ คุณเยี่ยกล่าวถูกต้องแล้ว!”

พราหมณ์เฒ่าคนที่เป็นหัวหน้านั้นพยักหน้าอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา สีหน้าไม่ได้กระดากขัดเขินเลยสักนิด

“ฮ่ะๆ ช่างไม่รู้จักกลัวตายกันเลยนะ ตอนอยู่ในประเทศตัวเองพวกคุณคงจะกร่างเสียจนชินแล้วละสิท่า?”

เยี่ยเทียนมองดูพราหมณ์ผู้มีการบำเพ็ญเทียบได้กับเพียงระดับโฮ่วเทียน (หลังกำเนิด) ขั้นสูงสุดเหล่านี้ แล้วอดส่ายหน้าไม่ได้

เขาดูออกว่า วิชาที่พราหมณ์เฒ่าเหล่านี้ฝึกมาน่าจะเป็นวิชาโยคะโบราณ มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่งนัก พอจะสูสีกับผู้ที่อยู่ในระดับเซียนเทียนช่วงต้นได้อยู่ แต่ถ้าคิดจะมาแผลงฤทธิ์เดชต่อหน้าเขา ก็นับว่าไม่เจียมตัวเกินไปแล้ว

“คุณเยี่ย จะต้องทำลายน้ำใจกันให้ได้เลยหรือ?”

พราหมณ์เฒ่าผู้นั้นมีสีหน้าประหลาดใจ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเยี่ยเทียนและชาญ ทองทวนกับตาตนเองมาแล้ว แต่ประการแรกนั้นเขาเข้าใจว่า เยี่ยเทียนหยิบยืมพลังของหนังสือเล่มนั้นมา ประการที่สองคือ อาศัยวิชาโยคะของเขาแล้ว ก็พอจะต่อสู้กับกับชาญ ทองทวนได้อย่างสูสีเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้หวาดกลัวเยี่ยเทียนเลย

“ทำลายน้ำใจ แม่แกสิ!!!”

ขณะที่พราหมณ์เฒ่ากล่าวยังไม่ทันสิ้นเสียง เสียงตวาดเสียงหนึ่งก็ดังมาจากทางตำแหน่งของเยี่ยเทียน เสียงนั้นแม้จะไม่ได้ดังมาก แต่เมื่อเข้าสู่โสตประสาทของพราหมณ์เฒ่าผู้นั้นแล้ว ร่างของพราหมณ์เฒ่าก็กลับนิ่งค้างไปทันที

เจ้าหน้าที่ล่ามแบบทันควันที่มาในวันนี้ จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงในระดับโลกอย่างแน่นอน เพราะแม้แต่คำสบถที่เยี่ยเทียนพ่นออกมาอย่างกะทันหันนั้นก็ยังถูกแปลออกมาอย่างสมบูรณ์ ทำให้คนทั้งหลายต่างตะลึงไป พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่มีตำแหน่งฐานะ แม้ว่าปกติจะใช้ถ้อยคำหยาบคายสารพัดก่นด่าสาปแช่งศัตรูของตัวเองอยู่ในใจบ่อยๆ แต่ก็คงไม่มีทางเปล่งออกมาจากปากแน่นอน

“คนอินเดียนี่ไร้น้ำยาจริง ความกล้าสักนิดก็ไม่มี!”

“คนที่บำเพ็ญตบะก็เป็นแบบนี้แหละนะ ความอดทนสูงดีจริงๆ ขนาดโดนด่ายังไม่โมโหเลย!”

“นั่นสิ นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นฉันนะ ถึงจะรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหนุ่มนั่น ก็ต้องลงไปฉะกันสักตั้งแล้วละ”

หลังจากที่คำสบถด่าของเยี่ยเทียนหลุดจากปากไป พราหมณ์เฒ่าผู้นั้นกลับนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ ทำให้เสียงวิจารณ์ต่างๆ นานาในที่ประชุมนั้นค่อยๆ ดังขึ้นมา สายตาของทุกคนมองไปยังตำแหน่งของกลุ่มคนอินเดียเป็นจุดเดียว เพราะพวกเขาก็กำลังอยากให้มีคนไปยั่วยุเยี่ยเทียนอยู่พอดี

“พระอาจารย์ใหญ่ น…นี่ท่านเป็นอะไรไปครับ?”

เยี่ยเทียนพูดจาหยาบคาย แต่พระอาจารย์ใหญ่ซึ่งค่อนข้างจะเป็นคนอารมณ์ร้ายมาตลอดกลับไม่โต้ตอบอะไรเลย ทำให้พราหมณ์ชาวอินเดียอีกสองคนชักจะเริ่มแปลกใจ คนหนึ่งจึงลุกขึ้นมา แต่ขณะที่กำลังจะลองสะกิดพราหมณ์เฒ่าดูนั้น ดวงตากลับพลันฉายแววตื่นตระหนกออกมา

เนื่องจากพระอาจารย์ใหญ่ซึ่งกำลังยืนอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีโลหิตไหลซึมออกมาจากทั้งดวงตา หู ปากและจมูก โดยเฉพาะโลหิตจากในหูและจมูกนั้น ได้พ่นกระเซ็นออกมาเป็นฝอยนับไม่ถ้วน เสียงดัง “ซู่ๆ” ทำให้พราหมณ์ซึ่งไม่ทันได้ปัดป้องผู้นั้นมีคราบโลหิตแปดเปื้อนเต็มใบหน้า

หลังจากที่โลหิตหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้า ร่างของพระอาจารย์ใหญ่ก็อ่อนยวบลงไปกับกองกับพื้นราวกับไร้โครงกระดูกทันที เลือดลมในกายที่ตอนแรกยังเปลี่ยมพลังอยู่นั้น กลับเหือดหายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในพริบตา ไม่หลงเหลือร่องรอยของการมีชีวิตอยู่อีกเลย

“พระอาจารย์ใหญ่ไปเฝ้าพระพรหมแล้ว!”

เหตุพลิกผันที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้พราหมณ์ทั้งสองต่างแตกตื่นเสียขวัญ หลังจากตรวจลมหายใจที่จมูกของพระอาจารย์ใหญ่แล้ว ใบหน้าก็เปี่ยมด้วยความโศกเศร้าทันที

………………………………………….